เสี่ยวเหยียนไม่ได้เดินออกจากบริเวณนั้นทว่าปรี่เข้าไปหาฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มกว้างและกล่าว “พี่อวี้โม่ ข้าขอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในคฤหาสน์เฟิงหัวของท่านจะได้หรือไม่?”

“หากเฟิงอู๋ไม่ว่าอะไร ข้าก็ไม่มีปัญหา”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเบาๆ นางคือคนที่ส่งข้อความไปถึงเสี่ยวเหยียนเมื่อครู่นี้

แน่นอนว่านางมีแผนการเตรียมไว้สำหรับการที่บอกให้เสี่ยวเหยียนตกลงรับคำท้าของเฟิงอู๋ ไม่ว่าอย่างไรเสี่ยวเหยียนก็จะชนะการต่อสู้ครั้งนี้

“ลูกเอ๋ย…”

เฟิงจิงเทียนชะงักกึกไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเหยียน ทว่าตอนนี้เขาก็ฟื้นสติขึ้นมาได้และต้องการเข้าไปขัดขวางบุตรสาว

“เทียนเอ๋อร์…”

เฟิงหรูเซียวอุทานออกมาพร้อมส่งสัญญาณไม่ให้เฟิงจิงเทียนเข้าไปขัดขวางเสี่ยวเหยียน

ถึงแม้ไม่รู้ว่าเสี่ยวเหยียนคิดอะไรและเหตุใดนางจึงตอบรับคำท้าของคนชั่วร้ายอย่างเฟิงอู๋ อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นรอยยิ้มมุมปากของฉินอวี้โม่และสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของหลานสาว หัวใจของเขาก็มีความหวังขึ้นมา เขาอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่าเสี่ยวเหยียนและฉินอวี้โม่กำลังคิดทำสิ่งใด

เฟิงอู๋ขมวดคิ้วมุ่นทันที เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายต้องการทำสิ่งใด หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่หนึ่ง เขาก็ตระหนักได้ว่าพลังของเสี่ยวเหยียนยังอ่อนด้อยกว่าเขามาก ไม่ว่านางจะมีไพ่เด็ดอะไรก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้

ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาไม่ฉวยโอกาสที่ดีเช่นนี้ไว้ สถานการณ์จะซับซ้อนกว่านี้มากถ้าหากเสี่ยวเหยียนเปลี่ยนใจ

หลังจากไตร่ตรองดู เขาก็พยักศีรษะและกล่าว “แน่นอนว่าข้าไม่มีปัญหา”

เฟิงอู๋ไม่เชื่อว่าเสี่ยวเหยียนจะมีไพ่เด็ดใดที่จะชนะผู้แข็งแกร่งอย่างเขาได้

เสี่ยวเหยียนยิ้มบางๆ จากนั้นร่างของนางก็อันตรธานหายไปท่ามกลางสายตาของทุกคนและปรากฏตัวขึ้นมาในคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่ทันที

“มารยา หงส์แดง ราชาเขาเงิน มังกรอัสนี พวกเจ้ากลายเป็นอสูรมายาของเสี่ยวเหยียนไปก่อนชั่วคราวและช่วยนางเอาชนะเฟิงอู๋ให้ได้”

ทันทีที่เสี่ยวเหยียนเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว เสียงของฉินอวี้โม่ก็ดังขึ้น

นี่คือแผนการของฉินอวี้โม่ แม้ว่าเสี่ยวเหยียนมีพลังเทียบกับเฟิงอู๋ไม่ได้ เฟิงอู๋ก็ไม่ได้กล่าวถึงข้อห้ามในการใช้อสูรมายาในการต่อสู้ เป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่งที่จะทำให้อสูรมายาสี่ตัวของนางกลายเป็นอสูรมายาของเสี่ยวเหยียนเป็นการชั่วคราวเพื่อเอาชนะเฟิงอู๋

“เข้าใจแล้ว นายหญิง รอฟังข่าวดีจากพวกเราได้เลย”

