ตอนที่ 337 ไม่ยินยอม

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

สายตาของทุกคนมองไปที่ผู้อาวุโสเจ็ดของตระกูลเฟิงเป็นจุดเดียวและบรรยากาศโดยรอบเริ่มอึดอัดขึ้นมา

“ผู้อาวุโสเจ็ด แสดงความเห็นของท่านมาเถิด”

เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสเจ็ดนิ่งเงียบไม่พูดจา เฟิงหมิงก็หันไปสบตาและเอ่ยกับนาง

“จิงเทียน ท่านอยากให้ข้าสนับสนุนฝ่ายใด?”

ในที่สุดผู้อาวุโสเจ็ดก็เอ่ยปาก ทว่าคำพูดที่ออกมากลับทำให้ทุกคนตกตะลึง

“เฮ้ จากน้ำเสียงของผู้อาวุโสเจ็ด ดูเหมือนว่านางจะสนิทสนมกับบิดาของเสี่ยวเหยียนพอสมควร หรือว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน?”

ซูเสี่ยวจวิ้นกระซิบกระซาบข้างหูฉินอวี้โม่ แม้ว่านางยังเยาว์วัยมากแต่ก็มีไหวพริบและรู้หลายสิ่งหลายอย่าง

คำพูดของผู้อาวุโสเจ็ดเมื่อครู่เจือปนความรู้สึกมากมาย เมื่อนางเอ่ยชื่อเฟิงจิงเทียน แม้แต่กลิ่นอายบนร่างกายของนางก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย

ฉินอวี้โม่ไม่ได้กล่าวอะไร แน่นอนว่านางก็สัมผัสได้เช่นกัน หากกล่าวว่าสตรีผู้นี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆกับเฟิงจิงเทียน นางจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน

เฟิงจิงเทียนเป็นบุคคลโดดเด่นที่มีรูปลักษณ์หล่อเหลาและก็มีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็มีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างที่สุดซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจสตรีได้มากมาย

สำหรับผู้อาวุโสเจ็ดผู้นี้ อาจมีบางสิ่งบางอย่างระหว่างนางกับเฟิงจิงเทียน นั่นเป็นสาเหตุที่นางแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา

“เฟยเยียน เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แล้ว”

เฟิงจิงเทียนถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยินวาจาของผู้อาวุโสเจ็ด เขาก็สบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาที่ดูซับซ้อน อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่สามารถอธิบายให้หลายคนที่งุนงงได้เข้าใจ

“ฮ่าๆๆ ในเมื่อท่านว่าเช่นนั้น แน่นอนว่าข้าก็จะสนับสนุนบุตรสาวของท่าน”

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสเจ็ดก็หัวเราะเบาๆด้วยน้ำเสียงที่เจือความจำนนและความจนปัญญาบางอย่าง เรื่องระหว่างนางและเฟิงจิงเทียนดูจะซับซ้อนเป็นอย่างมาก

“บุตรสาวของท่านยอดเยี่ยมไม่ต่างจากท่านเลย หากนางได้เป็นผู้นำตระกูล ตระกูลเฟิงของเราจะรุ่งเรืองมากขึ้นอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกัน บุตรชายของเฟิงหลิงสืบทอดข้อบกพร่องหลายอย่างมาจากเขา หากเฟิงอู๋ได้ตำแหน่งนี้ไปครอง เกรงว่าตระกูลเฟิงของเราจะตกอยู่ในเงื้อมมือคนอื่นในไม่ช้า”

ผู้อาวุโสเจ็ดกล่าวขึ้นเบาๆด้วยวาจาเฉียบคมและชัดเจน บรรดาผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างก็รู้สึกได้ว่าสตรีผู้นี้ฉลาดเฉลียวไม่เบา

“ผู้อาวุโสเจ็ด ระวังคำพูดไว้ด้วย!”

เฟิงหลิงสีหน้าเหยเกทันทีที่ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเจ็ด เมื่อครู่ผู้อาวุโสสองเพิ่งเอ่ยวาจาไม่ไว้หน้าเขา ไม่คิดเลยว่าแม้แต่ผู้อาวุโสเจ็ดก็จะไม่ไว้หน้าเขาเช่นกัน

“ฮ่าๆๆ เฟิงหลิง อย่าพูดกับคนอื่นด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ ระลึกไว้ซะว่าหากท่านคิดว่าตนเองสูงส่งเหนือกว่าผู้อื่น ภัยอันตรายจะมาถึงตัวได้”

ผู้อาวุโสเจ็ดยิ้มบางๆขณะคลื่นพลังรอบตัวนางหนาแน่นขึ้นทันทีและแผ่ตรงไปที่เฟิงหลิง

เฟิงหลิงสัมผัสได้ถึงสภาวะพลังอันทรงอำนาจที่แผ่ออกมาหาตัวและเม็ดเหงื่อผุดทั่วหน้าผาก เขาไม่คาดคิดเลยว่าผู้อาวุโสเจ็ดจะมีพลังที่รุนแรงถึงเพียงนี้

