ตอนที่ 340 ฉินเฟยเยียน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อเรื่องวุ่นวายจบลง เสี่ยวเหยียนก็กลายเป็นผู้นำตระกูลเฟิงคนใหม่ไปโดยปริยาย

และก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับตระกูลเฟิงเนื่องจากเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงตระกูลเฟิงครั้งนี้

ก่อนหน้านี้ตระกูลเฟิงมีผู้อาวุโสรวมทั้งหมดแปดคน ทว่าบัดนี้สี่คนในนั้นหลบหนีออกไปแล้ว เฟิงหรูเซียวยังไม่มีความคิดที่จะแต่งตั้งผู้อาวุโสคนใหม่ทว่าเพียงแค่เพิ่มเฟิงหมิงเข้ามา

ในตอนนี้ตระกูลเฟิงก็จะมีผู้อาวุโสห้าคนด้วยกันซึ่งนำโดยตี๋หย่ง–ผู้อาวุโสสอง ผู้อาวุโสทั้งห้าคนนี้ล้วนจงรักภักดีต่อตระกูลเฟิงและไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการทรยศอีกต่อไป

ในงานเลี้ยงตระกูลเฟิง ฉินอวี้โม่ไม่ได้เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตนเองและก็เป็นที่น่าเสียดาย การต่อสู้ระหว่างฉินอวี้โม่กับฝ่ายเฟิงอู๋ จูตี๋และพวกพ้องไม่ได้เกิดขึ้นซึ่งทำให้หลายคนต้องผิดหวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตระกูลเฟิง หลายคนรู้สึกว่านี่เป็นการเดินทางที่คุ้มค่า และพวกเขาสามารถรอยลโฉมใบหน้าที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ในงานชุมนุมวายุเมฆาที่จะมาถึงได้

ทว่ากลุ่มคนที่ได้เห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่นอกเมืองต่างก็รู้สึกลุ่มหลงความงดงามของนางตั้งแต่แวบแรกที่เห็น บางคนถึงขั้นเตรียมตัวเดินทางไปที่ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเพื่อประกาศขอแต่งงานกับนาง ต่อให้ต้องถูกฉินเทียนซัดจนน่วมก็ตาม

ฉินอวี้โม่และสหายก็ไม่ได้รีบร้อนออกจากเมืองเฟิงหวงในทันทีและยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องจัดการที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็รับปากผู้อาวุโสเจ็ดไว้แล้วว่าจะไปเยือนเรือนของนาง

………..

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

ณ ตอนเช้าตรู่ ฉู่เจี๋ยเข้ามาเคาะประตูห้องพักของฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่เปิดประตูออกไปและพอจะคาดเดาได้ลางๆเมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของเด็กหนุ่ม นางเชื่อว่าจะต้องมีข่าวเรื่องหญ้าฟื้นชีวาเป็นแน่

และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ฉู่เจี๋ยเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้นทันทีที่พบหน้าฉินอวี้โม่ “พี่อวี้โม่ มีข่าวเรื่องหญ้าฟื้นชีวาแล้ว ท่านปู่บอกให้ข้ามาเชิญท่านกลับไปที่จวนตระกูลฉู่โดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”

หลังจากออกตามหามาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ในที่สุดตระกูลฉู่ก็ได้หญ้าฟื้นชีวามาโดยบังเอิญ

เป็นเพราะพวกเขาต้องการหาคำตอบโดยเร็วที่สุดและฉู่เจี๋ยยังคงท่องโลกอยู่ข้างนอก ตระกูลฉู่จึงเป็นกังวลไม่น้อย เพราะเหตุนั้น ปู่ของฉู่เจี๋ยซึ่งก็คือผู้นำตระกูลฉู่ได้เชิญฉินอวี้โม่ไปที่จวนตระกูลฉู่โดยเร็วที่สุด  บัดนี้ความหวังในการเอาชีวิตรอดทั้งหมดของฉู่เจี๋ยก็ขึ้นอยู่กับฉินอวี้โม่แต่เพียงผู้เดียวและนั่นทำให้นางรู้สึกกดดันเล็กน้อย

