แผนธุรกิจที่ท่านชายปิโนต์ นัวร์ส่งมาเข้าท่าไม่ใช่เล่น เธอจึงตัดสินใจลงทุนแม้จะเป็นธุรกิจที่ยังไม่เคยเห็นในอนาคตก็ตาม เพราะมันเป็นแผนที่มีเอกลักษณ์ทั้งยังดูน่าสนุกอีกด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีจุดด้อยอยู่มากมายด้วยการวางแผนที่เป็นไปอย่างมุทะลุและเอาแต่ใจ ดังนั้นหากจะตำหนิก็สามารถตำหนิชี้จุดบกพร่องได้ไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นไม่ว่าเขาจะตอบอะไรมา เธอก็มั่นใจว่าจะตำหนิจนทำให้เขาประสาทเสียได้
ท่าทีท้าทายจากอาเรียทำให้ดวงตาของอาซเป็นประกายวาววับ ขณะเดียวกันรอยยิ้มยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ตอนนี้คนที่เคยหลบสายตานั้นไม่มีอีกแล้ว ที่ตรงนี้มีแต่เพียงนักธุรกิจหนุ่มที่พร้อมจะบรรยายแผนธุรกิจของตนเองเท่านั้น
“ในเมื่อเลดี้อยากทราบ ผมก็ควรจะอธิบายสินะครับ”
“ใช่แล้วละค่ะ ดิฉันจะตั้งใจฟังนะคะ”
อาเรียเชิดคางขึ้นแล้วเอ่ยตอบอย่างเย่อหยิ่งราวกับจะตัดสินอาซ
สงครามทางสายตาของคนทั้งสองที่เริ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ผู้เข้าร่วมทุกคนต้องกลืนน้ำลายและหันมาให้ความสนใจ
“โครงการที่ผมคิดไว้คือการสร้าง ‘โรงเรียนที่ทุกคนสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่มีเรื่องสถานะและอายุมาเกี่ยวพัน’ ครับ”
อาเรียที่เตรียมพร้อมจะสวนกลับได้แต่ทำหน้าตาแข็งค้าง
นี่เขากำลังเสนอให้โรงเรียนเป็นเรื่องธุรกิจอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นธุรกิจที่ไม่เหมือนธุรกิจเสียเหลือเกิน ทั้งยังเป็นเรื่องโอละพ่อกับแผนธุรกิจที่เขาส่งมาอีกต่างหาก แต่ตอนนี้อาเรียกำลังปกปิดตัวตนที่แท้จริงอยู่ เธอจึงไม่สามารถบ่งชี้ในส่วนนั้นได้
“…นี่มันธุรกิจอะไรกันคะ มันมีค่าพอให้นับเป็นธุรกิจด้วยหรือคะ”
“มีค่าแน่นอนครับ และกำลังจะได้รับการลงทุนจากบรรดานักธุรกิจด้วยนะครับ”
“ท่านปิโนต์ นัวร์ ผมไม่เข้าใจว่าคุณหมายความว่ายังไงครับ”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ทุกคนต่างทำหน้าตาฉงนฉงายมองอาซเป็นตาเดียวคล้ายกำลังคิดแบบเดียวกัน
อาซจึงอธิบายเพิ่มเติมอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“ผมมีแผนว่าจะสร้างโรงเรียนขึ้นในนครหลวงครับ ซึ่งจะเป็นโรงเรียนที่ต่างจากวิทยาลัยที่มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่เข้าเรียน โดยจะมีสามัญชนเป็นเป้าหมายหลัก และมีวัตถุประสงค์เพื่ออบรมสั่งสอนความรู้ที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกิจครับ”
เขาอธิบายโดยการวาดรูปเพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจอย่างใจดี ด้วยเหตุนี้ ทำให้มีบุคคลหนึ่งในบรรดานักธุรกิจรุ่นเยาว์ที่คิดตามอย่างรวดเร็วตะโกนขึ้นมาเสียงดังราวกับว่าเขาเข้าใจแล้ว
“อ้อ! ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าคุณจะรับการลงทุนจากวิสาหกิจระดับแนวหน้าเพื่อมาอบรมให้ได้บุคลากรที่มีคุณภาพ และช่วยหาอาชีพการงานให้พวกเขาสินะครับ!”