มารยาพยักศีรษะโดยไม่ลังเลและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

ฉินอวี้โม่ยกเลิกพันธสัญญากับอสูรมายาทั้งสี่ทันทีซึ่งทำให้พวกมันกลายเป็นอสูรมายาไร้นาย

อย่างไรก็ตาม เมื่อเสี่ยวเหยี่ยนกำลังจะทำพันธสัญญากับอสูรทั้งสี่ จู่ๆนางก็ชะงักค้างไป

“พี่อวี้โม่ ด้วยมิติเชื่อมอสูรและพลังของข้าตอนนี้ ข้าสามารถทำพันธสัญญากับอสูรมายาได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น”

เสี่ยวเหยียนรู้สึกอับจนหนทางเมื่อตระหนักได้ว่าลืมคิดถึงเรื่องนี้ พลังความแข็งแกร่งของนางในปัจจุบันสามารถทำพันธสัญญากับอสูรมายาได้เพียงสองตัวเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ ณ ผืนป่าข้างนอกหมู่บ้านจันทรา ฉินอวี้โม่ก็ได้ช่วยนางสยบอสูรมายาตัวหนึ่งแล้ว ตอนนี้นางจึงทำพันธสัญญากับอสูรมายาได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นางเองก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

แม้ว่าอสูรมายาทั้งสี่จะปรากฏตัวเพื่อช่วยเสี่ยวเหยียนได้โดยตรง ทว่าเฟิงอู๋และคนอื่นๆก็จะค้นพบและรู้จุดประสงค์ของเสี่ยวเหยียน ในตอนนั้นเขาก็จะไม่กล้าเผชิญหน้ากับเสี่ยวเหยียนโดยตรงหรืออาจตั้งเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติม นั่นไม่ใช่สถานการณ์ที่ฉินอวี้โม่อยากเห็น

หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้

“เสี่ยวเหยียน ข้าจะให้เจ้าใช้กำไลนี้ไปก่อน นี่เป็นกำไลที่สามารถเก็บสิ่งมีชีวิตไว้ได้ อสูรทั้งสี่แค่ต้องเข้าไปอยู่ในกำไลนี้ เมื่อเจ้าต่อสู้ก็แค่เรียกพวกมันออกมา”

เมื่อเห็นกำไลวงงามที่ปรากฏตรงหน้าอย่างกะทันหัน เสี่ยวเหยียนก็ตาโตเป็นประกายและยิ้มกว้างทันที นางตกหลุมรักกำไลวงนี้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น

“พี่อวี้โม่ ตอนนี้ท่านก็มีคฤหาสน์เฟิงหัวนี่แล้ว ท่านจะมอบกำไลวงนี้ให้กับข้าได้รึไม่?”

เสี่ยวเหยียนและฉินอวี้โม่มีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันและนางไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาที่สุภาพมากมาย นางเพียงยิ้มและกล่าวออกไปโดยตรงแสดงความชื่นชอบที่มีต่อกำไลวงนี้อย่างไม่ปิดบัง

เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเหยียน มารยาและอสูรมายาตัวอื่นๆก็อดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้

‘เด็กโง่เอ๋ย ไม่รู้ซะแล้วว่านายหญิงของข้ารักและหวงแหนกำไลวงนี้มากแค่ไหน!’

“หากเป็นสิ่งอื่นก็ไม่มีปัญหา แต่กำไลวงนี้คงจะไม่ได้ ข้าจะให้เจ้ายืมและเอามาคืนข้าทันทีหลังเอาชนะเฟิงอู๋ได้สำเร็จ”

ฉินอวี้โม่เอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล กำไลมิติวงนื้เป็นสิ่งที่หานโม่ฉือมอบให้กับนางและกล่าวได้ว่าเป็นอนุสรณ์ความรักของเขา สิ่งที่เป็นตัวแทนความรักของทั้งสองเช่นนี้ นางไม่มีทางมอบมันให้กับผู้ใดอย่างแน่นอน

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ของฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียนก็ประหลาดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เพียงครู่เดียวนางก็หัวเราะออกมา

“พี่อวี้โม่ กำไลวงนี้ดูจะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสำหรับท่านมาก หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่พี่หานโม่ฉือมอบให้ท่าน?”

