ตอนที่ 587 พลีชีพของตนเอง
บัดนี้ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น อีกทั้งยังยั่วยุให้บุรุษที่ชัดเจนว่า…ต้องการอะไรบางอย่างให้ตัวนางผู้นั้น เรียกร้องให้นางพิสูจน์ว่านางเป็นคนของเขา!?
ซูหลีถึงกับพูดไม่ออก…
นางสามารถเลือกความตายได้หรือไม่
ริมฝีปากของนางสั่นเทิ้ม นางรู้สึกว่าตนได้ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแล้ว อีกทั้งตอนนี้ไม่อาจหลบหนีไปได้ เพราะตัวนางอยู่ในสายตาของฉินเย่หาน ยังจะสามารถไปที่อื่นได้หรือ
ทว่าจะให้นางพิสูจน์เรื่องนี้อย่างไร อย่างไรก็ไม่สามารถปลดเสื้อผ้าออกแล้วเข้าไปโอบกอดเขาตลอดกระมัง?
นี่…
ฉินเย่หานชำเลืองมองซูหลีที่กำลังก้มศีรษะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา พริบตาหนึ่งก็แดงระเรื่อ อีกพริบตาหนึ่งก็ซีดขาว ดูน่าสนใจเป็นอย่างมาก
เขามองซูหลีด้วยใบหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม และไม่เอ่ยอะไรออกมา ปล่อยให้ซูหลีเตลิดในความคิดของตนเองอยู่
จนในที่สุดหลังจากที่ซูหลีต่อสู้กับความคิดของตนเองเป็นเวลานาน นางก็ตัดสินใจหลับตากระโจนเข้าไปใกล้ร่างของฉินเย่หาน
จุ๊บ! ริมฝีปากของนางหยุดอยู่ที่ใบหน้าของฉินเย่หาน
“สะ สามารถพิสูจน์เช่นนี้หรือไม่” หลังหอมแก้มเสร็จ ซูหลีถึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็พบกับฉินเย่หานที่จ้องมองนางตาไม่กะพริบ สายตาของเขาดูลุ่มลึกเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีอะไรบางอย่างที่นางมองไม่ออก
เพียงนางรู้สึกได้อย่างลึกๆ ว่า ฉินเย่หานในเวลานี้อันตรายเป็นอย่างมาก!
นี่คือปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึกของซูหลี นางมีเสียงเตือนดังอยู่ในใจ ขณะที่นางคิดจะก้าวถอยไป คิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวของฉินเย่หานจะเร็วยิ่งกว่า เขากดร่างของนางเข้าหาตนเอง จากนั้น…
ระดมจุมพิตนางอย่างไม่หยุดหย่อน
“อื้อ อื้อ!” ซูหลีพยายามดิ้นรนแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อครู่ยังบอกว่าให้นางพิสูจน์เอง เวลานี้คงไม่สามารถก้าวเท้าปล่อยผ่านไปได้กระมัง หากนางทำเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นคงจะถึงจุดจบของนางอย่างแท้จริง!
“เอ่อ!” ผ่านไปพักใหญ่ฉินเย่หานถึงได้ปล่อยซูหลี ทันทีที่เขาก้าวถอยออกมา ซูหลีก็สูดหายใจเข้าลึก ท่าทางคล้ายกับคนที่มีชีวิตรอดจากภัยพิบัติก็มิปาน
ใบหน้าของฉินเย่หานกลับไร้ซึ่งความรู้สึก เขาเพียงมองซูหลีด้วยสายตาลุ่มลึกและเอ่ยว่า “ต่อไปห้ามไม่มาหาเรา”
ซูหลีที่ยังรู้สึกมึนงง เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็ไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมากมาย นางเพียงผงกศีรษะตอบรับ ฉินเย่หานเห็นดังนั้นจึงถอยออกไปอย่างพอใจ
“ส่วนเรื่องเก้าอี้รถเข็น เราไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเจ้าแล้ว” ซูหลีสละร่างกายของนางเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดก็ได้ยินคำพูดนี้ หัวใจของนางจึงผ่อนคลายลง พลางผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เรื่องบางเรื่องไม่สามารถสร้างความวุ่นวายได้ตามอำเภอใจเสียแล้ว!