แรงกดดันที่ทรงพลังซึ่งมาจากนางไม่อ่อนแอไปกว่าแรงกดดันของผู้อาวุโสสอง—ตี๋หย่งเท่าไหร่นัก

“ข้าเป็นบุคคลที่ใจร้อนวู่วามซึ่งนึกจะทำอะไรก็ทำเลย หากท่านไม่รังเกียจ ข้ายินดีใช้ท่านเป็นเป้าหมายในการระบายอารมณ์”

น้ำเสียงของผู้อาวุโสเจ็ดสงบนิ่งและใจเย็นอย่างที่สุด ทว่าสีหน้าของเฟิงหลิงกลับกลายเป็นบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม

ในทางกลับกัน บรรดาผู้ชมที่ได้ยินนางต่างก็อดหัวเราะไม่ได้ ผู้อาวุโสเจ็ดผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง

เมื่อผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่นๆได้ยินการตัดสินใจของนาง พวกเขาก็ยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉย ไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่

ผู้อาวุโสเจ็ดไม่ต้องการเอ่ยอะไรต่อไป นางหันหลังกลับและไปยืนข้างหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ

“เจ้าคือฉินอวี้โม่ใช่รึไม่?“

ผู้อาวุโสเจ็ดไม่ได้ให้ความสนใจฉินเทียน ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆขณะเอ่ยถามฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใคร่รู้

ทันทีที่ผู้อาวุโสเจ็ดเงยหน้าขึ้นสบตา ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็ได้เห็นใบหน้าของนาง ต้องยอมรับเลยว่าผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลเฟิงผู้นี้เป็นสตรีที่งดงามอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น นางก็มีดวงตากลมโตสีน้ำเงินลึกลับตัดกับใบหน้าขาวผ่องและทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายดึงดูดใจออกมาซึ่งทำให้ผู้คนอยากเข้าใกล้นางโดยไม่รู้ตัว

“ผู้อาวุโสเจ็ดมีอะไรหรือเจ้าคะ?”

เมื่อสบตาสตรีตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็คลี่ยิ้มและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ฮ่าๆ นางเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ชื่อเสียงของนางจะเลื่องลือไปทั่วทั้งดินแดน”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มงดงาม ผู้อาวุโสเจ็ดก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อสบตาฉินอวี้โม่เมื่อครู่ นางได้ร่ายมนตร์สะกดที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษในแววตา

ทักษะร่ายมนตร์สะกดเมื่อครู่เป็นหนึ่งในทักษะเฉพาะตัวของผู้อาวุโสเจ็ด โดยปกติแล้ว หากได้สบตากับนาง ผู้ที่อ่อนแอหรือมีพลังในระดับเดียวกับนางจะไม่สามารถฟื้นสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว

แต่ทว่า ฉินอวี้โม่ผู้นี้กลับดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆแม้แต่น้อยและนั่นไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่ายอย่างที่เห็นเลย

“นายหญิง ดวงตาของนางมีอะไรบางอย่างผิดปกติ หากเป็นไปได้ อย่าสบตากับนางนานเกินไป”

มารยาเอ่ยขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ พลังจิตวิญญาณของมันแข็งแกร่งมากและเป็นธรรมดาที่มันจะสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

“ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วง”

พลับพลึงแดงขึ้นเอ่ยขึ้นเช่นทว่ามันไม่สนใจเท่าไหร่นัก

ด้วยพลังวิญญาณของฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสเจ็ดไม่สามารถมีอิทธิพลใดๆต่อนางได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็มีการคุ้มครองจากเพลิงจักรพรรดิ มนต์เสน่ห์ทางจิตวิญญาณเช่นนี้จึงไม่มีผลอะไรกับนาง

“ในวันข้างหน้าหากมีเวลา ข้าขอเชิญเจ้ามาจิบน้ำชาที่เรือนผู้อาวุโสเจ็ดของข้า”

ผู้อาวุโสเจ็ดมองฉินอวี้โม่อีกครั้งก่อนกล่าวขึ้นเบาๆ จากนั้นร่างของนางก็กะพริบหายไปและปรากฏตัวอีกครั้งในจุดที่ห่างออกไป

ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสเจ็ดผู้นี้ไม่ต้องการอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมนี้อีกต่อไปและกลับไปยังลานที่พักของตนเอง

“ข้าจะไป”

ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเพียงเบาๆ ทว่าเสียงนั้นก็ไปถึงหูของผู้อาวุโสเจ็ด

