ตอนที่ 589 เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง / ตอนที่ 590 เทพเจ้ามังกร เห็นหัวมิเห็นหาง

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 589 เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง

 

 

วันที่สองต่อมา ซูหลีรวมถึงซูไท่ ทั้งยังมีเหล่าซื่อจื่อที่ทะเลาะกันภายในหอหร่วนเซียง กลับถูกกล่าวหาโดยสาส์นข้อหาฉบับหนึ่งของผู้ตรวจการ และสาส์นฉบับนั้นถูกถวายอยู่เบื้องหน้าของฮ่องเต้

 

 

ขณะที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรสาส์นฉบับนี้ ทรงมิตรัสอะไรออกมา สีพระพักตร์ยิ่งดูเยียบเย็นและนิ่งเฉยเสียจนมองไม่ออก ทว่ากลับทำให้ซูไท่และคนอื่นๆ ตกใจกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเฮือกใหญ่ พวกเขาคุกเข่าบนภายในตำหนักเช่นนี้ต่อไป

 

 

หลังจากจบการประชุมราชกิจ ซูหลีก็ถูก ‘เชิญ’ เข้าไปในวัง คนที่ทะเลาะกันคนอื่นๆ ถูกลงโทษอีกแบบแล้ว มีเพียงนางเท่านั้นที่ถูกเรียกให้เข้าเฝ้า

 

 

ยามเข้าไปสภาพของนางยังปกติดี ยามออกมาจากวังอาภรณ์กลับไม่เรียบร้อย ริมฝีปากนั้นบวมแดง ฝีเท้านั้นเบาหวิว

 

 

ส่วนบนของเสื้อคลุมนั้นถูกดึงออกมามากกว่าครึ่ง

 

 

ซูหลีเดินออกมาจากหอทรงอักษรอย่างใจร้อน นางรู้สึกอย่างลึกๆ ว่าฉินเย่หานผู้นี้นับวันยิ่งอันตราย เห็นได้ชัดว่ารับพระสนมคนใหม่เข้ามาแล้ว ทว่าสายตาที่จับจ้องนางให้ทั้งวันกลับแปลกประหลาดจนน่าตกใจ

 

 

นางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วคราหนึ่ง นางรู้สึกว่าตนยังเป็นคนที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร ไม่ต้องรอถึงวันที่สอบติดหรือได้ตำแหน่งทางราชการ ก็คงถูกฉินเย่หานกินหมดแล้ว!

 

 

ซูหลียิ่งคิดยิ่งรู้สึกกลัว ที่สำคัญก็คือนับวันสายตาที่ฉินเย่หานจ้องมองยิ่งชัดเจนมากกว่าเดิม พฤติกรรมของเขาไม่โอนอ่อนและเกินไปขึ้นเรื่อยๆ!

 

 

นางรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ลางสังหรณ์ที่ดีนัก คงจะดีกว่าถ้าอยู่อย่างไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย

 

 

ดังนั้นช่วงเวลาต่อจากนั้นมา รวมถึงการฉลองปีใหม่จนกระทั่งถึงช่วงเริ่มเข้าสู่วสันตฤดูมาแล้วสามเดือน นางนั้นไม่ออกจากจวนซูแม้แต่ก้าวเดียว

 

 

ไม่ว่าใครจะมาหาถึงที่ นางก็ยึดมั่นหลักการของตนว่า พูดว่าไม่ออกไปไหนก็คือไม่ไป พูดว่าไม่ก่อเรื่องก็ไม่ก่อเรื่อง และเป็นเพราะการกระทำอันแปลกประหลาดของนางนี้ ทำให้ทั้งเมืองหลวงเฉลิมฉลองปีใหญ่อย่างสงบสุข

 

 

ทว่าไม่ใช่สิ…การฉลองปีใหม่โดยทั่วๆ ไป กลุ่มคุณชายเจ้าสำราญของสำนักเต๋อซั่นนั้นถึงอย่างไรก็ต้องก่อเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมา ทว่าในปีนี้เพราะซูหลีไม่เข้าร่วมอะไรทั้งสิ้น ลูกไม้ที่พวกเขาใช้ล้วนเหมือนกับปีที่ผ่านมา รู้สึกไม่สนุกเท่าไรนัก อีกทั้งซูหลีไม่อยู่ ดูเหมือนขาดอะไรไปมิปาน

