จะว่าไป ผลแย่งลิขิตมีสรรพคุณอันน่าทึ่งหลายอย่าง ประการแรก ทำให้ร่างปีศาจของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ไม่สามารถแปลงกายได้เรียบร้อยเลือนหายไป ประการที่สอง ช่วยให้จิตดั้งเดิมของร่างกายที่มีพลังงานบริสุทธิ์สร้างรูปทองเพื่อเปลี่ยนให้สามารถบำเพ็ญเซียน อีกประการหนึ่งก็คือรักษาพลังชีพของร่างกายที่เสื่อมสภาพลงไว้
สรรพคุณสองประการแรกแม้แปลกประหลาด แต่ไม่มีประโยชน์กับผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่เอาเสียเลย ส่วนประการที่สามก็มิได้มีเฉพาะในผลแย่งลิขิต ผลไม้วิเศษส่วนใหญ่ในโลกก็ล้วนมีสรรพคุณเช่นนี้
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ร่างกายเสื่อมสภาพ แทบจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ใกล้สิ้นอายุขัย ซึ่งเมื่อมาถึงสภาพเช่นนี้ การกินผลแย่งลิขิตเพื่อรักษาพลังชีพ จะมีประโยชน์อะไร
เมื่อคิดคำนวณได้เช่นนี้ ผลแย่งลิขิตสำหรับผู้ที่ต้องการก็คือ โอสถเซียนล้ำค่า แต่สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการก็คือ ซี่โครงไก่ที่ไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าทิ้งไปก็เสียดาย
และหลังจากทุกคนตรงหน้าได้ยินคำพูดของชิงซิ่งเจินจวิน ก็พูดออกมาตรงๆ ถึงสาเหตุที่ต้องขอผลแย่งลิขิต
มิเช่นนั้นถ้าปรี่มาถึงพื้นที่ของคนเขาจริงๆ แล้วหลุดอาการสนใจของวิเศษที่มีประโยชน์กับผู้บำเพ็ญเพียรเป็นอย่างยิ่งออกมา เกรงว่าจะถูกคนเขาขับไล่ออกไปราวกับจะมาขโมยอย่างไรอย่างนั้น
ชิงซิ่งเจินจวินหัวเราะ แล้วมองเยี่ยเทียนหยวนกับหลัวอวี้เฉิงไปมา “ผลแย่งลิขิตเป็นผลไม้มหัศจรรย์ที่องค์หญิงฝูเยาปลูกอย่างระมัดระวัง อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้อาจารย์อยู่ที่นี่ เกรงว่าก็ให้เงื่อนไขไม่ได้”
“เช่นนี้ ถ้าคิดแลกเปลี่ยนผลแย่งลิขิต ก็มีแต่ต้องได้รับความยินยอมจากองค์หญิงฝูเยาแล้ว” หลัวอวี้เฉิงถาม
ชิงซิ่งเจินจวินผงกศีรษะ “สหายพูดไม่ผิด”
เยี่ยเทียนหยวนพูดเบาๆ “แล้วเราพอจะเข้าเยี่ยมเยียนองค์หญิงฝูเยาได้ไหม”
“เกรงว่าไม่ได้” ชิงซิ่งเจินจวินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาพิเศษ องค์หญิงฝูเยาไม่พบคนนอกง่ายๆ”
พูดถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนน้ำเสียง “แต่ถ้าสหายทั้งสองท่านอยากพบองค์หญิงฝูเยา ก็ใช่ว่าจะไม่มีทาง การประลองยุทธ์แบ่งเป็นสามสนาม สนามแรกเลือกรอบแรก ทั้งสองท่านผ่านแล้ว สนามที่สองคือการประลองจริง ส่วนสนามที่สาม องค์หญิงจะมาทดสอบความรู้รอบตัวด้วยตนเอง หึๆ จากความสามารถของทั้งสองท่าน คิดเข้าสู่ด่านที่สาม ไม่มีปัญหาหรอก”
“ไม่ได้!” ชิงซิ่งเจินจวินเพิ่งพูดจบ เยี่ยเทียนหยวนกับหลัวอวี้เฉิงก็พูดขึ้นพร้อมกัน
