หมาป่าน้อยเงยหน้ามองแล้วมองอีก
ที่แห่งนี้คือสวนหานเซียงอันเป็นสถานที่พำนักชั่วคราวขององค์หญิงฝูเยา
จะว่าไปแล้วก็แปลก สถานที่พำนักชั่วคราวขององค์หญิงฝูเยามิได้อยู่ในเรือนของเจ้าเมือง แต่กลับอยู่ในสวนแห่งหนึ่งแถบชานเมือง
แน่นอนว่าหมาป่าน้อยในฐานะอสูรวิญญาณมิได้ตรึกตรองเรื่องเหล่านี้ เขาเงยหน้ามองแสงจันทร์ ทันใดนั้นหลังของเขาก็ปรากฏปีกสีดำคู่หนึ่งออกมา
ปีกสีดำคู่นั้นกระพือเล็กน้อย หมาป่าน้อยก็บินขึ้นไปกลางอากาศอย่างไร้สุ้มเสียง จวบจนอยู่ใกล้กับสวนแห่งนั้นถึงได้หยุดลง เขาขมวดคิ้วและมองตรงไปข้างหน้า
มีกลิ่นอายของคลื่นม่านบังตา
หลังจากหมาป่าน้อยแปลงกาย พรสวรรค์ก็ตื่นขึ้นมา ความรู้สึกก็ไวกับกลิ่นอายทุกชนิดมาก ถึงขั้นพูดได้ว่าหากเส้นผมของผู้ใดถูกเขาดมเข้า ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะวิ่งหนีไปยังขอบฟ้าเขาก็สามารถหาพบ
หมาป่าน้อยสงบลงจากนั้นเขาก็อ้าปาก คมวายุที่เกิดจากกลิ่นอายสีดำสายหนึ่งรวมตัวกันก็พุ่งออกไปอย่างเชี่ยวชาญ ฉากป้องกันไร้รูปร่างพลันกลายเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง จากนั้นก็กระโจนเข้าไปในปากถ้ำ
หลังจากร่อนลงยังพื้นด้วยความชำนาญ เด็กหนุ่มในชุดสีดำก็ลอยขึ้นลงอีกหลายครั้ง ประหนึ่งราชาที่แอบอยู่ในความมืด ค่อยขยับเข้าไปใกล้ที่พำนักขององค์หญิงฝูเยาอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของหมาป่าน้อยก็เปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะที่เข้าใกล้ หลังจากนั้นก็หยุดลงตรงหน้าหน้าต่าง
ขยับปลายนิ้วเพียงเล็กน้อย เล็บแหลมคมก็โผล่ออกมา เขากรีดลงเบาๆ และมองสาวใช้ยามกลางวันผ่านรอยแตกของหน้าต่าง
หมาป่าน้อยหรี่ตาลง
ไม่รู้ว่าสาวใช้นางนี้ใช้วิธีใดถึงได้หลบหลีกหูตาของพวกเยี่ยเทียนหยวนได้ แต่ก็มิอาจหลบหนีหมาป่าน้อยที่ประสาทสัมผัสไวกับกลิ่นอายได้ เพียงแต่นิสัยของเขาสุขุม เพื่อช่วยนายท่านในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย เขากลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงไม่ได้บอกผู้ใดเกี่ยวกับสาวใช้ที่สะกดรอยตาม
ในบรรดาเหล่าอสูรวิญญาณ ไม่มีตนไหนสุขุมได้เท่ากับหมาป่าน้อย เขาจดจำกลิ่นอายของสาวใช้อย่างเงียบๆ การสำรวจสวนหานเซียงยามค่ำคืน ก็เพื่อหาองค์หญิงฝูเยาให้พบและได้รับซึ่งผลแย่งลิขิต”
สาวใช้ในห้องหยิบชุดสีเหลืองออกมาจากตู้เสื้อผ้า เพิ่งจะเปิดประตูเงาสีดำสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ยังไม่ทันจะได้ตะโกนก็ถูกปิดปากเอาไว้ เส้นชีพจรที่ข้อมือถูกกดไว้ ทันใดนั้นพลังวิญญาณในกายก็หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น “พาข้าไปพบองค์หญิงฝูเยา”