 

 

ดังนั้นคุณชายเจ้าสำราญเหล่านั้นจึงกลับเข้าไปอยู่ในบ้าน เป็นโอกาสอันหาได้ยากที่พวกเขาจะไม่ออกไปก่อความวุ่นวาย

 

 

ในเวลานี้ทั้งเมืองหลวง รวมถึงเหล่าบิดาและผู้อาวุโสของพวกเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และยังปีติยินดีในเวลาเดียวกัน

 

 

ส่วนด้านซูหลี ปีนี้จึงกลายเป็นปีแรกที่ซูหลีอยู่ในจวนซูอย่างสงบสุขเช่นนี้

 

 

ในคืนวันส่งท้ายปีซูไท่ได้มอบซองแดงซองใหญ่ให้กับนาง เขาพูดให้กำลังใจนางว่าจักต้องตั้งใจในการสอบชุนเหวย[1] ซูหลียิ้มแต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา นางเพียงใช้มือชั่งน้ำหนักซองแดงในมือ หาได้เอ่ยอะไรที่สามารถทำให้ซูไท่วางใจไม่

 

 

ซูไท่เห็นท่าทางของซูหลีแล้วในใจก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง ทว่าเมื่อคิดว่าตนกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งหมดนี้ซูหลีเป็นผู้ที่ไปสอบ เขานั้นประมาณการมิได้ เขาจึงทำได้เพียงปล่อยวางความกังวลในใจ

 

 

เมื่อออกจากช่วงปีใหม่ก็เป็นเทศกาลหยวนเซียว เทศกาลหยวนเซียวในเมืองหลวงนั้นครึกครื้นที่สุด ชาติที่แล้วซูหลียังไม่เคยตั้งใจดู ทว่านางกลับไม่รีบร้อน และยังอยู่ในจวนด้วยกิริยาท่าทางดังเดิม

 

 

ในยามปกติซูหลีก็อาศัยอยู่ในลานกลางเรือน มีบางครั้งแม้แต่ซูไท่ก็ยังไม่พบนาง นางใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่มีความลึกซึ้ง เป็นเพราะว่าช่วงเริ่มวสันตฤดูนางจักต้องเข้าร่วมการสอบ นั่นก็คือการสอบชุนเหวย ซูไท่จึงสั่งไม่ให้ใครไปรบกวนนาง

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้มาเรื่อยๆ ซูหลีจึงหายหน้าหายตาไปจากสายตาของผู้คนอยู่นาน

 

 

จนกระทั่งถึงเดือนสาม

 

 

ในเดือนสามอากาศนับวันยิ่งอบอุ่นขึ้น สำนักเต๋อซั่นก็เริ่มมีการเรียนการสอนแล้ว

 

 

ทว่าซูหลีกลับไม่ปรากฏตัวขึ้น

 

 

ในฐานะผู้เข้าร่วมสอบ อีกประเดี๋ยวก็ต้องเผชิญหน้ากับการสอบที่สามปีถึงจะจัดสักครั้ง สำหรับการสอบที่สำคัญที่สุดอย่างการสอบชุนเหวย จะสอบติดหรือไม่จักต้องดูช่วงเวลาในไม่กี่วันนี้ ดังนั้นนางจึงต้องรอบคอบเป็นธรรมดา

 

 

ทางสำนักเต๋อซั่นนั้นรับรู้เรื่องนี้อย่างชัดแจ้งดี ดังนั้นหลังจากที่มีการเรียนการสอนแล้ว จึงไม่ได้ให้คนไปเรียกตัวซูหลี

 

 

ดังนั้นจึงอยู่ในบรรยากาศเช่นนี้ต่อไป

 

 

 

 

——

 

 

[1] การสอบชุนเหวย หมายถึงการสอบคัดเลือกขุนนางในสมัยราชวงศ์ถังและซ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 590 เทพเจ้ามังกร เห็นหัวมิเห็นหาง[1]

 

 

การสอบชุนเหวย!