“เอาล่ะ ข้าขอเวลาอีกสักวันสองวัน หลังจากสะสางธุระต่างๆในตระกูลเฟิง ข้าจะไปที่จวนตระกูลฉู่พร้อมกับเจ้า”

ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและพยักศีรษะตอบตกลงทันที

หลังจากใช้เวลาอยู่ด้วยกัน นางรู้สึกถูกชะตากับฉู่เจี๋ยเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาอายุยังน้อยทว่าก็เขาก็หลักแหลมและเฉลียวฉลาด ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นคนอ่อนโยนและรู้จักอดกลั้นข่มใจ หากเขาสามารถฝึกยุทธ์ได้เหมือนคนทั่วๆไป ฉินอวี้โม่เชื่อว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะต้องกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดนได้อย่างแน่นอน

สถานการณ์ของฉู่เจี๋ยไม่สู้ดีนัก ทว่าเขาก็มีจิตใจที่แข็งแกร่งและมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกเห็นใจเขาไม่น้อย หากเป็นไปได้ นางก็หวังว่าจะช่วยเขาได้สำเร็จ

“ได้เลย วันนี้พี่อวี้โม่จะไปที่จวนตระกูลเฟิงรึ?”

ฉู่เจี๋ยพยักศีรษะด้วยความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด เขารู้ว่าวิธีฟื้นฟูร่างกายของตนเองให้เป็นเหมือนคนปกติจะซับซ้อนและเต็มไปด้วยอันตรายอย่างยิ่ง ทว่าตราบใดที่มีโอกาส เขาก็จะไม่ยอมแพ้

เวลาของเขาใกล้หมดลงเต็มที หากว่ามีโอกาส เขาก็ไม่ลังเลที่จะลองทำ

“ข้าต้องการไปเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสเจ็ดสักหน่อย ข้ารู้สึกสนใจในตัวนางทีเดียว”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตอบตามความจริงโดยไม่ปกปิด นางจะไปเยี่ยมผู้อาวุโสเจ็ดของตระกูลเฟิงอย่างที่ตกปากรับคำไว้

“พี่อวี้โม่ไปเถอะ ข้าจะไม่รบกวนท่านแล้ว วันนี้ข้าจะพาเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆไปเที่ยวรอบเมืองเฟิงหวง”

ฉู่เจี๋ยพยักศีรษะและแจ้งแผนในวันนี้ให้นางได้ทราบ

“ดีเลย”

ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนเอ่ยถาม “แล้วบิดาของข้าล่ะ?”

“ลุงฉินออกไปกับลุงสองและลุงสี่ตั้งแต่เช้าแล้ว พวกเขาบอกว่าจะออกไปสำรวจนอกเมืองสักหน่อย”

ฉู่เจี๋ยยิ้มพร้อมอธิบาย

เช้าตรู่ของวันนี้ ฉินเทียนชวนฉู่ชิงซานและฉู่ชิงอวิ๋นออกไปนอกเมืองเฟิงหวง ไม่อาจทราบได้ว่าพวกเขาไปที่ใด ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ทั้งสามพูดคุยกันอย่างมีความสุขและกลายเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน

ฉินเทียนเป็นบุคคลที่มีลักษณะนิสัยเรียบง่ายและอิสระเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฉู่ชิงซานและฉู่ชิงอวิ๋นก็เป็นบุคคลที่สบายๆเป็นกันเอง ดังนั้นทั้งสามจึงเข้ากันได้ง่าย

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและไม่ถามให้ยืดยาว

หลังจากอาบน้ำและเตรียมตัว ฉินอวี้โม่ก็มุ่งหน้าตรงไปที่เรือนของผู้อาวุโสเจ็ด

ทว่าหลังจากรู้ข่าวของฉินอวี้โม่ เสี่ยวเหยียนก็รีบออกมารอพี่สาวอย่างรวดเร็ว

“เสี่ยวเหยียน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

เมื่อพบหน้าเสี่ยวเหยียน ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มให้ทันที นางคิดว่าเสี่ยวเหยียนน่าจะยุ่งวุ่นวายมาก ไม่คิดเลยว่าผู้นำตระกูลเฟิงคนใหม่จะมีเวลาออกมาหานางเช่นนี้