เสี่ยวเหยียนรู้ว่าฉินอวี้โม่ไม่ใช่คนตระหนี่ขี้เหนียว ดังนั้นนางจิงคิดว่ามีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากนางคิดไม่ผิด กำไลมิตินี้จะต้องเป็นสิ่งที่หานโม่ฉือมอบให้กับฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน

“เสี่ยวเหยียน เจ้านี่รู้มากจริงๆ”

ฉินอวี้โม่อดยิ้มออกมาไม่ได้ นางไม่เอ่ยปฏิเสธใดๆและน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเจือด้วยความสุขอย่างเอ่อล้น

“เอาล่ะ ออกไปกันเถอะ เฟิงอู๋น่าจะรอจนร้อนใจแล้วล่ะ”

ฉินอวี้โม่ไม่พูดอะไรเพิ่มเติม เฟิงอู๋ก็เริ่มเร่งเร้าให้เสี่ยวเหยียนออกไปแล้ว

เสี่ยวเหยียนยิ้มพลางหยิบอาภรณ์ออกจากแหวนมิติและเปลี่ยนมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็สวมกำไลที่ได้รับมาจากฉินอวี้โม่ มารยาและอสูรตัวอื่นๆก็สบตากันและยิ้มเล็กน้อยก่อนมุ่งหน้าเข้าสู่กำไลมิติอย่างพร้อมเพรียงกัน

จากนั้นเสี่ยวเหยียนก็ออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวและปรากฏกายต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง

“เสี่ยวเหยียน  นึกว่าเจ้าจะหวาดกลัวจนหัวหดและไม่กล้าออกมาซะแล้ว”

เมื่อเห็นเสี่ยวเหยียนออกมาอีกครั้ง เฟิงอู๋ก็จ้องนางตาเขม็งและกล่าวเย้ยหยัน

“ฮ่าๆๆ เฟิงอู๋ เจ้าไม่มีสิ่งใดที่ข้าจะต้องกลัว”

เสี่ยวเหยียนยิ้มบางๆ นางไม่เห็นเฟิงอู๋จอมยโสอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

บัดนี้นางมีอสูรมายาสี่ตัวมาเป็นตัวช่วยแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ตกอยู่ในอันตราย การจัดการกับเฟิงอู๋ผู้นี้จะเป็นเพียงเรื่องง่ายๆเท่านั้น เสี่ยวเหยียนมั่นอกมั่นใจและทะนงตนมากขึ้น

“เหอะ ปากดีไปก่อนเถอะ!”

เฟิงอู๋ได้ยินวาจาทะนงตนของเสี่ยวเหยียนและอดแค่นเสียงเย็นชาไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าพร้อมแล้วก็มาสู้กันเถอะ ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่แสดงความปรานีแน่”

“เฟิงอู๋ เจ้าคิดว่าข้าอยากได้ความปรานีจากเจ้างั้นรึ?”

เสี่ยวเหยียนยิ้มอย่างหยามเหยียดต่อไป จากนั้นทั้งสองก็พุ่งขึ้นสูงเหนือฝูงชน

“ก่อนเริ่มการต่อสู้ เจ้าต้องให้คำสาบานก่อน มิฉะนั้นเมื่อเจ้าแพ้ เป็นไปได้ว่าคนหน้าด้านอย่างเจ้าจะไม่ยอมรับความจริง หากลั่นวาจาแสดงสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าทุกคน การต่อสู้ครานี้จะได้ไม่สูญเปล่า”

เสี่ยวเหยียนมองเฟิงอู๋และกล่าวขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

ในเมื่อนางเลือกยอมรับคำท้าของอีกฝ่ายแล้ว นางก็ต้องเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบ เฟิงอู๋ผู้นี้ทั้งโอหังและหน้าด้านหน้าทน หากเขาไม่สาบานเป็นการล่วงหน้าก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะกลับคำในภายหลัง เสี่ยวเหยียนไม่ต้องการให้การต่อสู้ครั้งนี้สูญเปล่าและไร้ผล

“เหอะ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมั่นใจถึงขนาดนี้ เจ้าคิดจริงๆรึว่าจะเอาชนะข้าได้?”

