ตอนที่ 339 การถอนตัวของจูอวิ๋นชาง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“ฉินอวี้โม่ บังอาจนัก!”

เฟิงหลิงคำรามดังสนั่นและจ้องฉินอวี้โม่ตาเขม็งพร้อมแผ่คลื่นความมุ่งร้ายอย่างไม่ปิดบัง

“เอะอะเสียงดังอะไร เจ้าต้องการหาเรื่องใส่ตัวอย่างนั้นรึ?”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเฟิงหลิง ฉินเทียนก็จ้องหน้าเขากลับไปและเอ่ยวาจาโต้ตอบทันควัน

ผู้ที่ริอาจตะคอกใส่บุตรสาวของเขาก็เท่ากับรนตาที่ตาย หากไม่ใช่เพราะจังหวะเวลาที่ไม่เหมาะสมในตอนนี้ ฉินเทียนก็คงจัดการสั่งสอนเฟิงหลิงให้รู้สำนึกไปแล้ว

สีหน้าของเฟิงหลิงบิดเบี้ยวทันทีที่ได้ยินคำพูดของฉินเทียน ทว่าเขาได้แต่อดกลั้นความรู้สึกไว้และไม่กล้าเอ่ยอะไรต่ออีก เขาสัมผัสได้ถึงสภาวะพลังของฉินเทียนที่แผ่มาเมื่อครู่ หากต้องต่อสู้กันจริงๆ เขาก็ไม่มีทางที่จะเทียบกับฉินเทียนได้แน่

เมื่อเห็นสีหน้าสลดหม่นหมองของเฟิงหลิง ฉินเทียนก็พยักศีรษะเบาๆอย่างพึงพอใจและไม่ได้สนใจเขาอีก

เฟิงอู๋ซึ่งอยู่กลางอากาศมีสีหน้าที่บิดเบี้ยวยิ่งกว่าบิดาเสียอีก เมื่อเห็นอสูรทั้งสี่อยู่ข้างเสี่ยวเหยียนพร้อมรอยยิ้ม เขาก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีโอกาสชนะได้เลย

“เฟิงอู๋ บอกข้ามา เจ้าจะยอมแพ้ดีๆหรือจะให้ข้าซัดเจ้าจนน่วมซะก่อน”

เสี่ยวเหยียนเอ่ยพร้อมมองเฟิงอู๋ด้วยแววตาสนุกสนาน

เฟิงอู๋กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินวาจาและเห็นท่าทางยียวนของอีกฝ่าย เขาไม่อยากยอมจำนนเลยแม้แต่น้อย

“ข้ารู้ว่าเจ้าแค่อยากหาจังหวะฆ่าข้าในระหว่างการต่อสู้ แต่เจ้าคิดจริงรึว่าข้าจะให้โอกาสเจ้าทำเช่นนั้น?!”

เสี่ยวเหยียนเปิดเผยจุดประสงค์หลักของเฟิงอู๋ออกมาโดยตรง การท้าทายเพื่อวัดความสามารถที่เขาเสนอมานั้นเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงตบตาเพื่อหาโอกาสสังหารนางก็เท่านั้น

เฟิงอู๋ยังคงไม่ยินยอมและหันเหความสนใจไปที่จูอวิ๋นชางและพวกพ้องที่อยู่ข้างล่าง

แน่นอนว่าจูอวิ๋นชางก็สังเกตเห็นสายตาของเฟิงอู๋เช่นกัน เขาเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ทว่าทันใดนั้น ใครคนหนึ่งก็วิ่งพรวดเข้ามาหาจูอวิ๋นชางและกระซิบบางอย่างข้างหูซึ่งทำให้สีหน้าของจูอวิ๋นชางดูเหยเกยิ่งกว่าเดิม

จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นและกล่าวเสียงดังฟังชัด “ท่านผู้นำตระกูลเฟิง เรามีธุระเร่งด่วนที่ต้องสะสางที่ขุมกำลังพญายม เราต้องขอตัวก่อน”