 

 

ในที่สุดก็ถึงวันสอบแล้ว

 

 

ในวันของการสอบชุนเหวย เป็นวันหยุดของสำนักสอนหนังสือในเมืองหลวงทั้งหมด

 

 

ผู้ที่มีชื่อในการจัดอันดับของประกาศในการสอบชิวเหวย ต่างก็มาเข้าร่วมการสอบชุนเหวย

 

 

ซูหลีก็ไม่เป็นข้อยกเว้นเช่นกัน

 

 

เพียงแต่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา การสอบชุนเหวยก็ถือว่าเป็นการสอบเคอจวี่รอบที่สำคัญที่สุด คนในครอบครัวและผองเพื่อนล้วนมาส่งผู้เข้าสอบ โดยเฉพาะบุตรที่เกิดในครอบครัวขุนนาง ยิ่งมีพิธีการส่งตัวที่ยิ่งใหญ่

 

 

ทว่าสกุลซูกลับเงียบเชียบไม่มีข่าวคราวอะไร ตอนเช้าคนในสกุลเพียงแค่ไปส่งซูหลีที่สนามสอบตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง รอจนฟ้าสว่างแล้ว ยามที่ด้านนอกของสนามสอบเต็มไปด้วยความครึกครื้น กลับไม่มีเงาของคนสกุลซูปรากฏขึ้นเลย

 

 

การเคลื่อนไหวอย่างนิ่งเงียบเช่นนี้ ไม่เหมือนลักษณะท่าท่างที่มีมาโดยตลอดของซูหลีโดยแท้

 

 

คนจำนวนไม่น้อยคิดว่า การซ่อนตัวปกปิดเบาะแสของซูหลีในช่วงเวลานี้ ทั้งยังมีความประพฤติประหลาดของนางก่อนช่วงการสอบชุนเหวยนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการขาดความมั่นใจของซูหลี

 

 

มิผิด นี่เป็นการสอบชุนเหวย หากสามารถสอบผ่านก็เป็นบัณฑิตชั้นสูงแล้ว[2] ผู้ที่สอบผ่านสองคนแรกก็ถือว่าเป็นขุนนางของราชสำนักแล้ว การสอบได้อันดับเจี่ยหยวนในครานั้นสามารถพึ่งโชคชะตาได้ ทว่าการสอบครานี้ไม่อาจพึ่งโชคชะตาได้!

 

 

คนจำนวนมากต่างพากันแอบคาดเดาว่า ซูหลีกลัวการสอบครั้งนี้ ไม่แน่อาจจะไม่เข้าร่วมการสอบชุนเหวยครั้งนี้ก็เป็นได้ ดังนั้นสกุลซูจึงไม่ได้ให้ใครมาส่งตัวซูหลีที่สนามสอบ มิหนำซ้ำจวนของสกุลซูนั้นเงียบสงบเป็นอย่างมาก ไม่คล้ายกับจวนที่เข้าร่วมการสอบชุนเหวยด้วยซ้ำ

 

 

และมีคนกล่าวว่า หลังจากที่ซูหลีท้าพนันกับไป๋เฮ่อกลับรู้สึกว่าตนเองทำตามที่พูดมิได้ ดังนั้นถึงได้กระทำเช่นนี้ เพื่อให้ต่อจากนี้ไม่เสียหน้ามากเท่าไรนัก

 

 

ทว่าคนในสำนักเต๋อซั่นกลับคิดว่า ซูหลีจักต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน อีกทั้งอันดับจักต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน

 

 

ทุกคนต่างเอ่ยกันไปต่างๆ นานา เจ้ามือพนันหลายคนในเมืองหลวงหลายแห่งต่างพากันตั้งการพนันขึ้น สิ่งที่พวกเขาพนันก็คือ การพนันระหว่างซูหลีกับไป๋เฮ่อ

 

 

สนามพนันนี้ช่างน่าสนใจเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่ได้พนันว่าพวกเขาจะสามารถได้รับตำแหน่งบัณฑิตชั้นสูงหรือไม่ ทว่ากลับตั้งพนันว่าระหว่างซูหลีกับไป๋เฮ่อทั้งสองคนใครจะชนะใคร

 

 

ที่จริงแล้วหากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็เป็นการพนันว่าซูหลีจะสามารถสอบผ่านเป็นบัณฑิตชั้นสูงได้หรือไม่

 

 