สาวใช้ส่ายหัวอย่างแรง
“หากไม่พาข้าไป ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย” หมาป่าน้อยอ้อมจากข้างหลังไปอยู่ตรงหน้าสาวใช้ ดวงตาไร้ความรู้สึกจ้องตรงไปยังนาง ภายในเผยให้เห็นจิตสังหารอย่างมิได้พูดล้อเล่น
คาดไม่ถึงว่าสาวใช้จะเบิกตากว้าง แม้ว่าดวงตาจะแววตื่นตระหนก แต่กลับมีความเด็ดขาดมากกว่า
หมาป่าน้อยชะงักเล็กน้อย จากนั้นโบกมือสร้างม่านกั้นเสียงและเปิดมือที่ปิดปากสาวใช้เอาไว้ พลางถามเสียงเย็น “เจ้ามิกลัวตายหรือ”
สาวใช้คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ นางเห็นหมาป่าน้อยสร้างม่านกั้นเสียงตั้งแต่แรก แต่กลับก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลืออันไร้ประโยชน์ ทว่ากลับเอ่ยอย่างเด็ดขาด “เจ้าวางใจเถิด หากข้าตายข้าก็มิพาเจ้าไปพบองค์หญิงหรอก”
“เพราะเหตุใด” หมาป่าน้อยถามอย่างสงสัย
สาวใช้กัดริมฝีปากก่อนจะพูด “กลัวตายจนต้องยอมขายนายท่าน เสี่ยวเฉิงมิมีทางทำเช่นนั้นเป็นอันขาด”
เหอะ เช่นนี้หรือ
หมาป่าน้อยวัยหนุ่มครุ่นคิด คิดว่ามีเหตุผลนัก หากมีคนเลวบังคับให้เขาทำร้ายนายท่าน เขาเองก็ไม่ทำเป็นอันขาด
เพียงแต่ หากไม่ได้พบองค์หญิงฝูเยาก็จะไม่ได้ผลแย่งลิขิต หากไม่ได้ผลแย่งลิขิตก็ช่วยนายท่านไม่ได้
ผู้ที่ทำให้ข้ามิอาจช่วยนายท่านไว้ได้ มิคู่ควรกับความเห็นใจ!
พริบตาเดียวหมาป่าน้อยที่จิตใจยังบริสุทธิ์ก็โยนความคิดที่มีต่อสาวใช้ไปไกล จากนั้นก็ย้อนคิดดูว่าเขารู้สิ่งใดเกี่ยวกับสตรีบ้าง ฉับพลันนั้นก็หรี่ตาลง ใบหน้าเคร่งขรึม พลางถามอย่าน่ากลัว ”เจ้าจะไม่พาข้าไปจริงหรือ”
“แน่นอนว่าไม่” สาวใช้เชิดหน้า
ใบหน้าของหมาป่าน้อยฉายแววดุร้าย “ได้ เช่นนั้นข้าจักถอดเสื้อผ้าของเจ้าให้หมด ทำให้เจ้าตั้งครรภ์ จากนั้นรอจนฟ้าสางข้าจักไปโยนเจ้าลงบนถนน!”
ใบหน้าของสาวใช้ซีดขาวทันที นางกัดริมฝีปากตามด้วยพูดอย่างสั่นๆ “ไร้ยางอาย!”
หมาป่าน้อยแสยะยิ้มให้สาวใช้ดูเขี้ยวแหลมคมหนึ่งคู่
พลางนึกในใจอย่าได้คิดว่าข้าแปลงกายแล้วฟันจะไม่มีประโยชน์เล่า
สาวใช้กลัวจนซวนเซ พลางคิดในใจว่าคนผู้นี้เป็นพวกวิปริตหรือไร หรือว่าเขาจะใช้ปากฉีก….
ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว ชั่วพริบตาเดียวเหงื่อเย็นก็ชโลมไปทั่วเสื้อผ้า
“นี่ เจ้าจะตอบหรือไม่ตอบกันแน่ ถ้าไม่ตอบข้าก็จะถอดจริงๆ” หมาป่าน้อยขยับเข้ามาใกล้หนึ่งก้าว
สาวใช้หลับตา “เจ้าฝันไปเถิด!”