เดิมทีทุกคนกำลังจดจ่อกับสถานการณ์ระหว่างเสี่ยวเหยียนและเฟิงอู๋ ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของจูอวิ๋นชางที่จู่ๆก็จะถอนตัวออกไป พวกเขาทั้งหมดต่างก็ชะงักค้างไปชั่วขณะ

จูอวิ๋นชาง เฟิงอู๋และพวกพ้องคนอื่นๆต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ทว่าเมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาต้องการถอนตัวออกจากความสัมพันธ์เพื่อเอาตัวรอดออกไป

เขาไม่รอฟังคำตอบของเฟิงหรูเซียวและหันไปขยิบตาส่งสัญญาณกับไห่ป้าหวังและคนอื่นๆ ก่อนนำคณะเดินทางของตนเองมุ่งหน้าออกจากลานกว้างไปอย่างรวดเร็ว

“จูอวิ๋นชาง.. เจ้า…”

เมื่อเห็นผู้นำขุมกำลังพญายมแยกตัวออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว สีหน้าของเฟิงหลิงก็ไม่สู้ดีนัก

ครานี้ที่พวกเขาอาจหาญขวัญกล้ายกพวกมาจู่โจมที่งานเลี้ยงตระกูลเฟิงอย่างไม่เกรงกลัว สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะจูอวิ๋นชางกล่าวไว้ว่าเขามีไพ่ตายสำคัญที่แม้แต่ขุมกำลังเอกพิภพก็มิอาจเทียบเทียมได้ ทว่าเขายังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงไพ่ใบเด็ดที่กล่าวอ้างไว้ด้วยซ้ำและยังต้องการพาคนของตนเองกลับไปในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้อีก การกระทำเช่นนี้บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าขุมกำลังพญายมจะไม่เข้าร่วมหรือเกี่ยวข้องในแผนการของพวกเขาอีกต่อไป

นี่เป็นช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุด หากจูอวิ๋นชางและคนอื่นๆร่วมจู่โจมฝ่ายเฟิงหรูเซียวอย่างเต็มกำลัง พวกเขาก็ยังพอที่จะมีโอกาส ทว่าทันทีที่จูอวิ๋นชางถอนตัวออกไป เฟิงหลิงและเฟิงอู๋ก็หมดโอกาสอย่างสิ้นเชิง

บัดนี้จูอวิ๋นชางไม่แยแสเฟิงหลิงและเฟิงอู๋แม้แต่น้อย ขณะที่คนจากขุมกำลังพญายมก็ถอนกำลังออกไปทั้งหมดและลับหายไปจากสายตาของทุกคน

…….

นอกจวนตระกูลเฟิง จูตี๋ ไห่ป้าหวังและคนอื่นๆมองจูอวิ๋นชางด้วยความฉงนสงสัยอย่างยิ่ง

“ท่านพ่อ เหตุใดจู่ๆจึงถอนตัวออกไปเช่นนี้? เราจะปล่อยให้เรื่องเป็นไปเช่นนี้และไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลเฟิงแล้วหรือ?”

จูฉีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามจูอวิ๋นชางซึ่งมีสีหน้าที่ดูไม่พอใจนัก

“ข้าก็อยากจะจัดการให้เรียบร้อยเช่นกัน แต่ข้าทำไม่ได้”

จูอวิ๋นชางกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์

“มีบางอย่างเกิดขึ้นในฝั่งนั้นรึ?”

ไห่ป้าหวังก็นึกบางอย่างขึ้นได้และเอ่ยถามด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวไม่ต่างกัน

“เหอะ ในจังหวะที่สำคัญเช่นนี้ มีข่าวจากที่นั่นว่าพวกเขามาไม่ได้ หากพวกเขาไม่มา ด้วยลำพังเพียงพลังอำนาจของเรา ต่อให้เราร่วมมือกันก็ช่วยสหายตระกูลเฟิงของเราไม่ได้หรอก อีกอย่างยังมีฉินเทียนที่จับตาดูอยู่ไม่ห่าง ฉินอวี้โม่นั่นก็ไม่ธรรมดาเลย เราจึงอยู่ต่ออีกไม่ได้”