ผู้ที่ร่วมการพนันครั้งนี้มีเยอะมาก อีกทั้งเป็นเพราะมีคนจำนวนมากรู้จักซูหลี อีกทั้งยังรู้ถึงการเคลื่อนไหวของซูหลีที่กระทำก่อนช่วงสอบชุนเหวย ทำให้คนต่างพากันลงเงินฝั่งไป๋เฮ่อ

 

 

ในช่วงเวลาเพียงครู่เดียว แนวโน้มที่พนันว่าซูหลีเป็นฝ่ายเสียเปรียบในบ่อนพนันต่างๆ จึงสูงขึ้นในชั่วพริบตา จนกระทั่งหลังจากสิ้นสุดการสอบ ทุกคนล้วนพนันว่าซูหลีเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!

 

 

ทว่าภายในนั้นมีคนจำนวนไม่น้อยที่ลงเงินฝั่งซูหลี เช่นคนในสำนักเต๋อซั่น บุคคลลึกลับบางคน…บุคคลลึกลับที่ลงเงินฝั่งซูหลี รูปร่างของเขาล่ำสัน ทว่าไม่เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน อีกทั้งยังกระเป๋าหนัก ทุกบ่อนพนันเขาล้วนลงเงินพนันไว้ฝั่งซูหลีหนึ่งหมื่นชั่ง!

 

 

หนึ่งหมื่นชั่ง! นี่ช่างทำให้ผู้อื่นหัวเราะจนฟันร่วงโดยแท้

 

 

ทว่าคนผู้นี้กลับไม่สนใจว่าความคิดของผู้อื่นจะเป็นเช่นไร เมื่อลงเงินพนันเรียบร้อยก็เดินออกไป

 

 

เพราะการปรากฏตัวของคนผู้นี้ กอปรกับเงินเดิมพันหนึ่งหมื่นชั่ง ยิ่งทำให้การสอบชุนเหวยในครั้งนี้เปลี่ยนเป็นครึกครึ้นอย่างยิ่งยวด

 

 

ทว่าหลังจากการสอบชุนเหวยสิ้นสุดลง เหล่าผู้สอบต่างออกจากสนามสอบ คนจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกต่างยืดคอชะเง้อมอง ทว่าก็ยังไม่เห็นซูหลี

 

 

มีคนเอ่ยว่า หลังจากสิ้นสุดการสอบชุนเหวย ซูหลีแอบออกไปทางประตูด้านหลังของสนามสอบอย่างเงียบเชียบ

 

 

ทว่าข่าวนี้ในสายตาของผู้คนจำนวนมากต่างคิดว่า ซูหลีคงกลัวเสียหน้าที่พูดจาส่งเดชออกมาก็เท่านั้น พวกเขายังเชื่อว่าซูหลีไม่ได้เข้าร่วมการสอบชุนเหวย นั่นเป็นการกลัวขายหน้า!

 

 

ไม่ว่าคนเหล่านี้จะคิดอย่างไร การสอบชุนเหวยที่สร้างความฮือฮาก็สิ้นสุดลงแล้ว ขณะที่รอวันประกาศผลสอบชุนเหวย มีคนจำนวนไม่น้อยอดทนไม่ไหวจนต้องไปหาซูหลีอย่างไม่ขาดสาย

 

 

ทว่ากลับถูกซูหลีปฏิเสธ ไม่ออกมาเจอใครทั้งนั้น

 

 

รวมถึงผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดอย่างไหวอ๋อง ก็ยังไม่ได้พบตัวซูหลี!

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้คนในสำนักเต๋อซั่นอดที่จะเป็นห่วงซูหลีไม่ได้

 

 

ในขณะที่กำลังเกิดความสับสนขึ้นในใจของทุกคน ในที่สุด…

 

 

ก็ถึงวันประกาศผลสอบชุนเหวย

 

 

 

 

——

 

 

[1] เทพเจ้ามังกร เห็นหัวมิเห็นหาง เป็นสำนวน หมายถึงคนที่มีนิสัยขึ้นๆ ลงๆ อารมณ์แปรปรวน

 

 

[2] บัณฑิตชั้นสูง หรือ จิ้นซื่อ หมายถึงบัณฑิตที่สอบผ่านสนามสอบในราชสำนัก ซึ่งจัดการสอบต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ จัดขึ้นทุกๆ 3 ปี