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” ซูหลีขานรับ
“ลุกขึ้นเถิด” ฉินเย่หานกลับไปนั่งที่โต๊ะมังกร หลังจากเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา ซูหลีถึงได้พบว่าเดิมทีตนนั้นนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น
นางชะงักเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นจากพื้นด้วยท่อนขาที่สั่นเทิ้ม
“บาดแผลที่ขาเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้ผู้ซึ่งทรงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไม่ไว้หน้ามาโดยตลอด กลับตรัสคำถามเช่นนี้ต่อหน้าซูหลี
ซูหลีไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เมื่อได้ยินจึงผงกศีรษะก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา
“ไม่มีปัญหาอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“…อืม” ฉินเย่หานมองซูหลีอยู่หลายปราด จนซูหลีรู้สึกว่าสีหน้าของเขามีความแปลกประหลาดบางอย่าง ดูเหมือนว่าเขาเตรียมจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ทว่าคำพูดนี้กลับติดอยู่ที่ปากและสุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
ซูหลีรู้สึกประหลาดใจ ทว่านางไม่ได้ถามออกมา หลังจากเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบากับฉินเย่หานเพียงสองสามประโยค นางก็เดินออกมาจากห้องทรงอักษร
ทว่าทันทีที่ซูหลีเอ่ยออกมา หวงเผยซานกลับรู้สึกประหลาดที่พบว่า บรรยากาศกดดันที่วนเวียนอยู่ห้องทรงอักษรมาโดยตลอดนั้น ในที่สุดก็มลายหายไปแล้ว อารมณ์ของฮ่องเต้แม้จะดูเหมือนกับในปกติ
ทว่าหวงเผยซานรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง
ตอนที่ 588 ก่อเรื่องวุ่นวาย
หวงเผยซานติดตามอยู่ข้างพระวรกายของฮ่องเต้ตลอดหลายปี หากแม้แต่เรื่องนี้ก็มองไม่ออกแล้วละก็ เขายังจะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลได้อย่างไร!
ดูเหมือนว่า หลังจากนี้ไปหากต้องการให้ฮ่องเต้อารมณ์ดีขึ้นมา เช่นนั้นจักต้องดูที่คุณชายซูเสียแล้ว!
…
หลังจากซูหลีออกมาจากวังหลวงไม่กี่วัน สำนักเต๋อซั่นก็จัดตั้งการสอบครั้งใหญ่
การสอบครั้งใหญ่นี้ เหมือนกับการสอบปลายภาคในโลกศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดของซูหลี สำหรับบัณฑิตในสำนักเต๋อซั่นแล้ว การสอบนี้ถือว่ามีความสำคัญที่สุด
การสอบครั้งใหญ่ไม่เหมือนกับการสอบย่อย การสอบนั้นจะมีการลงโทษ ทว่าการสอบครั้งใหญ่นั้นไม่มี จะมีเพียงการติดประกาศรายชื่อที่ด้านนอกสำนักเต๋อซั่นเท่านั้น เป็นการสอบที่เผยลำดับคะแนนของบัณฑิตทุกคนในสำนักเต๋อซั่น ประกาศรายชื่อนี้จะประกาศไปจนถึงช่วงบุปผาผลิบานในวสันตฤดูปีหน้า
การติดประกาศติดต่อกันหลายเดือนนั้น ยังทำให้คนสนใจมากกว่าการลงโทษในการสอบย่อยเสียอีก
เพียงแต่สำหรับซูหลีการสอบครั้งใหญ่นี้กลับไม่ยากเกินไป นางเป็นผู้ที่สอบได้ที่หนึ่งในการสอบมาก่อน เมื่อพูดถึงการเรียนแล้ว แน่นอนว่าอันดับการสอบของสำนักเต๋อซั่นนี้จักต้องเป็นที่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกทั้งเพราะความจริงเป็นเช่นนี้ แม้ซูหลีจะนั่งดื่มชาชมทิวทัศน์ในเรือนขาวทุกวัน ก็ยังสามารถขึ้นติดอันดับในการจัดลำดับได้ ในบรรดาการสอบจำนวนมาก นางกลับสอบได้ที่หนึ่งและยอดเยี่ยม