จูอวิ๋นชางแค่นเสียงด้วยความหงุดหงิด ทว่าเจือปนด้วยความหมดหนทาง

เขามีท่าทีราวกับหวั่นเกรงต่อฉินเทียนมาก ยิ่งไปกว่านั้น บรรดากลุ่มคนที่เขาพูดถึงก็น่าจะเป็นกองกำลังที่ไม่อ่อนแอไปกว่าสิบขุมกำลังที่แกร่งกล้าที่สุดในดินแดนอ้างว้าง

“ถ้างั้นเราจะปล่อยฉินอวี้โม่และคนพวกนั้นไปรึ?”

เมื่อคิดได้ว่าแผนการเอาคืนฉินอวี้โม่ที่เตรียมการไว้จะไม่ประสบผลสำเร็จ จูตี๋ก็กล่าวออกไปพร้อมสีหน้าที่ดูไม่ดีนัก

“ตอนนี้ปล่อยไปก่อนชั่วคราว งานชุมนุมวายุเมฆาที่จะมาถึงจะเป็นสถานการณ์ที่เกินควบคุมแน่ เมื่อถึงตอนนั้น เราจะจัดการกับฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ อีกอย่าง..อย่าใจร้อนไม่ยั้งคิดนัก พวกเราควรที่จะมองในระยะยาว อย่าให้อารมณ์ความรู้สึกของตนเองเข้ามาขัดขวางความสำเร็จในอนาคต”

จูอวิ๋นชางเอ่ยเพียงแค่นั้นและเริ่มมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางของขุมกำลังพญายมโดยไม่รั้งรอ

จูตี๋และคนอื่นๆก็พยักศีรษะอย่างใช้ความคิดและไม่เอ่ยถามให้มากความ จากนั้นพวกเขาก็เร่งฝีเท้าตามผู้นำไปอย่างรวดเร็ว

อีกฟากหนึ่ง ภายในสวนของตระกูลเฟิง สีหน้าของเฟิงหลิงและเฟิงอู๋ซีดสลดไม่ต่างกับคนตายและบรรดาผู้อาวุโสที่สนับสนุนฝ่ายพวกเขาต่างก็มีสีหน้าบิดเบี้ยวไม่ต่างกัน ช่วงเวลาสำคัญได้ผ่านไปแล้วและครานี้พวกเขาล้มเหลวอย่างสมบูรณ์

“ข้ายอมแพ้”

เฟิงอู๋ไม่รอช้าและประกาศยอมแพ้ออกไปโดยตรง

จูอวิ๋นชางและพวกได้ถอนตัวไปแล้ว ต่อให้สองพ่อลูกไม่ยอมจำนน พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ครานี้พวกเขาพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ

เมื่อได้ยินคำพูดชัดเจนของเฟิงอู๋ เสี่ยวเหยียนก็พยักศีรษะและยิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจ จากนั้นนางก็ลอยลงสู่พื้นและไปยืนอยู่ข้างเฟิงหรูเซียวในพริบตา

“เยี่ยมมากหลานของปู่”

เฟิงหรูเซียวตบไหล่เสี่ยวเหยียนเบาๆและยิ้มด้วยความพอใจ

เสี่ยวเหยียนหันไปสบตากับฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มและพยักศีรษะ

หากไม่ใช่เพราะแผนการอันชาญฉลาดของฉินอวี้โม่ นางคงคิดวิธีกำราบเฟิงอู๋อย่างราบคาบเช่นนี้ไม่ได้

เฟิงอู๋ก็ลอยลงมาอยู่ข้างกายเฟิงหลิงเช่นกัน บัดนี้ใบหน้าของเขามืดครึ้มและดูเหยเกอย่างมาก เมื่อคิดว่าในอนาคตเขาจะต้องเชื่อฟังเสี่ยวเหยียนอย่างไม่มีข้อแม้หรือคัดค้านใดๆ เฟิงอู๋ผู้ยโสโอหังก็รู้สึกเศร้าสลดและเจ็บปวดอย่างที่สุด