หมาป่าน้อยแอบสูดลมหายใจ อาศัยเวลาเพียงชั่วพริบตารวบรวมความกล้า จากนั้นฉีกแขนเสื้อสาวใช้เสียงดัง แคว่ก
สาวใช้ร้องเสียงแหลม น่ากลัวเสียจนมือของหมาป่าน้อยสั่น ได้แต่มองตู้โตว[1]สีชมพูที่เผยออกมาให้เห็นของสาวใช้อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
“เป็นอย่างไรเล่า เจ้าลองคิดดูให้ดี มิเช่นนั้นข้าจะลงมือต่อแล้ว!” หมาป่าน้อยพูดขู่
สาวใช้มีจิตใจซื่อสัตย์และหวังปกป้องเจ้านาย นางหลับตาและพูดออกมาอย่างคับแค้นใจ “เจ้าคนชั่ว ตามใจเจ้า ข้าจะทำเหมือนกับว่า…เหมือนกับว่าโดนสุนัขกัด!”
คำพูดเหล่านี้กระตุ้นให้หมาป่าน้อยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มันอ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวหนึ่งคู่ จากนั้นก็กัดลงบนแขนของสาวใช้อย่างแรง
โลหิตสดๆ กระตุ้นนิสัยชั่วร้ายภายใน ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เขาฉลาดขึ้นด้วย เขายื่นมือออกมาผลักสาวใช้ลงไปกองกับพื้น จากนั้นหยิบเถาวัลย์มัดวิญญาณออกมาหนึ่งสายและมัดสาวใช้เป็นบ๊ะจ่างตามด้วยโยนลงบนเตียง
หลังจากนั้นอ้าปากสูดหายใจลึกๆ สูดกลิ่นต่างๆ เข้าไปอย่างต้องการทำลายร่องรอยที่เคยมี
ตามด้วยคว้าชุดสีเหลืองที่สาวใช้เคยสวมขึ้นมาสูดดม ก่อนจะหันหน้าแล้วหายออกไปนอกประตู
ชั่วพริบตาเดียวหมาป่าน้อยก็หาห้องขององค์หญิงฝูเยาพบจากการตามกลิ่นบนชุด
กลิ่นหอมอ่อนๆ ค่อยโชยมา หมาป่าน้อยพังประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเลและพุ่งเข้าหาองค์หญิงฝูเยา
ภายใน ห้องมีถังไม้ขนาดใหญ่ที่มีไอร้อนลอยขึ้นมาวางอยู่ สตรีนางหนึ่งหันหลังให้ประตูกำลังใช้กระบวยไม้ตักน้ำที่มีกลีบดอกไม้ลอยอยู่เต็มราดกาย
เหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ทำให้องค์หญิงที่มีผู้คนคอยปรนนิบัติจมกายลงในถังไม้อย่างตื่นตระหนกตามสัญชาตญาณสตรี จนลืมใส่เสื้อผ้าและต่อสู้กับผู้ที่เข้ามา
กว่านางจะมีปฏิกิริยาก็ไม่ทันเสียแล้ว พริบตาเดียวหมาป่าน้อยก็ไปอยู่ตรงหน้าและกำรอบคอนางไว้อย่างไม่ลังเล จากนั้นก็อ้าปากปล่อยกลิ่นออกมา กักขังองค์หญิงฝูเยาภายในกลิ่นอายชั่วร้ายมากมาย เขาพูดเน้นทีละคำ “ส่งผลแย่งลิขิตมาให้ข้า!”
องค์หญิงฝูเยาก็หัวเราะเสียงเย็นออกมาหลังจากได้ยินคำพูดของหมาป่าน้อย นางพูดอย่างโมโห “ช่างเป็นคำมั่นสัญญาสุภาพบุรุษที่ดีนัก คำมั่นสัญญาสุภาพบุรุษอันสง่าผ่าเผย ที่แท้ก็เป็นการกระทำอันไร้ยางอายเยี่ยงนี้ ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว!”
หมาป่าน้อยขมวดคิ้วตามด้วยพูดเสียงเย็น “อยู่ๆ สตรีเยี่ยงเจ้าก็พูดถึงลั่วหยางเจินจวินทำไมกัน”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าก็เข้มขึ้น “หรือว่าเจ้ามีใจให้ลั่วหยางเจินจวิน”
องค์หญิงฝูเยาทั้งโกรธทั้งกัดฟันพูดไปด้วย “บังอาจ!”