“พี่อวี้โม่ ข้าจะสามารถทำอะไรได้? ท่านปู่ ท่านพ่อและท่านอาเฟิงหมิงต่างก็จัดการทุกอย่างให้ข้า ข้ายังคงว่างเหมือนกับก่อนหน้านี้”

เสี่ยวเหยียนยิ้มกว้างและวิ่งตรงเข้ามาเกาะแขนฉินอวี้โม่ “พี่อวี้โม่จะไปที่เรือนของผู้อาวุโสเจ็ดใช่รึไม่?”

แม้ว่าตอนนี้ผู้อาวุโสเจ็ดกลายเป็นผู้อาวุโสสี่ไปแล้ว เสี่ยวเหยียนและฉินอวี้โม่ก็ยังคุ้นชินกับการเรียกเช่นนี้มากกว่า

“เจ้าจะไปกับข้าด้วยรึ?”

ฉินอวี้โม่ถามพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ นางจะไม่รู้ความคิดของน้องสาวคนนี้ได้อย่างไร? เกรงว่าเสี่ยวเหยียนก็สัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้อาวุโสเจ็ดและเฟิงจิงเทียนที่งานเลี้ยงเช่นกัน

เสี่ยวเหยียนเองก็เป็นคนเรียบง่ายและให้ความสำคัญกับความรู้สึกอย่างมาก หากบิดาของนางมีความสุขและมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้อาวุโสเจ็ด แน่นอนว่านางก็เอาใจช่วยเช่นกัน

“ฮิๆๆ ข้าซ่อนอะไรจากพี่สาวคนนี้ไม่ได้เลยสินะ”

เสี่ยวเหยียนยิ้มกว้างก่อนดึงแขนฉินอวี้โม่ตรงไปที่เรือนของผู้อาวุโสเจ็ดทันที

“ท่านผู้นำจะจัดการกับเฟิงหลิงและเฟิงอู๋อย่างไรรึ?”

ระหว่างทาง ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ แม้ว่านี่เป็นเรื่องของตระกูลเฟิงและนางไม่ควรก้าวก่ายมากนัก ทว่าเฟิงอู๋มีความบาดหมางกับนางเป็นการส่วนตัวและนางก็ไม่ชอบหน้าเฟิงหลิง นางจึงอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่านปู่กับท่านพ่อยังคงคิดกันอยู่เลย”

เสี่ยวเหยียนไม่ปิดบังอะไรจากฉินอวี้โม่ ตอนนี้เฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียนยังคงคิดไตร่ตรองว่าจะจัดการกับสองพ่อลูกนั้นอย่างไร

ในขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ไม่นานนักลานกว้างของเรือนผู้อาวุโสเจ็ดก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า

ผู้อาวุโสเจ็ดอาศัยอยู่ในลานเล็กๆทางตะวันตกเฉียงเหนือของจวนตระกูลเฟิง แม้ว่าค่อนข้างห่างไกล ที่นี่ก็เงียบสงบและไม่วุ่นวาย

ฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียนเดินตรงไปที่ประตูและเห็นผู้อาวุโสเจ็ดนั่งอยู่ที่โต๊ะหินพร้อมด้วยน้ำชาบนโต๊ะราวกับกำลังรอการมาถึงของทั้งสองอยู่แล้ว

“เข้ามาสิ”

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียน ผู้อาวุโสเจ็ดก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

ทั้งสองมองหน้ากันก่อนยิ้มและเดินเข้าไปทันที

“ท่านผู้อาวุโสเจ็ดรู้ว่าเราจะมา ดังนั้นจึงได้รอตั้งแต่เช้าตรู่เลยรึเจ้าคะ?”