ชิงซิ่งเจินจวินลูบจมูกไปมา ก่อนปลอบ “สหายทั้งสองท่านถ่อมตนเกินไปแล้ว จากความสามารถของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายของทั้งสองท่าน การเข้าสู่ด่านที่สามไม่มีปัญหาจริงๆ”
เยี่ยเทียนหยวนกับหลัวอวี้เฉิงหันมาสบตากัน สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ตอนนี้ชิงซิ่งเจินจวินค่อยรู้สึกว่าท่าทีของคนทั้งสองไม่ถูกต้อง จึงมองคนทั้งสองด้วยแววตาสงสัย
เยี่ยเทียนหยวนจึงพูดตรงๆ “ข้ามีคู่บำเพ็ญเพียรแล้ว”
“เอ๋?” ดวงตาชิงซิ่งเจินจวินมีแววเสียดายวาบผ่าน
แม้เขาดูออกว่าเยี่ยเทียนหยวนสูญเสียปราณหยางไป แต่ในแวดวงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไม่ว่าชายหรือหญิง การลิ้มรสความรักระหว่างชายหญิงไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามีคู่บำเพ็ญเพียรแล้วเสมอไป ชายที่โดดเด่นเช่นนี้ น่าเสียดายจริงๆ
จึงหันมามองหลัวอวี้เฉิง ก่อนพูดหยอก “แล้วสหายท่านนี้เล่า คงไม่ได้มีคู่บำเพ็ญเพียรแล้วเหมือนกันนะ”
เขาดูออกอย่างชัดเจนว่า คนผู้นี้ยังคงร่างของเด็กอยู่ ถ้าตอบว่ามีคู่บำเพ็ญเพียรแล้วเหมือนกัน ก็แสดงว่าดูถูกหุบเขาไป่กั่วแล้ว!
หลัวอวี้เฉิงหลุบขนตาลงพลางยิ้ม แล้วว่า “สหายล้อเล่นแล้ว ชั่วชีวิตข้า ยังไม่เคยคิดแต่งภรรยา ย่อมไม่กล้ามีชื่อเข้ารอบคัดเลือก”
วาจานี้พอพูดออกมา ไม่เพียงชิงซิ่งเจินจวินอึ้งเล็กน้อย เยี่ยเทียนหยวนก็มองหลัวอวี้เฉิงอย่างตะลึงงันอยู่บ้าง
แต่หลัวอวี้เฉิงกลับมีท่าทีเรียบนิ่ง ดูไปแล้วไม่เหมือนพูดเล่น
ชิงซิ่งเจินจวินจึงยิ้มแห้งๆ “คิดไม่ถึงว่า สหายอายุยังน้อยแท้ๆ กลับตัดสินใจเช่นนี้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าทั้งสองท่านอยากพบองค์หญิงฝูเยา เกรงว่ายากยิ่งแล้ว”
ว่าพลางหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ ซึ่งหมายความว่าส่งแขก
พวกเยี่ยเทียนหยวนรู้กาลเทศะ จึงลุกขึ้นยืน ขอลาแล้วจากไป
กลับไม่รู้ว่า ตอนนี้ทางประตูด้านข้างมีหญิงสาวคนหนึ่งแต่งกายแบบสาวใช้ เดินตามไปเงียบๆ
บนถนน อีกาไฟพึมพำอย่างไม่พอใจ “เจินจวินสองท่าน พวกท่านทำไมซื่อบื่อเช่นนี้ ร่วมงานประลองยุทธ์เลือกคู่ไปก่อน ได้พบองค์หญิงฝูเยาแล้วค่อยว่ากันสิ”
พอเห็นเยี่ยเทียนหยวนกับหลัวอวี้เฉิงเดินไปด้านหน้าต่ออย่างนิ่งเงียบไม่พูดจาเหมือนกัน ก็กางปีกบินออกจากศีรษะหมาป่าน้อย เข้าขวางตรงหน้าเยี่ยเทียนหยวน แล้วใช้ดวงตากลมๆ เล็กๆ จ้องมองเขา “ลั่วหยางเจินจวิน ท่านไม่คิดช่วยนายท่านแล้วหรือ”
เยี่ยเทียนหยวนมองอีกาไฟนิ่ง พลางว่า “ชิงเฉินต้องช่วย แต่ข้าไม่เข้าร่วมการประลองหรอก”
อีกาไฟเหลือบตาขึ้น “ก็บอกแล้วอย่างไรว่า เพราะต้องการพบองค์หญิงฝูเยา ไม่ใช่ให้ท่านแต่งงานกับนางจริงๆ!”