แน่นอนว่าเฟิงหลิงเข้าใจความรู้สึกของบุตรชายเป็นอย่างดีและตบไหล่เขาเบาๆพร้อมมองไปในฝั่งของเฟิงหรูเซียวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

“เฟิงหรูเซียว ไม่ต้องวางท่าอยู่หรอก พูดมาเถอะว่าเจ้าคิดจะจัดการกับพวกเรายังไง”

เฟิงหลิงกล่าวอย่างตรงไปตรง ในเมื่อพ่ายแพ้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอะไรอีก ไม่ว่าเฟิงหรูเซียวจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร สองพ่อลูกก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับแต่โดยดี

“พวกเราจะไม่ยอมรับโทษไปพร้อมกับพวกเจ้า”

ผู้อาวุโสใหญ่อีสั่วเอ่ยขึ้นทันที จากนั้นเขาก็พุ่งตรงไปนอกจวนตระกูลเฟิงอย่างไม่ลังเล

ผู้อาวุโสอีกหลายคนที่สนับสนุนเฟิงอู๋ รวมถึงหวังซั่วก็ไม่รอช้าและปรี่ออกไปข้างนอกเช่นกัน

“คิดจะหนีงั้นรึ? ไม่มีทางซะหรอก!”

ผู้อาวุโสสองรู้ได้ถึงความคิดของพวกเขาเหล่านั้นและร่างของเขาก็พุ่งตรงไปเตรียมจะขัดขวางไว้

“ผู้อาวุโสสอง ช่างมันเถอะ หากพวกเขาอยากไปก็ปล่อยไปเถอะ ต่อให้คนแบบนั้นอยู่ต่อ มันก็จะเป็นหายนะต่อตระกูลเฟิงของเราเปล่าๆ”

เฟิงหรูเซียวเอ่ยห้ามปรามผู้อาวุโสสองและผู้อาวุโสคนอื่นๆไว้ทันที

เดิมทีเขามีความคิดที่จะขับไล่ผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่นๆที่คิดร้ายต่อตระกูลเฟิงอยู่แล้ว ในเมื่อพวกเขาเลือกหนีไปด้วยตัวเอง เขาก็ไม่ต้องเปลืองแรงอีก

“พวกคนทรยศ!”

เมื่อเห็นผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่นๆหลบหนีไปอย่างไม่รอช้า เฟิงหลิงก็สบถเสียงดังด้วยความรู้สึกรังเกียจ

ความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าเฟิงหลิงปรารถนาอยากได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิง เขาก็ไม่เคยคิดที่จะทรยศต่อตระกูล ตอนนี้เขาก็สามารถพาเฟิงอู๋หลบหนีไปได้ เพียงแต่เขาไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนของตระกูลเฟิง ต่อให้ต้องตาย เขาก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรที่เป็นภัยต่อตระกูลอย่างแน่นอน

“ขอรับ ท่านผู้นำ”

ผู้อาวุโสสองและคนอื่นๆพยักศีรษะและยืนนิ่งไม่ไล่ล่าพวกคนทรยศอีกต่อไป

“กลับไปที่เรือนของพวกเจ้าและคิดถึงความผิดพลาดที่ได้กระทำไว้”

เฟิงหรูเซียวมองเฟิงหลิงและเฟิงอู๋ตรงหน้า ในชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าควรจัดการกับทั้งสองอย่างไร

หากเฟิงหลิงและเฟิงอู๋เป็นคนทรยศและคิดร้ายต่อตระกูลเฟิง เขาก็คงจะสังหารสองพ่อลูกตามที่สมควรอย่างไม่ลังเล

ทว่าทั้งสองเพียงต้องการตำแหน่งผู้นำตระกูลเท่านั้นและไม่เคยทำอะไรที่เป็นภัยต่อตระกูลเฟิง เพราะเหตุนั้นเฟิงหรูเซียวจึงต้องพิจารณาโทษว่าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร

หากปล่อยพวกเขาไปเฉยๆ เกรงว่าเฟิงหลิงและเฟิงอู๋จะไม่หลาบจำ ยิ่งไปกว่านั้น เฟิงหลิงก็เคยส่งคนไปไล่ล่าสังหารเฟิงจิงเทียนในอดีต เขาไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปได้

เห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นไม่ใช่คนจากตระกูลเฟิงหรือมาจากขุมกำลังที่มีชื่อในดินแดน ทว่าพวกเขามีพลังความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเลย เฟิงหรูเซียวก็รู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องสืบเสาะหาตัวตนของคนเหล่านั้นให้ได้

เฟิงอู๋และเฟิงหลิงชะงักไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของเฟิงหรูเซียว เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะถูกลงโทษอย่างร้ายแรง ไม่คิดเลยว่าเฟิงหรูเซียวจะนิ่งเฉยและสั่งให้พวกเขากลับไปที่เรือนก่อน

“ท่านไม่กลัวพวกเราหลบหนีไปรึ?”

เฟิงอู๋อดเอ่ยถามออกไปไม่ได้ เขาไม่ได้มีอายุมากเท่าเฟิงหลิงและยังจิตใจร้อนรนมากกว่าผู้เป็นบิดา

“ฮ่าๆๆ หากพวกเจ้าอยากหนีก็เชิญเลย ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสองพ่อลูกเพียงแค่อยากได้ตำแหน่งผู้นำตระกูล ทว่าพวกเจ้าก็หวังให้ตระกูลเฟิงของเรารุ่งเรืองต่อไปเช่นกัน”

เฟิงหรูเซียวยิ้มบางๆและกล่าวออกไป

นี่คือสาเหตุที่เขาไม่เคยแตะต้องหรือลงโทษสองพ่อลูกตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ หากเฟิงหลิงและเฟิงอู๋คิดร้ายต่อตระกูล พวกเขาก็คงจะดับสูญไปจากโลกนี้นานแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าผู้อาวุโสที่หลบหนีไปเหล่านั้น เฟิงหรูเซียวก็รู้ดีว่าพวกเขามีความคิดอย่างไร

การกระทำของเฟิงหลิงและเฟิงอู๋ในครานี้ก็ถือว่าช่วยกำจัดแกะดำของตระกูลเฟิงไปได้และทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาหาวิธีจัดการกับคนทรยศเหล่านั้น

“เหอะ เฟิงหรูเซียว ไม่ต้องมาทำเป็นเมตตาหรอก ตั้งแต่ต้นเจ้าก็ใช้วิธีการที่สกปรกและน่ารังเกียจในการชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงไป อย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้!”

เฟิงหลิงแค่นเสียงเย็นชาและไม่ต้องการพูดอะไรอีก จากนั้นเขาก็หันหลังและพาบุตรชายกลับเรือนทันที

เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงหลิง เฟิงหรูเซียวก็ถอดถอนหายใจเบาๆ อย่างไรก็ตาม เขายังคงงุนงงไม่น้อย เขาใช้วิธีการสกปรกเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงอย่างนั้นหรือ? เฟิงหลิงพูดเรื่องอะไรกัน เหตุใดตัวเขาจึงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน?

ตั้งแต่ต้นมันก็ไม่ได้มีการแข่งขันเพื่อคว้าตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงเลย บิดาของเฟิงหลิงเป็นผู้ที่เต็มใจสละสิทธิ์ตำแหน่งผู้นำตระกูลไปด้วยตัวเอง เขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดเฟิงหลิงจึงคิดเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เวลาจัดการกับปัญหานี้ บัดนี้ยังมีคนอีกมากอยู่ในลานกว้าง เขาควรจัดการปัญหาที่นี่ก่อนเรื่องอื่น

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฟิงหรูเซียวก็ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวขึ้นทันที “ขอโทษทุกท่านด้วย คิดซะว่าทุกท่านได้รับชมการแสดงที่สนุกสนานก็แล้วกัน”

บรรดาผู้คนที่อยู่ในลานกว้างก็ฟื้นสติจากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและสีหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆกลับเป็นปกติ