เสี่ยวเหยียนยิ้มเบาๆขณะเดินเข้าไปทักทายอย่างเคารพนอบน้อมและเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย

เมื่อได้ยินเสียงของเด็กสาว ผู้อาวุโสเจ็ดก็ชะงักไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดว่าเสี่ยวเหยียนจะมาที่นี่ด้วย

“ข้าว่าผู้อาวุโสเจ็ดรู้อยู่แล้วว่าข้าจะมา เพียงแต่ไม่คิดว่าเจ้าจะมาด้วย”

ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นว่ามีถ้วยน้ำชาเพียงสองใบวางอยู่บนโต๊ะ คาดว่าผู้อาวุโสเจ็ดคิดไว้แล้วว่านางจะมาที่นี่ ทว่าไม่คาดคิดว่าเสี่ยวเหยียนจะมาด้วยเช่นกัน

“ฮิๆ เด็กสาวที่ชาญฉลาดทั้งสอง”

ผู้อาวุโสเจ็ดหัวเราะเบาๆ วันนี้นางสวมอาภรณ์แบบสบายๆและเส้นผมสยายอยู่ข้างหลังซึ่งดูงดงามอย่างยิ่ง

แม้ว่านางจะมีอายุในช่วงวัยสี่สิบปี นางก็ดูเยาว์วัยเหมือนผู้หญิงในช่วงสามสิบปีและงดงามทรงเสน่ห์อย่างยิ่ง

“นั่งลงสิ ข้าจะไปหยิบถ้วยชามาเพิ่มให้”

นางเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในลานกว้างแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่านางไม่ชอบการสุงสิงกับใคร

“ท่านผู้อาวุโสเจ็ด ข้าไปเองเจ้าค่ะ”

เสี่ยวเหยียนลุกขึ้นก่อนวิ่งตรงเข้าไปในเรือนก่อนหยิบถ้วยชาและวิ่งกลับออกมาอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวเหยียนไม่รอช้าและช่วยทั้งสองชงชาด้วยตัวเอง จากนั้นนางก็นั่งลงพร้อมรอยยิ้มอย่างมีความสุข

“เสี่ยวเหยียน มีเรื่องอะไรรึเจ้าจึงมาเยือนถึงเรือนของข้า?”

ผู้อาวุโสเจ็ดยิ้มอย่างอ่อนโยนซึ่งดูงดงามยิ่งกว่าเดิม แววตาที่นางมองเสี่ยวเหยียนดูซับซ้อนโดยส่วนใหญ่เป็นความเอ็นดูทว่าเจือด้วยความอิจฉาและจำยอมเล็กน้อย

ฉินอวี้โม่เข้าใจอากัปกิริยาของผู้อาวุโสเจ็ดอย่างลางๆ หากว่าข้อสันนิษฐานของนางถูกต้อง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้อาวุโสเจ็ดและเฟิงจิงเทียนน่าจะซับซ้อนเป็นอย่างมาก ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าสตรีตรงหน้าและเฟิงจิงเทียนมีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง ทว่าด้วยเหตุผลบางประการทำให้ทั้งสองไม่ได้ครองรักกัน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเสี่ยวเหยียนและมารดาผู้ล่วงลับของนาง

ผู้อาวุโสเจ็ดน่าจะรักใคร่ชอบพอเฟิงจิงเทียนเป็นอย่างมาก ดังนั้นสายตาของนางที่มองเสี่ยวเหยียนจึงมีความรักและความเอ็นดูอยู่ไม่น้อยเลย

“ท่านผู้อาวุโสเจ็ด ข้ามาที่นี่เพื่อถามเรื่องระหว่างท่านและท่านพ่อของข้า”

เสี่ยวเหยียนเอ่ยจุดประสงค์ของตนเองออกไปทันทีและสบตาสตรีตรงหน้าด้วยความสงสัยใครรู่

เมื่อได้ยินคำถามของเด็กสาว ผู้อาวุโสเจ็ดก็ชะงักไปเล็กน้อย นางไม่คิดว่าเสี่ยวเหยียนจะตรงไปตรงมาเช่นนี้

“บิดาของเจ้าไม่ได้บอกอะไรเจ้าเลยรึ?”