“ใช่แล้วครับ ผมวางแผนจะทำให้บุคลากรมีความสอดคล้องกับปริมาณเงินลงทุน หรือก็คือจะมีการจัดสรรบุคลากรที่มีความเฉลียวฉลาดให้กับผู้ที่ลงทุนเป็นจำนวนมากครับ”
“แต่มันจะใช้เวลานานเกินไปกว่าจะได้กำไรจากมันนะคะ”
แผนที่เขาส่งมาให้เธอก่อนหน้านี้ยังจะดูเข้าทีเสียกว่า อาเรียพูดด้วยใบหน้าเย็นยะเยือกเพราะความผิดหวัง
การจะสร้างคนสักคนอย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งปี ยิ่งเป็นคนที่เรียนเป็นครั้งแรกยิ่งแล้วใหญ่ โดยเฉลี่ยแล้วจะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีเพื่อจะสร้างบุคลากรที่มีความสามารถพอจะไปทำงานในระดับแถวหน้าได้
“แล้วเรื่องค่าเล่าเรียนล่ะคะจะจัดการยังไง ถ้าเป็นเหล่าสามัญชนที่สามารถแบกรับภาระค่าเล่าเรียนเป็นเวลานานได้มาตั้งแต่แรก พวกเขาก็รู้ว่าจะได้เรียนเพราะได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัว แล้วก็ไม่มีปัญหาเรื่องงานด้วยนะคะ คนที่ต้องการช่วยเหลือจริงๆ กลับเป็น…”
ใช่แล้วล่ะ กลับเป็นเหล่าคนที่น่าสงสารดังเช่นอาเรียเมื่อครั้งอดีตอย่างไรล่ะ
กลุ่มคนเหล่านั้นที่ไม่ว่าจะเจ็บป่วยจนแทบมองไม่เห็นทางข้างหน้าอย่างไรก็ต้องลากสังขารออกไปทำมาหากินเพราะไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้รับการศึกษา
หรือแม้แต่เมื่อพวกเขาต้องสูญเสียกระทั่งชีวิตเพื่อสังเวยให้กับการกระทำอันไร้ศีลธรรม ก็ยังแทบจะไม่ได้ยินแม้แต่คำว่าเสียใจ จะได้ยินก็แต่เพียงชื่อของพวกเขาเท่านั้น แม้แต่ฮานส์ที่เคยให้ยืมหนังสือพิมพ์ในอดีตก็เคยสังเวยชีวิตไปแบบนั้น แม้ตอนนี้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม
อาเรียได้กะพริบตาช้าๆ เมื่อหวนนึกถึงเรื่องเหล่านั้น และนั่นทำให้เธอดูเหมือนเด็กสาวผู้แสนบอบบางคนหนึ่ง อาซเฝ้ามองเธอในสภาพนั้นอยู่เงียบๆ
“…ต่อให้มีโรงเรียน พวกเขาก็คงไปเรียนไม่ได้หรอกค่ะ เพราะแค่หาเลี้ยงครอบครัวให้อยู่รอดในตอนนี้ก็ยุ่งจะตายแล้วค่ะ”
นี่ต่างหากคือความจริง เธอเข้าใจสิ่งที่อาซพูด แต่มันก็เป็นได้แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
คนที่เห็นด้วยกับคำพูดของอาเรียต่างพากันพยักหน้า ในที่นี้ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ก่อร่างสร้างตัวจนสำเร็จหลังจากผ่านความยากลำบากมาได้ ทำให้มีคนที่เข้าใจชีวิตของคนยากคนจนอย่างถ่องแท้จริงๆ อยู่หลายคนทีเดียว
“เพราะแบบนั้นดิฉันจึงทราบดีว่าธุรกิจนี้ไม่มีค่าพอให้เรามาอภิปรายร่วมกันค่ะ”
อาเรียสลัดอารมณ์เศร้าโศกที่เกิดขึ้นชั่วขณะเพราะอดีตที่เธอไม่อยากหวนนึกถึงทิ้งไป แล้วกลับมาสวมใส่หน้ากากแห่งความมั่นใจอีกครั้ง คำพูดแสนเย็นชาของอาเรียพาให้สายตาที่มองอาซเริ่มดูไม่ดีตามไปด้วย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสงสัยว่าเหตุใดท่านผู้ลงทุนอย่างท่าน A จึงเลือกความคิดแบบนี้มา
แม้จะตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อาซก็ยังดูสบายใจ ไม่สิ เขาดูจะเคยชินกับบรรดาเสี้ยนหนามที่พุ่งเป้าที่ตนเองเหมือนเป็นเรื่องปกติเสียมากกว่า
