DC บทที่ 279: โจรภูผาแดง

 

“เจ้าโจรชั่ว ถ้าเจ้ารู้ถึงภูมิหลังของพวกเราแล้วนั่นจะเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้าหากปล่อยพวกเราไป ข้าได้เรียกกำลังเสริมเรียบร้อยแล้ว”

 

หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายกล่าวเสียงดัง รู้สึกถึงแรงกดดันของสถานการณ์อยู่บ้าง

 

มีผู้อาวุโสนิกายอยู่ที่นี่สี่คน ทั้งหมดล้วนอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ อย่างไรก็ตามโจรเองก็ล้วนอยู่ระหว่างเขตคัมภีร์วิญญาณไปจนถึงเขตสัมมาวิญญาณ มีจำนวนเหนือกว่าพวกเขาถึงสิบต่อสี่

 

และเมื่อพวกเขาคิดเรื่องที่ว่าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เป็นเพียงภาระในสถานการณ์นี้ ผู้อาวุโสนิกายรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาถูกมัดมือ

 

แน่นอนว่าผู้อาวุโสนิกายสามารถละทิ้งเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ได้อย่างง่ายดายเพื่อปกป้องชีวิตของตนเอง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับจิตสำนึกของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาย่อมถูกโหลวหลานจีฆ่าทิ้งถ้าเธอพบความจริงซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

เหล่าโจรพากันหยุดหัวเราะแล้วมองหน้ากัน ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็หัวเราะต่อแต่คราวนี้ยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า อย่าบอกข้านะว่าพวกนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”

 

ผู้อาวุโสนิกายขมวดคิ้วเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของเหล่าโจร

 

“พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พวกนี้ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”

 

เหล่าโจรพากันหัวเราะหนักกว่าเดิม

 

“ฟังให้ดีเจ้าพวกโง่ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ล่วงเกินคนที่มิควรล่วงเกินและถูกทำลายไปแล้วในแค่เพียงวันเดียว”

 

“อะไรกัน”

 

ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์รุ่นเยาว์ยืนตกตะลึง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

 

“เจ้า…เจ้าโกหก อย่าฟังพวกมันบรรดาศิษย์ทั้งหลาย การทำให้จิตใจเจ้าสับสนนี่คือเป้าหมายของพวกโจร”

 

“มิว่าพวกเราโกหกหรือไม่นั้น พวกเจ้าจักรับรู้ได้ในภายหลัง แน่นอนนั่นคงอีกนานหลังจากที่พวกเราทำอะไรก็ตามต้องการกับพวกเจ้าแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ถ้าพวกเจ้ามิต้องการที่จะได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นข้าขอแนะนำเจ้าให้อยู่เฉยๆระหว่างที่พวกเรามัดมือเจ้า”

 

“พี่น้องจับเด็กพวกนี้”

 

โจรทั้งสิบเริ่มเข้าประชิดกลุ่มศิษย์พร้อมกับรอยยิ้มป่าเถื่อนบนใบหน้า ราวกับฝูงสุนัขป่าที่ตรงเข้าไปหาฝูงลูกไก่อ่อนแออย่างช้าๆ

 

ผู้อาวุโสนิกายจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยดึงอาวุธออกมา ต่อให้พวกเขาต้องเสี่ยงชีวิตพวกเขาก็ยังต้องการที่จะปกป้องศิษย์เยาว์วัยเหล่านี้สุดความสามารถ

 

“มาเลยดิ้นรนอย่างที่พวกเจ้าต้องการ เมื่อสุดท้ายแล้วความพยายามของพวกเจ้าทั้งมวลล้วนเสียเปล่า”

 

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อาวุโสนิกายทั้งสี่ก็ปะทะกับพวกโจร อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีความแตกต่างกันทางด้านจำนวน ผู้อาวุโสนิกายจึงถูกกดดันไว้จากเหล่าโจรตามคาด

 

“ร-เราต้องช่วยผู้อาวุโสนิกาย”

 

หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์เสนอ

 

“แล้วยังไง เข้าไปขวางทางพวกนั้นรึ พวกเราเพียงอยู่ในเขตปฐมวิญญาณ ตบเพียงครั้งเดียวจากโจรพวกนี้ก็จักทำให้พวกเราหัวหลุดจากบ่า”

 

“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี เรามิสามารถเพียงแค่นั่งรอให้พวกนั้นจับพวกเรา ข้ามิต้องการถูกขาย”

 

ศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนในกลุ่มเริ่มร้องไห้จากความกลัวและกระวนกระวาย

 

“โอ อย่าทำให้ร่างกายพวกนี้บอบช้ำมากเกินไป โดยเฉพาะผู้หญิง นั่นจะทำให้ราคาพวกเธอลดลง”

 

“โอ โทษที..”