มีเพียงการสอบขี่ม้ากับยิงธนูเท่านั้น ที่ตั้งแต่การสอบย่อยจนถึงการสอบครั้งใหญ่เป็นสิ่งที่ยากจะทำให้สำเร็จในคราเดียว
อาจารย์วิชาขี่ม้าและยิงธนูนั้นยอมแพ้กับซูหลีอย่างชัดเจน เขาเพียงให้ซูหลีที่โหล่ แม้แต่หลังม้าก็ไม่ให้นางขึ้น แม้ปล่อยผ่านไปเช่นนี้ ถึงอย่างไรนางก็ยังได้ที่หนึ่งของการสอบอยู่ดี
นางถือคะแนนที่ดีขนาดนี้ กลับไปฉลองปีใหม่ที่สกุลซูอย่างได้หน้าได้ตา
ปีนี้เป็นปีที่ซูหลีใช้ชีวิตอย่างสบายที่สุดปีหนึ่ง
อันดับแรกก็คือหลี่ซื่อถูกกุมขังไว้ รอจนนางคลอดบุตรออกมาก็จะถูกเนรเทศออกจากสกุลซู ต่อมาซูเนี่ยนเอ๋อร์กล่าวว่าคิดถึงท่านตาของตน และเอ่ยว่าจักไปฉลองปีใหม่ที่บ้านของครอบครัวมารดา ยามที่นางเอ่ยขึ้นเรื่องนี้ เป็นประจวบที่ซูหลีอยู่ที่นั่นพอดี
เมื่อเห็นซูไท่ไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงอนุญาตให้ไป ซูหลีก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง
แม้หลี่ซื่อถูกปลดออกจากตำแหน่งภรรยาของซูไท่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นท่านตาของซูเนี่ยนเอ๋อร์ แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางเท่าไรนัก
ซูเนี่ยนเอ๋อร์ออกเดินทางแล้ว ในบ้านก็ยังเหลือซูหรุ่ย โดยทั่วไปแล้วซูหรุ่ยออกจากประตูจวนไม่ถึงสองก้าวเท่านั้น นางแทบจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าซูหลีเลย ในปีนี้ซูหลีจึงถือว่ามีชีวิตที่สงบสุขเป็นอย่างยิ่ง
ในยามปกติที่อาศัยอยู่ในบ้าน นางสั่งให้ไป๋ฉินทำของว่าง ส่วนตนเองนั้นอ่านหนังสือไปหลายเล่ม กลับดูสบายอกสบายใจเป็นอย่างมาก
ทว่าจี้ฉินและคนอื่นๆ กลับส่งจดหมาย บัตรเชิญมาถึงหน้าจวน เพื่อชวนนางออกไปเที่ยวเตร่ด้วยกัน ซูหลีก็ไม่ปฏิเสธและออกไปเที่ยวเล่นกับพวกเขาอยู่สองสามครา
แต่ละวันนางมีชีวิตอย่างอิสระ
จนกระทั่ง…
จวบกระทั่งถึงวันหนึ่ง ซูหลีกับพวกเขาไปเที่ยวที่หอหร่วนเซียงในยามวิกาล คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับหวังเฮ่อและเฉิงเค่อ มีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น อีกทั้งกลับไม่มีคนสำนักฉยงสือคนอื่นๆ อยู่ภายในนี้
ในวันนั้นเป็นวันที่ภายในหอหร่วนเซียงมีการประมูลแม่นางยอดดอกเหมย หวังเฮ่อผู้นั้นดูเหมือนจะมุ่งเข้าไปหาแม่นางยอดดอกเหมย
เดิมทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบสุข เพียงแต่หลังจากที่หวังเฮ่อเริ่มประมูล ซูหลีก็ยกป้ายประมูลราคาตาม อีกทั้ง…ทุกครั้งก็มากกว่าหวังเฮ่อเพียงแค่อัฐเดียวเท่านั้น
มิผิด ไม่ใช่หนึ่งชั่ง ไม่ใช่หนึ่งเฉียน แต่เป็นเพียงหนึ่งอัฐเท่านั้น!
ในตอนแรกหวังเฮ่อเพียงมีสีหน้าที่ย่ำแย่เท่านั้น เขามิได้เอ่ยอะไรออกมา ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ติดต่อกันสองสามครา หวังเฮ่อก็นั่งไม่ติดแล้ว เขาเกิดโทสะขึ้นมาทันที เขาชี้ไปที่จมูกซูหลีและก่นดาออกมาประโยคหนึ่ง
คำก่นด่านี้คล้ายกับแหย่รังแตน ซูหลีและกลุ่มคุณชายเจ้าสำราญของสำนักเต๋อซั่นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พวกเขาต่อยหวังเฮ่อจนจมูกของเขาบวมเขียว และโยนหวังเฮ่ออกจากหอหร่วนเซียง
ในวันนั้นเฉิงเค่อก็อยู่ ทว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องมาตั้งแต่แรก รอจนพวกซูหลีโยนหวังเฮ่อออกไป เขาถึงได้เดินออกไปหอหร่วนเซียง