กล่าวตามตรง อดีตนักฆ่าสาวแห่งยุคก็เริ่มสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับผู้อาวุโสเจ็ดผู้ลึกลับนี้ นางเต็มไปด้วยกลิ่นอายความลึกลับจนฉินอวี้โม่อยากรู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างนางและเฟิงจิงเทียนอยู่ไม่น้อย

“แล้วข้าจะรอ”

เสียงของผู้อาวุโสเจ็ดดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่ก่อนที่ร่างของนางจะหายวับไปจากสายตาของผู้คน

“ผู้อาวุโสเจ็ดคนนี้ประหลาดจริงๆ”

ซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆมองไปในทิศทางที่ผู้อาวุโสจากไปและอดเอ่ยออกมาไม่ได้

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มออกมาโดยไม่เอ่ยอะไร จากนั้นสายตาของนางก็กลับไปมองที่เฟิงหรูเซียว

“ฮ่าๆๆ สถานการณ์ตอนนี้คือผู้อาวุโสทั้งแปดคนออกเสียงสนับสนุนเสี่ยวเหยียนและเฟิงอู๋เท่ากัน ตระกูลเฟิงของเราก็มีกฎระเบียบอยู่ ในกรณีเช่นนี้ ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจสุดท้ายของผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน เพราะฉะนั้น…คงไม่มีข้อกังขาอีกที่เสี่ยวเหยียนจะรับตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงคนต่อไป”

เฟิงหรูเซียวกล่าวพร้อมรอยยิ้มภาคภูมิใจ เขาเองก็ประหลาดใจกับการตัดสินใจของผู้อาวุโสเจ็ด เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าระหว่างผู้อาวุโสเจ็ดและเฟิงจิงเทียนมีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน เพียงแต่อากัปกิริยาของทั้งสองเมื่อครู่ทำให้เขาคาดเดาบางอย่างได้ลางๆ

เขาหันไปสบตากับหลานสาวแต่ก็พบว่าสีหน้าของเสี่ยวเหยียนยังคงเรียบเฉยและดูจะไม่สะทกสะท้านกับความปกติของเฟิงจิงเทียนเมื่อครู่

“ท่านพ่อ ลูกรัก ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้ได้ทราบหลังจากจบงานเลี้ยง”

เฟิงจิงเทียนชำเลืองมองเสี่ยวเหยียนและเฟิงหรูเซียวก่อนเอ่ยกับคนทั้งสอง

“ท่านพ่อ หากท่านรักใคร่ชอบพอกับท่านผู้อาวุโสเจ็ดจริงๆ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องข้าหรอกเจ้าค่ะ”

เสี่ยวเหยียนกล่าวตอบบิดา นางไม่ต้องการให้เฟิงจิงเทียนต้องสละความสุขส่วนตัวเพียงเพราะนาง

มารดาของนางล่วงลับไปนานแล้วและตอนนี้นางก็เติบโตขึ้นมาระดับหนึ่ง หากมารดาอยู่ในสวรรค์เบื้องบนและมองลงมาก็คงรู้สึกโล่งใจและหายห่วงเช่นกัน

หากว่าระหว่างเฟิงจิงเทียนและผู้อาวุโสเจ็ดมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันจริง เสี่ยวเหยียนก็หวังว่าทั้งสองจะแต่งงานครองรักกันต่อไป นางเชื่อว่าหากมารดาได้รู้ก็ต้องสนับสนุนทั้งสองอย่างแน่นอน

“ลูกเอ๋ย ไว้คุยกันทีหลังก็แล้วกัน”

เฟิงจิงเทียนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของบุตรสาว ทว่าเขาก็ตอบกลับไปอย่างอับจนปัญญา

เรื่องระหว่างเขาและผู้อาวุโสเจ็ดยังคงไม่ชัดเจน หากแต่บัดนี้เป็นเวลาสำหรับสะสางปัญหาเรื่องเฟิงอู๋ เฟิงหลิงและคนอื่นๆ

เมื่อได้ยินวาจาของเฟิงหรูเซียว สีหน้าท่าทางของบรรดาผู้อาวุโสที่สนับสนุนเฟิงอู๋ก็เริ่มบิดเบี้ยว

เฟิงหลิงและเฟิงอู๋มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักเช่นกัน สิ่งที่พวกเขาคิดและคาดการณ์มาก่อนหน้านี้คือผู้อาวุโสเจ็ดจะแสดงความเห็นเป็นกลางและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เพียงแต่พวกเขาไม่คิดว่าจะมีเรื่องราวบางอย่างระหว่างผู้อาวุโสเจ็ดและเฟิงจิงเทียนซึ่งนำไปสู่การที่นางออกเสียงสนับสนุนเสี่ยวเหยียนอย่างไม่ลังเล