คนผู้นี้ หัวแข็งจริงๆ!
เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือมาลูบหัวอีกาไฟอย่างอ่อนโยน พลางพูดเสียงนุ่ม “เป็นคำมั่นสัญญาสุภาพบุรุษน่ะ การเข้าร่วมประลองยุทธ์เลือกคู่ก็หมายถึง การยอมรับกลายๆ ในข้อเท็จจริงที่ว่า เป็นคู่บำเพ็ญเพียรที่ได้รับคัดเลือกขององค์หญิงฝูเยา และการหอบจุดประสงค์เช่นนี้ไปพบองค์หญิงฝูเยา จะไม่ยุติธรรมกับนาง ชิงเฉินก็ยอมรับไม่ได้หรอก”
อีกาไฟตะลึงงัน นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนหันมองหลัวอวี้เฉิง
หลัวอวี้เฉิงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เดินไปด้านหน้าต่อ
อีกาไฟร้อนรน จึงโพล่ง “นี่ๆ อวี้เฉิงเจินจวิน ท่านน่าจะไม่คิดเช่นนี้นะ ท่านไม่เหมือนคนเช่นนี้…”
มุมปากหลัวอวี้เฉิงกระตุก กัดฟันพูด “ข้าย่อมไม่ใช่สุภาพบุรุษตามมาตรฐานอย่างลั่วหยางเจินจวิน แต่ก็คล้ายไม่ใช่แบบอย่างของการหลอกลวงลูกสาวบ้านใครนะ”
พอนึกถึงมั่วชิงเฉินที่นอนเหมือนไม้ใกล้ฝั่งอยู่บนพาหนะเหินหาว อีกาไฟก็ตัดสินใจโยนศีลธรรมครั้งสุดท้ายทิ้งไป แล้วพูดแบบร้ายๆ
“ฟังจากที่เจินจวินผลไม้เขียว[1]นั่นพูด องค์หญิงฝูเยาต้องเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาแน่ หึๆ นั่นน่ะ อวี้เฉิงเจินจวิน อันที่จริง อันที่จริงถ้าท่านไปเข้าร่วมจริงๆ ก็ไม่ถือว่าหลอกลวงหรอก…”
ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็เลี่ยงที่จะทำให้นายท่านลำบากใจในภายหลังได้กระมัง
สีหน้าหลัวอวี้เฉิงเย็นชาทันที แล้วค่อยหันมาหัวเราะ “จากนั้นเล่า ข้าเก่งกาจเช่นนี้ ถ้าองค์หญิงฝูเยาเกิดต้องตาต้องใจขึ้นมาล่ะ”
คำพูดนี้พอหลุดออกจากปาก มุมปากของทุกคนก็กระตุกพร้อมกัน โดยแม้แต่หญิงสาวที่ตามมาเงียบๆ ก็เหลือบตาขึ้นเหมือนกัน
แต่อีกาไฟกลับเข้าใจ หลัวอวี้เฉิงก็ร้อนรนแล้ว ทำให้รู้สึกว่าความคิดเช่นนี้ของตนน่าสมเพชอยู่บ้าง จึงก้มหน้าลงครึ่งค่อนวัน ค่อยว่า “เช่นนั้นนายท่านจะทำอย่างไรดี”
“เรื่องนี้ รอหาที่นั่งพักเท้าได้ก่อนค่อยหารือกัน” หลัวอวี้เฉิงพูดอย่างใจเย็น
กลุ่มคนเดินไปทางถนนที่คึกคักมีชีวิตชีวา
สาวใช้หันกายเงียบๆ แล้วหายไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว
ที่แห่งหนึ่งในปราสาทสวน สาวชุดเหลืองนางหนึ่ง กำลังเดินอ้อยอิ่งท่ามกลางมวลดอกไม้ แล้วสาวใช้ที่สะกดรอยตามพวกเยี่ยเทียนหยวนปรากฏตัวขึ้น ก้าวเข้าไปพูดด้วยไม่กี่ประโยค