หลังจากปรับอารมณ์ของตนเอง ผู้อาวุโสเจ็ดก็เอ่ยถามพร้อมสบตาเสี่ยวเหยียน

“ข้าเพิ่งมาที่ตระกูลเฟิงเมื่อไม่นานมานี้และมีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน ท่านพ่อคงจะกังวลว่าความคิดของข้าจะฟุ้งซ่าน เขาจึงไม่ได้บอกอะไร”

เสี่ยวเหยียนส่ายศีรษะเบาๆ นางลุกขึ้นยืนอีกครั้งและเดินตรงเข้าไปใกล้ผู้อาวุโสเจ็ดพร้อมนั่งย่อลงจับมือของนางไว้และกล่าวต่อ “ทว่าท่านพ่อของข้าเป็นคนที่คิดกังวลมากเกินไป หากท่านผู้อาวุโสเจ็ดและท่านพ่อมีความรู้สึกที่ดีต่อกันจริงๆ ข้าก็หวังว่าพวกท่านจะตกลงปลงใจกันได้ ข้าหวังว่าท่านพ่อจะมีความสุข”

หลังจากมาถึงจวนตระกูลเฟิง เสี่ยวเหยียนก็ไม่ได้พบหน้าผู้อาวุโสเจ็ดบ่อยนักทว่านางถูกชะตากับสตรีผู้นี้มาก หากผู้อาวุโสเจ็ดและบิดาของนางรักกัน นางก็ยินดีที่จะจับคู่ทั้งสองให้ได้ครองรักกัน

เมื่อได้ยินวาจาจริงใจของเสี่ยวเหยียน ผู้อาวุโสเจ็ดก็มีท่าทีประหลาดใจอย่างชัดเจน นางไม่คาดคิดว่าเสี่ยวเหยียนจะพูดตรงๆและยินดีกับนางเช่นนี้

“เจ้า..จะไม่รังเกียจงั้นรึ?”

ผู้อาวุโสเจ็ดนิ่งไปชั่วขณะก่อนเอ่ยถาม

นางคิดว่าหากเสี่ยวเหยียนรู้เรื่องนี้ เด็กสาวคงจะไม่พอใจเป็นแน่ ถึงอย่างไรแล้วเฟิงจิงเทียนก็เสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวเหยียนและมารดามาก หากเขาสนใจสตรีคนใดในช่วงที่ผ่าน เขาคิดว่ามันจะเป็นการทรยศต่อเสี่ยวเหยียนและสตรีคนรักที่ล่วงลับไปแล้ว

“ฮ่าๆๆ ไม่เลยเจ้าค่ะ ข้าไม่มีปัญหาอะไร”

เสี่ยวเหยียนยิ้มอย่างสบายๆและกล่าว “ท่านผู้อาวุโสเจ็ด ท่านพ่อของข้าเป็นคนดี เป็นธรรมดาที่จะมีสตรีหลงใหลในตัวเขา ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ แม่ของข้าไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา เขาจึงรักษาตนให้บริสุทธิ์ดั่งหยก นั่นหมายความว่าเขารักท่านแม่ของข้ามาก การที่มีใครสักคนอยู่เคียงข้างและคอยรักคอยดูแลเขา หากเขาไม่รู้สึกอะไรก็คงผิดปกติ ไม่เพียงแต่ข้าจะไม่มีปัญหาอะไรเท่านั้น ท่านแม่ของข้าก็จากไปนานแล้ว ข้าหวังว่าท่านทั้งสองจะมีความสุขด้วยกันได้”

เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเหยียน ผู้อาวุโสเจ็ดก็หัวเราะเบาๆและความอบอุ่นปรากฏชัดในแววตา

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะเล่าเรื่องของข้ากับเขาให้เจ้าได้ฟัง”

ผู้อาวุโสเจ็ดเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆและเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ซึ่งผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลเฟิงคนนี้มีนามที่ไพเราะอย่างยิ่งว่า ‘ฉินเฟยเยียน’

.