 

“เรามิต้องใช้ทุกคนจัดการกับจอมยุทธเขตสัมมาวิญญาณพวกนี้ พวกเจ้าสามคนไปเริ่มจัดการกับพวกเด็กนั่นซะ”

 

เมื่อศิษย์รุ่นเยาว์สังเกตเห็นโจรสามคนพลันหันมามอง ร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว และพวกเขาบางคนก็กระทั่งไม่อาจควบคุมตนเองจนฉี่ราดกางเกง

 

“เจ้าพวกสารเลว”

 

ผู้อาวุโสนิกายต้องการหยุดยั้งเหล่าโจรแต่ก็ถูกขัดขวางไว้ด้วยโจรอีกเจ็ดคน บีบพวกเขาให้ห่างออกไปทีละน้อยจากเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าพวกเด็กตัวน้อย อย่ากังวลไป ข้าจักดูแลเจ้าอย่างดีและเล่นกับร่างของเจ้าอย่างทนุถนอมภายหลังเช่นเดียวกับตุ๊กตาราคาแพง”

 

เหล่าโจรหัวเราะ

 

หนึ่งในพวกนั้นกระทั่งทำท่าทางน่าขนลุกด้วยการเลียดาบ

 

“ม..ม..ม่าาย”

 

เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันวิ่งวุ่นไปทั่ว แต่อนิจจาสามโจรรายล้อมพวกเขาเป็นรูปสามเหลี่ยมได้อย่างรวดเร็ว

 

“พวกเจ้าเด็กน้อยคิดว่าจะหนีไปไหนกัน” ถ้าพวกเจ้ายังคงวิ่งวุ่น ข้าอาจจะเผลอแทงเจ้านะ”

 

กลิ่นอายกระหายเลือดจากเหล่าโจรเขตสัมมาวิญญาณไม่ใช่อะไรที่เพียงแค่เด็กๆในเขตปฐมวิญญาณอย่างพวกเขาจะทนได้ ดังนั้นพวกเขาหลายคนจึงชะงักค้างอยู่กับที่ด้วยความกลัว

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูพวกเจ้านี่สั่นกลัว นั่นเพียงทำให้ข้าต้องการเล่นกับพวกนี้มากกว่าเดิม”

 

“หยุดเล่นได้แล้ว พวกเราเพียงแค่จับพวกเด็กนี่และทำเรื่องนี้ให้จบ”

 

หนึ่งในโจรอาวุโสพลันคำราม

 

โจรคนอื่นพากันพยักหน้าและหยุดหัวเราะ

 

“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักมิให้อภัยพวกเจ้าถ้าเจ้าแตะแม้แต่เพียงผมเส้นเดียวของศิษย์ของเรา ถ้าพวกเจ้าปล่อยเราไปเดี๋ยวนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักต้องละเว้นพวกเจ้าเหล่าโจรจากการถูกกำจัด”

 

หนึ่งในผู้อาวุโสนกายกล่าวด้วยความพยายามเป็นครั้งสุดท้ายที่จะปกป้องพวกเขา

 

“เราจะคอยดูเรื่องนั้น” หนึ่งในหมู่โจรกล่าวขณะที่ยื่นมือไปจับหนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่ใกล้

 

“อาาา”

 

ศิษย์รุ่นเยาว์ที่พลันถูกจับร้องลั่น

 

“ศิษย์ฝึกหัดหญิงฉี”

 

“ปล่อยเธอไป เจ้าโจรร้าย”

 

สองสามศิษย์รุ่นเยาว์ตะคอก

 

“ถ้าเจ้ามิหยุดดิ้นรน เจ้าเด็กน้อย ข้าจักตัดแขนขาเจ้าสักข้าง”

 

โจรพูดด้วยเสียงเย็นชา และศิษย์รุ่นเยาว์ก็พลันตัวแข็งทื่อ

 

อย่างไรก็ตามน้ำตาเธอก็ยังไหลหลั่ง

 

ในเวลานั้นเหนือเมฆที่ซึ่งพ้นการรับรู้ของเหล่าศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรือพวกโจร ร่างสองร่างยืนอยู่บนเรือไม้นิ่งดูสถานการณ์ทั้งหมดนี้บานปลาย

 

“โจรภูผาแดง…รู้กันว่าพวกมันชั่วช้าและไร้ศีลธรรม พวกมันเป็นโจรที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาคใต้ ถ้าหากว่ามีใครสาธยายความผิดของพวกมัน ก็น่าจะบันทึกได้เต็มชั้นหนังสือ”

 

ซุนจิงจิงมองดูศิษย์รุ่นเยาว์และท่าทางหวาดหวั่นของพวกเขาจากเบื้องบน รู้สึกเหมือนไร้อำนาจ

 

แม้ว่าซุนจิงจิงต้องการกระโดดลงไปช่วยพวกเขามากเท่าไรก็ตามเธอก็รู้ว่าการกระทำเช่นนั้นย่อมไม่สามารถช่วยสถานการณ์นี้ได้แม้แต่น้อยในเมื่อเธอเป็นเพียงยอดยุทธเขตคัมภีร์วิญญาณ

 

“พวกมันหกคนอยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณในขณะที่เหลืออยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ ถ้าเราลงไปในตอนนี้เราก็จักเพียงแค่ถูกพวกโจรจับเท่านั้น”

 

ซุนจิงจิงหันไปหาซูหยางและพูดต่อด้วยท่าทางกังวล “พวกเราควรทำอย่างไรดี สถานการณ์นี้เลวร้ายกว่าที่คิด ถ้าเพียงแต่ศิษย์พี่หญิงฟางที่อยู่ที่นี่ตอนนี้แทนที่จะเป็นข้า…ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของข้าที่มาที่นี่เอง…”

 

เธอเริ่มโทษตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้

 

อย่างไรก็ตามซูหยางยังคงนิ่งเฉย

 

หลังจากนั้นไม่นาน ซูหยางก็หยิบดาบเหล็กออกมาจากถุงมิติและทำท่าปาทั้งตัวเหมือนกับว่าใครที่กำลังจะพุ่งหอก กระทั่งถือดาบกลับด้านเหมือนกับการถือหอก

 

“จ..เจ้ากำลังจะทำอะไรไ ซุนจิงจิงถามเขาด้วยสีหน้างุนงง

 

ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าจักเข้าใจอย่างรวดเร็ว”