พอสาวชุดเหลืองได้ยิน แววตาก็นึกสนุก อมยิ้มแล้วว่า “หือ พวกเขาพูดเช่นนี้จริงๆ หรือ”
สาวใช้พยักหน้า “องค์หญิงเพคะ บ่าวฟังไม่ผิดหรอก”
“สองคนนี้ น่าสนุกจริงๆ ด้วย” สาวชุดเหลืองพูดอย่างอ่อนโยนพลางยิ้ม
สาวชุดเหลืองก็คือองค์หญิงฝูเยา เนื่องจากอีกสามวันก็จะมีการประลองยุทธ์ เจ้าหุบเขาไป่กั่วจึงให้นางล่วงหน้ามาก่อน เผื่อดูเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรประลองกัน แล้วเกิดประทับใจเมื่อแรกพบ
ในสถานะสาวใช้คนสนิทขององค์หญิง ย่อมใส่ใจการประลองยุทธ์เลือกคู่ ทุกวันนางต้องเข้าหาเจินจวินผลไม้เขียว ทำความเข้าใจสถานะของผู้บำเพ็ญเพียรที่ได้รับเลือกในรอบแรก สอบถามถึงผู้บำเพ็ญเพียรที่โดดเด่นสักหน่อย จึงต้องสะกดรอยตามพวกเยี่ยเทียนหยวน
แน่นอน ที่สาวใช้นางนี้ไม่ถูกจับได้ เพราะมีผลไม้วิเศษอยู่ในร่าง จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึง
“เฮ้อ องค์หญิงเพคะ ท่านคิดอย่างไรกันแน่ เห็นชัดว่าผู้บำเพ็ญเพียรสองคนนี้ไม่เห็นท่านอยู่ในสายตา ท่านไม่เพียงไม่โกรธ ยังยิ้มอีก”
องค์หญิงฝูเยาสั่นศีรษะ “ทำไมต้องโกรธด้วย ข้าก็ใช่ว่าจะสามารถทำให้ผู้ชายทุกคนในโลกชอบได้”
สาวใช้ทำปากยื่นปากยาว “องค์หญิงดีขนาดนี้ ผู้ชายทุกคนในโลกจะชอบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก มิเช่นนั้นจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมาร่วมประลองยุทธ์กันมากมายขนาดนี้หรือ”
องค์หญิงฝูเยาลูบช่อดอกไม้ไปมาตามอำเภอใจ พลางพูดเบาๆ “คนเหล่านั้นไม่เคยเห็นหน้าข้า จะชอบอะไรข้าเล่า และจะมีสักกี่คนที่ชอบคนอย่างข้าจริงๆ เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว ข้ากลับแปลกใจว่า คนเหล่านั้นจะใช้วิธีอะไรมาพบข้า เพื่อขอผลแย่งลิขิตกันแน่ เสี่ยวเฉิง ไปกระจายข่าวเรื่องที่ข้าเข้าเมืองได้แล้ว”
“องค์หญิง…”
“ไปเถอะ” องค์หญิงฝูเยาพูดเบาๆ จากนั้นก็จ้องมองดอกไม้อย่างใจลอย
นางเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์พิเศษ สามารถสื่อสารกับพืชวิญญาณ และการนี้ก็ทำให้นางเข้าใจความต้องการของพวกมัน จนสามารถปลูกผลไม้วิเศษที่ผู้อื่นไม่สามารถปลูกได้
วิถีสวรรค์สมดุล เพราะเหตุนี้ เมื่อเคยชินกับการอยู่เป็นเพื่อนพืชวิญญาณที่ไร้ซึ่งความปรารถนา นางจึงยากจะยอมรับเรื่องขุ่นมัวของโลก โดยเฉพาะผู้ชายที่พยายามคิดหาวิธีมาใกล้ชิด