อาซนำเอกสารหลายแผ่นออกมาจากอ้อมแขน ในเอกสารมีตัวอักษรถูกเขียนอยู่จนแน่นขนัด
เขาถือมันไว้ในมือให้ทุกคนมองเห็นแล้วเริ่มอธิบายต่อ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ เพราะจะมีการจัดสรรตำแหน่งงานไปพร้อมกับการศึกษาให้พวกเขาด้วยครับ”
โดยสรุปก็คือแบบนี้ เขาวางแผนว่าจะมอบหมายงานให้ตามเวลาที่กำหนดและจะจ่ายค่าตอบแทนในนามทุนการศึกษาจากการทำงานโดยไม่ต้องไปจ้างกรรมกรมาสร้างโรงเรียนต่างหาก
นอกจากนั้นเขายังพูดเสริมว่าคนหลายคนจะมีการแบ่งงานกันทำอย่างง่ายๆ โดยใช้เวลาน้อยกว่าสี่ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้นจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเรียน
“แล้วก็จะมีการรับคำร้องเกี่ยวกับงานเฉพาะด้านจากภายนอกเพื่อนำมามอบหมายให้กับนักเรียนที่มีทักษะด้านนั้นด้วยครับ ผมวางแผนไว้ว่าจะละเว้นค่าเล่าเรียนให้ตามผลการศึกษาและรับการลงทุนจากภายนอก อ้อ ตอนนี้ก็มีผู้แสดงความสนใจจะร่วมลงทุนด้วยหลายคนแล้วล่ะครับ”
เขาอธิบายได้อย่างดีเยี่ยม ต่อให้ไม่ใช่อาเรียก็ดูเหมือนจะมีคนที่สนใจจะลงทุนกับเขาอยู่เหมือนกัน และหากคิดถึงสิ่งของมีค่าที่เขาเคยส่งให้มิเอลแล้ว แม้จะไม่มีใครมาลงทุนเขาก็น่าจะทำให้ประสบผลสำเร็จได้ด้วยตัวเขาเองเพียงลำพังอยู่ดี
ใครคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นเมื่อได้ฟังเรื่องราวของเขา
“คุณคิดจะสร้างโรงเรียนขึ้นมาใหม่อย่างนั้นหรือครับ”
“ใช่แล้วครับ ซึ่งตอนนี้ก็ได้รับการยืนยันเรื่องงบประมาณเรียบร้อยแล้วด้วยครับ”
หากจำเป็น ทางพระราชวงศ์สามารถจัดทำแผนงบประมาณได้ และต่อให้ไม่ทำเช่นนั้นก็ยังมีเงินสะสมจำนวนมหาศาลจากธุรกิจที่เปิดเมื่อปีที่แล้วอยู่ก่อนแล้วนั่นเอง
การสร้างตึกใหม่นั้นต้องใช้เงินทุนมหาศาล แต่เมื่อได้ยินว่าเรื่องนี้ได้รับการรับประกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งห้องประชุมจึงเกิดชุลมุนขึ้นมาทันที นั่นเพราะจุดเริ่มต้นของมันไม่ได้ฉุกละหุกเช่นเดียวกันกับพวกเขา
บารอนเนสคลีนเอ่ยถามอาซด้วยความสงสัย
“ถ้าคุณมีเงินลงทุนขนาดนั้น… แล้วทำไมถึงอยากทำธุรกิจนี้ล่ะคะ ดิฉันคิดว่าจุดประสงค์คุณดีมากทีเดียวแต่ว่า… สุดท้ายแล้วสิ่งที่คุณพูดก็คือต้องการให้โอกาสกับเหล่าสามัญชนมากกว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจอยู่ดีไม่ใช่หรือคะ โดยส่วนตัวแล้ว ดิฉันว่าคุณไปลงทุนในธุรกิจอื่นจะดีกว่านะคะ”
“เรื่องนั้น…”
ขณะกำลังจะตอบคำถามหล่อน สายตาของอาซกลับมองตรงไปยังอาเรีย
นัยน์ตาของชายหนุ่มที่จับจ้องมายังเธอคล้ายจะเข้มลงทุกที ถึงอย่างนั้นในดวงตานุ่มนวลนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความรู้สึก
นั่นทำให้ไหล่ของอาเรียสั่นไหวขึ้นทันที ทำไมเขาถึงไม่ตอบคำถามแล้วเอาแต่จ้องเธอกัน แม้จะสับสนแต่อีกใจหนึ่งเธอกลับคิดว่าตัวเองพอจะเดาได้พาให้ใบหน้าร้อนผ่าว
‘ไม่จริง คงไม่ใช่เพราะฉันหรอกใช่ไหม’