เมื่อมาถึงจุดนี้ เสี่ยวเหยี่ยนและเฟิงอู๋มีคะแนนเสียงที่เสมอกัน และกฎของตระกูลก็เป็นอย่างที่เฟิงหรูเซียวกล่าวไว้จริง บัดนี้สิทธิ์การตัดสินสุดท้ายเป็นของผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงคนปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม เฟิงหลิงและเฟิงอู๋ รวมถึงบรรดาคนที่สนับสนุนพวกเขาไม่มีทางยอมรับอย่างง่ายดาย

“เสี่ยวเหยียน เจ้ากล้าต่อสู้กับข้ารึไม่? หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะยอมล้มเลิกและไม่แย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงอีก แต่หากเจ้าไม่ยอมตกลงล่ะก็ เรื่องวันนี้ไม่จบง่ายๆแน่”

เฟิงอู๋ยืนขึ้นพร้อมกล่าวกับเสี่ยวเหยียนโดยตรงและประกาศท้าทาย

วาจาของเขาเต็มไปด้วยการข่มขู่อย่างชัดเจน หากเสี่ยวเหยียนไม่ยอม คนอื่นๆก็จะต้องต่อสู้กัน เมื่อถึงตอนนั้น เรื่องมันก็จะยุ่งวุ่นวาย ตระกูลเฟิงก็จะได้รับความเสียหายและเสี่ยวเหยียนอาจไม่ได้เป็นผู้นำตระกูลเฟิง

ทว่าหากว่าเสี่ยวเหยียนรับคำท้า เฟิงอู๋ก็จะมีโอกาสสังหารนางในระหว่างการต่อสู้ เมื่อศัตรูถูกกำจัด ตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงก็จะตกเป็นของเขาไปโดยปริยาย

ไม่ว่าเสี่ยวเหยียนจะตอบตกลงหรือไม่ มันก็ไม่ได้ส่งผลเสียใดๆต่อเขา

“ไม่ เจ้ามีอายุมากกว่าเสี่ยวเหยียนและเจ้าก็แข็งแกร่งกว่านางมาก หากเสี่ยวเหยียนสู้กับเจ้า นางจะต้องแพ้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าอาจจะฉวยโอกาสทำอะไรชั่วร้ายระหว่างการต่อสู้”

เสี่ยวเหยียนยังไม่เอ่ยปากพูดอะไร หากแต่เฟิงหรูเซียวตอบปฏิเสธออกไปโดยตรง

เขาไม่สนใจคำขู่ของเฟิงอู๋ วันนี้เขาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่มาแล้ว หากเสี่ยวเหยียนตอบรับคำท้าก็คงยากที่จะคาดเดาได้ว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นหรือไม่

“เฟิงอู๋ เจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ เจ้ามีอายุมากกว่าเสี่ยวเหยียนหลายปีและเจ้าก็ถือว่าเป็นคนที่มีชื่อในดินแดนนี้พอสมควร อีกทั้งเจ้าก็ยังแข็งแกร่งกว่านางมาก การท้าสู้กับเสี่ยวเหยียนเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไร้ยางอายอย่างที่สุด!”

ซูเสี่ยวจวิ้นอดกลั้นไม่ไหวและกล่าวออกไปด้วยวาจาที่เต็มไปด้วยการดูหมิ่นและถากถาง

ไม่คิดเลยว่าเฟิงอู๋จะหน้าด้านถึงเพียงนี้และกล้าท้าสู้กับเสี่ยวเหยียนต่อหน้าทุกคนซึ่งนับเป็นการกระทำที่ไร้ศักดิ์ศรีและไร้เกียรติอย่างยิ่งสำหรับจอมยุทธ์ที่มากฝีมือ

“เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย?”

เฟิงอู๋มองซูเสี่ยวจวิ้นอย่างไม่แยแสและกล่าวต่อ “เสี่ยวเหยียน หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะยกตำแหน่งผู้นำตระกูลให้เจ้าและข้าสาบานว่าข้าจะเต็มใจยอมรับในตัวเจ้า”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเหยียนก็ยังคงนิ่งสงบเช่นเดิม นางทราบดีว่าตนเองเทียบกับเฟิงอู๋ไม่ได้เลย เพราะเหตุนั้นนางจึงอยากปฏิเสธโดยไม่ลังเล

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเอ่ยออกไป เสียงของใครคนหนึ่งก็ถ่ายทอดมาในโสตประสาทของนางโดยตรง

เมื่อได้ยินเสียงนั้น เสี่ยวเหยียนก็ยกยิ้มมุมปากอย่างมั่นใจและพยักศีรษะ “เฟิงอู๋ ข้ารับคำท้าของเจ้า แต่ข้าขอเวลาหนึ่งก้านธูปเพื่อเตรียมตัว ข้าจะไปเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดที่เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่านี้ก่อน”