ส่วนผู้ชายไม่กี่คนที่ทำให้หวั่นไหว ใจของพวกเขาก็มิได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง มีเพียงนางที่รู้สึกได้ถึงความซับซ้อน และปรารถนาที่จะรอดูความคิดต่างๆ ที่ทำให้นางถอยไปเอง
“คำมั่นสัญญาสุภาพบุรุษหรือ” องค์หญิงฝูเยาประคองช่อดอกไม้พลางพึมพำ
ผู้ชายที่สะอาดบริสุทธิ์เช่นนี้ คุ้มค่าที่จะพบเจอสักครั้ง
ค่ำคืน ทุกคนมารวมตัวกันในห้องโถงของห้องเช่าเพื่อปรึกษาหารือ
อีกาไฟเล่าข่าวที่ได้ยินมาอย่างปีติยินดีว่า องค์หญิงฝูเยาเข้าเมืองมาแล้ว
หลัวอวี้เฉิงใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะ มุมปากแย้มยิ้ม “เช่นนี้เห็นที องค์หญิงฝูเยาท่านนี้ น่าจะอยากพบใครบางคน”
“หา ทำไมถึงพูดเช่นนี้เล่า” อีกาไฟเบิ่งตาที่เล็กให้โต
“เดาได้ง่ายมากเลย นี่เจ้าไม่รู้หรือ” เห็นชัดว่าหลัวอวี้เฉิงยังคงรำคาญคำพูดก่อนหน้านี้ของอีกาไฟอยู่ จึงจงใจพูด
แค่ๆ อวี้เฉิง เจ้าภูมิใจนักใช่ไหม
อีกาไฟอ้าปากพะงาบ อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
เขาน้อยรีบไกล่เกลี่ย “เจินจวิน เขาน้อยก็ไม่เข้าใจ”
หลัวอวี้เฉิงเม้มริมฝีปาก ยิ้มแล้วว่า “จากคำพูดของชิงซิ่งเจินจวิน ก็รู้ได้ว่า เจ้าหุบเขาไป่กั่วรักและเอ็นดูองค์หญิงฝูเยามากขนาดไหน คนรอบข้างก็ยิ่งไม่กล้าละเลย ตอนนี้องค์หญิงฝูเยามาถึงที่นี่ ย่อมเป็นเพราะต้องการมาดูการประลองในด่านที่สอง ถึงได้กระจายข่าวว่านางมาถึงแล้ว เกรงว่าเป็นคนข้างกายนั่นแหละที่จงใจปล่อยข่าวออกมา นี่มิใช่เป็นการชักนำให้คนไปกันหรือ”
“พูดเช่นนี้แปลว่า องค์หญิงฝูเยามีชู้!” อีกาไฟตื่นตกใจ
หลัวอวี้เฉิงเหลือบมองมัน “ข้าได้ยินมาว่า ผู้หญิงที่ไม่มีจริยธรรมทางวาจา ยากจะแต่งออก”
อีกาไฟก้มหน้าอย่างหดหู่ พลางยกปีกขึ้นเกาศีรษะ
“ถ้าเป็นเช่นนี้ เราก็ไปเยือนนางตรงๆ ได้เลย ไม่ถือว่าผิดนี่” เยี่ยเทียนหยวนพูด
หลัวอวี้เฉิงเหลือบมองนอกหน้าต่าง “พรุ่งนี้เราไปเยือนองค์หญิงฝูเยาท่านนั้นกัน”
ตกลงได้ดังนี้ กลุ่มคนจึงแยกย้าย
เนื่องจากหมาป่าน้อยกับเขาน้อยแปลงกายแล้ว จึงมีห้องเป็นของตนเอง อีกาไฟทั้งชื่นชมทั้งอิจฉา จึงร้องขออย่างจริงจัง จนได้มาห้องหนึ่ง
หลังจากที่แต่ละคนกลับห้องได้ไม่นาน ห้องหนึ่งก็เปิดออกเงียบๆ เด็กหนุ่มสวมชุดสีดำคนหนึ่งก้าวออกมา กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนกระโดดไม่กี่ครั้ง หายไปในความมืด
เด็กหนุ่มคนนี้ก็คือ หมาป่าน้อยที่หลายวันมานี้นิ่งเงียบไม่พูดจามาตลอด
[1] ชิงซิ่ง แปลว่าแอปริคอทสีเขียว