ความผิดหวังกลับแปรเปลี่ยนเป็นความคาดหวัง
อาซคือผู้ที่ให้ค่าเธอเกินกว่าที่ควร ทั้งที่เธออยู่ในจุดต่ำสุดในหมู่สามัญชนด้วยกันเอง ทั้งยังชื่นชมว่าเธอฉลาดหลักแหลมและชวนเธอให้เข้าร่วมการประชุมอีกด้วย แม้เขาจะไม่รู้ความจริงว่าเธอคือท่านผู้ลงทุนอะไรนั่น แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาย่อมแตกต่างจากคนอื่นๆ ที่คอยแต่จะดูหมิ่นเธอไม่ดูตาม้าตาเรือแน่นอน
อาซตอบคำถามทำลายความเงียบที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน
“เพราะเราต้องการทรัพยากรมนุษย์ที่ไร้มลทินยังไงล่ะครับ ผมหมายถึงบุคลากรรุ่นใหม่ที่ไม่ถูกความโลภในอำนาจครอบงำน่ะครับ”
แต่คำตอบที่ออกมาจากปากของอาซกลับไม่เหมือนกับคำตอบที่เธอคาดหวัง หัวใจที่พองโตด้วยความคาดหวังของอาเรียเย็นวาบลงอย่างน่ากลัว สายตาเธอเย็นยะเยือก
ภริยาอีกคนได้เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าคุณมีเงินทุนอยู่แล้ว ทำไมถึงยังอยากได้การลงทุนนักล่ะคะ เพราะนอกจากกำไรที่แทบจะไม่มีแล้ว คุณยังต้องจ่ายค่านายหน้าด้วยนะคะ”
“แถมยังอาจจะขาดทุนอีกต่างหาก แล้วคุณจะจัดการเรื่องค่านายหน้าได้หรือคะ”
แม้บรรดาคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าธุรกิจของพวกเขาประสบความสำเร็จได้เพราะความช่วยเหลือจากอาเรีย แต่ค่าครองชีพที่พวกเขาจ่ายให้เธออยู่ก็สูงกว่าราคามาตรฐานมากเช่นกัน
แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ที่พวกเขายังยกย่องเคารพอาเรียและยอมรับการลงทุนจากเธออยู่ก็เพราะเธอจะให้การสนับสนุนโดยไม่ไต่ถามเกี่ยวกับธุรกิจที่ยังไม่มั่นคงของพวกเขาเลย
แต่อาซที่มีเงินทุนมั่นคงอีกทั้งมีนักลงทุนคนอื่นนอกเหนืออาเรียจะยังต้องการการลงทุนอีกหรือ คำถามปรากฏขึ้นมาในความคิดของทุกคน
“ผมสนใจเกี่ยวกับท่านผู้ลงทุนและการประชุมนี้ครับ ผมจะสามารถเห็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงแบบนี้ได้จากที่ไหนอีกล่ะครับ ทุกท่านจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แน่นอน และยังจะได้รับเกียรติยศอย่างสูงจากการช่วยเหลือสามัญชนอีกด้วยครับ นอกจากนี้ผมคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์กับธุรกิจของทุกท่านอย่างใหญ่หลวงทีเดียวครับ”
ทุกคนต่างเห็นด้วยเพราะพวกเขาเองก็ต้องรวบรวมคนในครอบครัวมาช่วยในธุรกิจเพราะการหาบุคลากรที่เหมาะสมนั้นช่างยากแสนยาก เมื่ออาซอธิบายเพิ่มเติมว่าหากที่ตรงนั้นต้องการเขา แม้แต่ผู้ที่มีอาชีพอยู่แล้วก็ยังสามารถเข้าเรียนก็ยังสามารถเข้าเรียนได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อต่อยอดความรู้ที่ตนเองยังขาดอยู่ คนส่วนใหญ่ก็มีท่าทีสนใจเป็นอย่างมาก
“สำหรับรายละเอียดอื่นๆ ผมจะไปบอกกับท่านผู้ลงทุนเองครับ เพราะยังมีอีกหลายส่วนทีเดียวครับที่ผมยังไม่ได้พูด”
“…เอ่อ”
ไม่มีใครสามารถตอบได้เมื่ออาซบอกว่าเขาต้องการมาคุยกับท่านผู้ลงทุน นั่นเพราะท่านผู้ลงทุน A เป็นบุคคลนิรนามที่ไม่มีใครเคยได้พบนอกจากบารอนเวอร์บูม