เฟิงอู๋แค่นเสียงอย่างเย็นชา ทว่าเขาไม่รอช้าและหลั่งเลือดสาบานทันที เขารับรู้ถึงพลังของเสี่ยวเหยียนได้อย่างชัดเจนและเชื่อว่าไม่มีทางเลยที่นางจะเอาชนะเขาได้

“ฮ่าๆๆ เฟิงอู๋ ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นว่าการไร้หนทางสู้นั้นเป็นอย่างไร”

เมื่ออีกฝ่ายหลั่งเลือดสาบาน เสี่ยวเหยียนก็ไม่ลังเลอีกต่อไปขณะยิ้มออกมาและอสูรมายาทั้งสี่ตัวก็ปรากฏตัวถัดจากนาง

ทันทีที่เห็นอสูรมายาทั้งสี่ เฟิงอู๋ก็ชะงักค้างไปทันทีและใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ

“ฉินอวี้โม่ นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างเราสองคน เจ้ากล้าแหกกฎและส่งอสูรมายาของเจ้าออกมาช่วยนางอย่างนั้นรึ?!”

เฟิงอู๋มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเย็นชา จู่ๆเขาก็รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่างขึ้นมา

“เฟิงอู๋ ดูให้ดีเสียก่อน ตอนนี้อสูรมายาทั้งสี่ตัวเป็นของข้า หาใช่ของพี่อวี้โม่”

เสี่ยวเหยียนยิ้มอย่างยียวนเมื่อเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของอีกฝ่าย

“ถึงแม้ข้าจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะสยบอสูรพวกนี้ ตอนนี้พวกมันก็ไร้เจ้านาย ในเมื่ออยู่ในกำไลมิติของข้า พวกมันก็ย่อมเป็นอสูรมายาของข้าไปโดยปริยาย”

เสี่ยวเหยียนยิ้มและอธิบายต่อไป

เฟิงอู๋ผู้นี้อยากจะสังหารนางด้วยพลังที่เหนือกว่าของตนเอง เมื่อเขามองนางก่อนหน้านี้ นางก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังอาฆาตมาดร้ายอย่างชัดเจน ไม่มีทางที่จะปิดบังไปจากนางได้

“อสูรมายาทั้งสี่ตัวนี้เป็นอสูรไร้นายจริงๆ”

หลายคนก็กำลังจดจ่อความสนใจกับการต่อสู้ครั้งสำคัญนี้และเมื่อมองเห็นอสูรทั้งสี่ตัว พวกเขาก็สัมผัสได้จากกลิ่นอายของอสูรเหล่านี้ว่าพวกมันไม่ได้ถูกสยบไว้

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของทุกคนในลานกว้างเริ่มแปลกไปเล็กน้อย แรกเริ่มเดิมที พวกเขารู้ว่าความแข็งแกร่งของเสี่ยวเหยียนและเฟิงอู๋ห่างชั้นกันมาก และนางไม่มีพลังพอที่จะต่อกรกับเขาได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อเสี่ยวเหยียนเข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์เมื่อครู่ นางจะใช้เล่ห์เพทุบายเช่นนี้

ฉินอวี้โม่คือคนที่คิดค้นวิธีที่น่าอัศจรรย์นี้ขึ้นมาและวาจาของเสี่ยวเหยียนก็ชัดเจนมาก เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน

บัดนี้เฟิงอู๋ต้องประจันหน้ากับเสี่ยวเหยียนด้วยความรู้สึกของการไร้พลัง

“ฮ่าๆๆ ข้าก็นึกตกใจตอนที่นางตอบรับคำท้าไปอย่างเด็ดเดี่ยว ที่แท้นางก็ได้รับคำสั่งจากแม่นางอวี้โม่นี่เอง ก่อนมาถึงจุดนี้ แม่นางอวี้โม่คิดเรื่องการตอบโต้ไว้แล้วและเพียงรอให้เฟิงอู๋เข้ามาติดกับ”

เฟิงจิงเทียนอดหัวเราะเบาๆไม่ได้และเขาก็รู้สึกชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้น

สตรีจากต่างแดนผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง คงไม่มีใครอื่นนอกจากนางที่จะคิดค้นวิธีที่หลักแหลมเช่นนี้ขึ้นมาได้

“พี่อวี้โม่ ท่านเป็นคนคิดวิธีนี้ให้เสี่ยวเหยียนใช่รึไม่?”

ซูเสี่ยวจวิ้นมองฉินอวี้โม่และยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเฟิงอู๋กลางอากาศ นางก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้

นี่เป็นความคิดที่เจ้าเล่ห์อย่างแท้จริง นางปล่อยให้เฟิงอู๋มั่นใจว่าตนเองจะเป็นผู้ชนะ จากนั้นก็มอบอสูรมายาของตนเองให้เสี่ยวเหยียนยืมเป็นการชั่วคราวซึ่งเป็นการตบหน้าเฟิงอู๋ฉาดใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัวจนเขาพูดไม่ออก ประเด็นสำคัญคือเฟิงอู๋หลั่งเลือดสาบานไปแล้วและเขาไม่มีโอกาสชนะอีกต่อไป ในภายภาคหน้าทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของเสี่ยวเหยียน ตอนนี้หัวใจของเฟิงอู๋คงจะรู้สึกสิ้นหวังจนแทบอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด

“เฟิงหรูเซียว นี่เป็นการฉ้อโกง!”

ทันใดนั้น ใบหน้าของเฟิงหลิงเหยเกจนแทบดูไม่ได้ เขาสัมผัสได้ถึงพลังของอสูรมายาทั้งสี่ นอกจากนี้ไห่ป้าหวังก็ยังกระซิบบอกเขาเบาๆว่ามารยาเป็นอสูรที่ชำนาญด้านข่ายอาคม

แม้ว่าเฟิงอู๋มีอสูรพันธสัญญาที่แข็งแกร่งพอสมควร ทว่าหากเผชิญหน้ากับอสูรมายาทรงพลังทั้งสี่นี้ ไม่มีทางที่มันจะชนะได้เลย

จู่ๆเขาก็ตระหนักได้ว่าเฟิงหรูเซียวและคนอื่นๆคงจะเตรียมการไว้ตั้งแต่ต้นและเพียงรอให้พวกเขาเข้ามาติดหลุมพราง

“เฟิงหลิง พวกเราฉ้อโกงอะไรกัน? พวกเจ้าพูดตอนไหนว่าห้ามใช้อสูรมายา?”

เฟิงจิงเทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มและน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความพึงพอใจ

เมื่อเห็นว่าสองพ่อลูกทุกข์ร้อนอยู่ไม่เป็นสุข เขาก็มีอารมณ์ที่ดีเป็นอย่างมาก นี่เป็นการที่เฟิงอู๋ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเองชัดๆ!

**搬起石头砸自己的脚 ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเอง แปลว่า คิดจะทำร้ายคนอื่น แต่ผลร้ายย้อนเข้าตัว

เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงจิงเทียน เฟิงหลิงก็ถึงกับพูดไม่ออก เสี่ยวเหยียนไม่ได้โกงแม้แต่น้อย เพียงแต่ฉินอวี้โม่เจ้าเล่ห์มากเกินไป

โทสะแรงกล้าของเฟิงหลิงจดจ่อไปที่ฉินอวี้โม่ทันที

.