เดิมที่คิดว่าบุรุษที่พูดเช่นนั้นออกมาจะต้องเป็นเป็นวีรบุรุษที่พบได้ยากบนโลกนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสหายของเขาจะเป็นคนเช่นนี้
อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนก็จะกลายเป็นคนเช่นนั้น ทั้งยังร่วมกันกระทำการชั่ว ดูท่าแล้วลั่วหยางเจินจวินท่านนั้นจะไปมีดีอะไรกัน!
ในใจขององค์หญิงฝูเยารู้สึกถึงความผิดหวังอันอธิบายไม่ได้ นางพูดเสียงเรียบ “ปล่อยข้าเสีย ข้าจักไปสวมเสื้อผ้า”
ในอดีตไม่เคยมีบุรุษผู้ใดปฏิเสธคำพูดของนางมาก่อน
เพียงแต่หมาป่าน้อยไม่ได้จัดอยู่ในบุรุษผู้ใดอย่างชัดเจน มันเผชิญหน้ากับองค์หญิงฝูเยาที่มีผลแย่งลิขิต แม้แต่ความอดทนที่มีต่อสาวใช้ยังไม่มี เขาจึงยกองค์หญิงฝูเยาขึ้นจากถังไม้ จากนั้นใช้เถาวัลย์มัดวิญญาณพันธนาการรอบกายนางไว้
องค์หญิงฝูเยาหวาดกลัวเล็กน้อย นางกำมือแน่นพลางประณามเขา “กล้าดีเยี่ยงไร เจ้าจะทำอะไร!”
หมาป่าน้อยไม่พูดไม่จา เขาฉีกผ้าบนกายออกมาหนึ่งท่อนและยัดเข้าไปในปากขององค์หญิงฝูเยา จากนั้นก็ยื่นมือขึ้นมาแบกนางพาดบ่า ตามด้วยสยายปีกสีดำข้างหลังออกมาและก็หายไปในราตรีอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับไปยังที่พักที่เช่าไว้ หมาป่าน้อยก็ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก้าวเท้าเดินไปยังห้องของอีกาไฟ
หมาป่าน้อยเคาะประตูและส่งเสียงตะโกน “ท่านแม่ ท่านนอนแล้วหรือ”
ประตูถูกถีบเปิดออกในทันที หมาป่าน้อยที่เตรียมตัวไว้นานแล้วก็หลบไปยังข้างๆ ต่อมาก็ได้ยินเสียงพูดอย่างโมโหจากอีกาไฟ “เจ้าบ้า ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่าแม่! ข้ายังอยู่ในวัยเยาว์ ทั้งยังงดงามดั่งบุปผา…นั่น นั่นผู้ใดกัน!”
ครั้งนี้เสียงร้องของอีกาไฟเปี่ยมไปด้วยพลัง ประตูห้องหลายบานเปิดขึ้นมาในทันใด เยี่ยเทียนหยวน หลัวอวี้เฉิง และเขาน้อยที่ท่าทางสะลึมสะลือเดินออกมาทั้งหมด
องค์หญิงฝูเยาผู้น่าสงสารและสูงส่ง แต่กลับสวมเพียงแค่ตู้โตวสีเขียวอ่อนชิ้นเดียวทิ้งให้ส่วนอื่นของร่างกายเปลือยเปล่า
นางในยามนั้นแทบอยากจะให้เถาวัลย์เส้นนั้นพันธนาการไปทั่วร่าง
เมื่อทั้งสามคนที่เดินออกมาเห็นคนบนบ่าของหมาป่าน้อย ปฏิกิริยาที่มีก็ไม่เหมือนกัน
เยี่ยเทียนหยวนโบกมือขึ้นหนึ่งครา เสื้อสีเขียวหนึ่งตัวก็หล่นลงมาบนกายขององค์หญิงฝูเยา
หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้วขึ้นและพูดด้วยด้วยน้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้ออย “องค์หญิงฝูเยา?”
เขาน้อยเบิกตากว้างพลางถาม “หมาป่าน้อย เจ้าไปจับคนมาจากที่ใดกัน แปลกจริงที่นางมิได้สวมเสื้อผ้า หรือว่าจะเป็นอสูรปีศาจ!”