ไม่เคยมีการบอกข้อมูลใดๆ ให้ทุกคนรู้รวมทั้งอายุและศักดินา แม้พวกเขาจะถามก็ไม่มีทางได้คำตอบและบารอนเวอร์บูมจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟพวกเขาจึงไม่สามารถถามได้
“เอาล่ะ… ดิฉันคิดว่าคุณคงจะไปได้ดีนะคะ”
หลังจากคำพูดนั้นของบารอนเนสคลีน การประชุมอย่างจริงจังก็เริ่มต้นขึ้น บ้างก็รายงานสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับธุรกิจของตน บ้างก็เผยถึงความยากลำบาก
เป็นเรื่องที่ดีที่ได้เห็นพวกเขาสุมหัวกันหาทางแก้ไขหรือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน แต่อาเรียกลับเอาแต่นั่งอยู่กับที่เงียบๆ เพราะความผิดหวังที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน
หลังจากการประชุมครั้งแรกจบลงไป เธอกำลังจะรีบกลับคฤหาสน์เพราะอารมณ์ไม่ดี แต่กลับได้ยินเสียงอาซดังมาจากที่ใกล้ๆ
“เลดี้ ไม่ได้เจอกันนานนะครับ”
เมื่อหันไปก็พบกับอาซที่กำลังยกยิ้มบางเบา ตอนที่เขาเข้ามาครั้งแรกเธอคิดว่าใบหน้าของเขาช่างหล่อเหลาเสียเหลือเกิน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว เธอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อเห็นเขายังทำหน้าเฉยเมยได้แบบนั้น
“ผมว่าจะไปหาเลดี้อยู่เชียว แต่เรากลับได้มาเจอกันแบบนี้ เหมือนพรหมลิขิตเลยนะครับ ผมขอเวลาเลดี้สักครู่จะได้ไหมครับ”
บารอนเนสคลีนที่ยืนรออาเรียอยู่ด้านข้างมือใหญ่ที่ยื่นมา พูดขึ้นพร้อมแก้มแดงๆ สองข้าง
“ดิฉันขอตัวก่อนแล้วกันนะคะ แล้วเดี๋ยวตอนประชุมครั้งหน้า ดิฉันจะติดต่อไปอีกครั้งค่ะ”
อาเรียพยายามจะแก้ตัวเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับอาซ แต่บารอนเนสกลับหายลับไปเสียแล้ว
ทางด้านบารอนเวอร์บูมก็คอยมองทั้งคู่อย่างกระวนกระวายอยู่ตรงทางเข้าห้องประชุมที่ทุกคนออกไปจนหมดแล้ว
“หรือเลดี้อารมณ์เสียเพราะผมปกปิดชื่ออย่างนั้นหรือครับ”
เธอกำลังจะตอบว่าใช่อยู่แล้วแต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องนั้นเพียงเรื่องเดียว หากเธอจะตอบว่าอารมณ์เสียเพราะเขาปกปิดชื่อ เธอก็ควรจะถามหาความจริงจากเขาเสียก่อน
แต่สิ่งที่เธอรู้สึกกลับไม่เพียงพอที่จะแสดงออกไปให้เขาเห็นว่าเธอกำลังโมโห นั่นเพราะยังมีความผิดหวังที่ไม่รู้ที่มาที่ไปรวมอยู่ด้วย
“เลดี้อยากไปเดินเล่นแล้วคุยกันหน่อยไหมครับ”
เขาเอ่ยถามพลางจับมืออาเรีย เมื่อเขาเล่นถามด้วยใบหน้าอบอุ่นปานนั้น เธอจึงไม่อาจปฏิเสธไปได้
ยิ่งไปกว่านั้นเธอเองก็อยากรู้ว่าที่ผ่านมาเขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาสบายดีหรือไม่ แล้วที่เคยบอกว่ายุ่งล่ะ ไม่ได้มีอะไรยากลำบากใช่หรือเปล่า
และอีกเรื่อง นั่นคือเขาเป็นใครกันแน่
“…หากคุณสามารถตอบคำถามของดิฉันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังอะไรอีกต่อไปล่ะก็”
อาซยกยิ้มเล็กน้อยให้กับอาเรียที่เอ่ยตอบทั้งยังมองตาเขม็ง ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับว่าเขาจะทำตามที่เธอขอ
……………………….