โชคดีที่เรือนที่ผู้บำเพ็ญเพียรเช่าไว้นั้นมีม่านกันเสียง เพื่อความปลอดภัยพวกเขาก็สร้างม่านอีกชั้นหนึ่ง ด้านนอกไม่อาจได้ยินความครึกครื้นภายในใดๆ
องค์หญิงฝูเยาใบหน้าเขียวคล้ำ นางอยากตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย
ถูกจับตัวไปทั้งๆ ที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าว่าน่าเวทนาแล้ว แต่กลับถูกผู้คนมากมายมุงดูน่าเวทนาเสียกว่า
ถูกผู้คนมากมายมุงดูก็ไม่ถือว่าน่าเวทนานัก ที่น่าเวทนาคือถูกจำได้ว่าคือใครกันต่างหาก!
ถูกจำได้ก็ไม่ถือว่าน่าเวทนาที่สุด แต่กลับที่น่าเวทนาที่สุดคือรู้ทั้งรู้ว่านางคือองค์หญิงฝูเยา แต่ก็ยังถูกสงสัยถึงเผ่าพันธุ์!
นี่มันช่าง นี่มันช่าง…
ทั้งชีวิตขององค์หญิงฝูเยาไม่เคยประสบกับเรื่องที่ทำให้จิตใจว้าวุ่นเช่นนี้มาก่อน ความโกรธเข้าโจมตีหัวใจของนางและก็หมดสติไปโดยมิได้คาดคิด
กลางเรือนบังเกิดความเงียบประหลาดขึ้น
หลังจากนั้นอีกาไฟก็พุ่งเข้ามาและใช้ปีกทุบตีหมาป่าน้อย “หมาป่าน้อย นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะจับตัวองค์หญิงฝูเยามา มันช่าง ช่าง…”
พูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ครู่ต่อมาถึงจะพูดประโยคต่อมา “ช่างทันเวลาเสียจริง!”
เยี่ยเทียนหยวนกับหลัวอวี้เฉิงยกมุมปากขึ้นพร้อมกัน พลางมองไปยังองค์หญิงฝูเยาที่ไม่ได้สติเงียบๆ
ช่วงเวลาที่ทั้งสองคนเงียบเชียบ เขาน้อยก็รีบวิ่งเข้าไปมองใบหน้าหมาป่าน้อยอย่างเลื่อมใส “หมาป่าน้อย เจ้าสุดยอดไปเลย เจ้าเอาผลแย่งลิขิตกลับมาให้นายท่านได้แล้ว”
พูดถึงตรงนี้ก็ก้มหัวอย่างรู้สึกต่ำต้อย “เป็นเขาน้อยที่มิมีประโยชน์ มิเช่นนั้นหมาป่าน้อยก็คงพาข้าไปด้วยกัน”
“นั่นสิ เจ้าเป็นเพียงแค่เด็ก ไปคนเดียวได้อย่างไร!” อีกาไฟพูดอย่างฉุนเฉียว
เยี่ยเทียนหยวนมองอสูรวิญญาณสามตนพลันรู้สึกกังวลขึ้นมา หลังจากนี้หน้าที่อบรมสั่งสอนอสูรวิญญาณของศิษย์น้องคงลำบากมาก
หลัวอวี้เฉิงก้าวยาวๆ อย่างเร็วไปแยกเจ้าสามตนนั้นออกจากกันพลางพูดเสียงเรียบ “พวกเจ้าพอได้แล้ว อย่าได้สร้างปัญหาอีก ปลุกองค์หญิงฝูเยาให้ตื่นเสีย จะได้เอาผลแย่งลิขิตมา จากนั้นก็รีบหนีเอาตัวรอดให้เร็วที่สุด!”
จากนั้นก็เอาผ้าที่อุดปากองค์หญิงฝูเยาออกมา ส่งพลังวิญญาณเข้าไปเพื่อปลุกให้นางตื่น
องค์หญิงฝูเยาตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีสบายๆ มองไปยังเหล่าบุรุษที่ล้อมอยู่ไม่ห่าง สีหน้าเย็นเยียบเสียจนแทบจะกลายเป็นน้ำแข็ง นางเค้นเสียงลอดไรฟัน “เจ้าพวกคนหน้าไม่อาย ข้าจะทำลายผลแย่งลิขิต และจะไม่มอบมันให้แก่พวกเจ้า!”
[1] 肚兜 อ่านว่า ตู้โตว คือผ้าปิดหน้าอกของสตรีในยุคโบราณ เทียบได้กับชุดชั้นในในยุดปัจจุบัน