* * *

ตั้งแต่วันที่ได้รู้ว่าอาเรียกับซาร่าสนิทกัน ท่านเคานต์ก็คอยถามสารทุกข์สุกดิบของซาร่าและมาร์ควิสวินเซนต์จากอาเรียผู้เด็ดเดี่ยวอยู่เสมอ ซึ่งทุกครั้งเขาก็มักจะพูดด้วยความดีใจว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่แสนวิเศษจริงๆ

ทั้งที่ท่านเคานต์ไม่เคยมาสนใจไยดีอะไรเธอเลย แต่ดูจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วแบบนี้ก็นับว่าเขาเป็นพ่อค้าที่หัวไวพอตัวล่ะนะ

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามองข้ามไป นั่นคือตัวเธอในอดีตอาจดีใจที่พ่อคนใหม่ให้ความสนใจเธอ แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เธอไม่มีสิ่งใดจะมอบให้แก่คนที่คิดแต่ใช้เธอ คนที่จะใช้ได้มีแต่ตัวเธอเองเท่านั้น

“น่าเสียดายที่ตอนเธอยังเป็นอาจารย์ของลูก พ่อเอาแต่ออกไปทำงานข้างนอกเสียนานเลยไม่มีเวลาได้ทักทายเธอสักครั้ง”

ต่อให้ไม่ออกไปทำงานก็ไม่เคยคิดจะสนใจอยู่แล้ว แต่ท่านเคานต์ก็ยังพูดจาไร้สาระต่อไป

“แต่ว่านะ อาเรีย โชคดีจริงๆ ที่มีลูกอยู่ พ่อจึงได้เจอหน้าท่านดยุกเสียที”

ท่านเคานต์จิบไวน์ราวกับกำลังโล่งใจก่อนจะพูดต่อ

เห็นภาพนั้น มุมปากของอาเรียก็ยกขึ้นเล็กน้อย

ดูท่าเขาจะคิดว่าเธออยู่ข้างเขาและสามารถทำให้ความหวังเขาเป็นจริงได้โดยไม่เอะใจอะไรสักนิด

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอนั้นคือศัตรูตัวฉกาจที่แอบติดต่อกับองค์รัชทายาทเพื่อสั่งสมกองกำลังของตนเองและจ้องหาโอกาสปลิดชีพเขาอยู่

“ใช่แล้วค่ะ โชคดีจังเลยนะคะที่พี่ได้มีความสัมพันธ์ดีๆ แบบนี้”

มิเอลทำเหมือนไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก ทั้งที่หล่อนนั่นล่ะ ให้ความสนใจเรื่องซาร่าจะได้เป็นมาร์เชอเนสอย่างมหาศาล

‘ไม่สิ หากเป็นมิเอลล่ะก็ คงคิดว่าตัวเองไม่ต้องการความช่วยเหลือจากฉันมากกว่า’

ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ เพราะบรรดาสตรีชนชั้นสูงส่วนมากต่างก็หวังอยากสนิทชิดเชื้อกับมิเอล ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง

ดูจะเป็นเรื่องน่าตกอกตกใจเสียเหลือเกินเมื่อซาร่าซึ่งเคยเป็นอาจารย์ของอาเรียได้กลายมาเป็นมาร์เชอเนส แต่หล่อนก็หาได้กระวนกระวาย เพราะได้รับการสนับสนุนจากองค์หญิงไอซิสซึ่งจะได้กลายเป็นชายาในองค์รัชทายาทในภายหลังอย่างเต็มที่

“เลดี้ จดหมายมาถึงแล้วค่ะ”

ทันทีที่ขึ้นมาบนห้องหลังจากเวลาอาหารแสนแปลกประหลาดของท่านเคานต์จบลง เจสซี่ก็ยื่นจดหมายมาให้ราวกับรอคอยอยู่ก่อนแล้ว

“จดหมายจากไหนหรือ”

“ดิฉันเองก็ไม่ทราบค่ะ ทราบแค่ว่าท่านที่ชื่ออาซเป็นคนส่งมาค่ะ”

“…อาซอย่างนั้นหรือ”

อาเรียผู้อยู่ในอารามตกใจรับจดหมายมาจากเจสซี่ด้วยท่าทีลังเลกึ่งยืนกึ่งจะนั่งลงกับโซฟา เขาบอกแล้วว่าจะส่งจดหมายมาหา แต่เธอไม่คิดเลยว่าจะส่งมาเร็วถึงเพียงนี้

เธอรีบเปิดจดหมายออกดูข้อความ จึงได้เห็นว่าภายในนั้นมีข้อความที่แสนอ่อนโยนต่างจากจดหมายสั้นกระชับที่เขาเคยส่งมาก่อนหน้านี้ลิบลับ

[อากาศหนาว ผมเป็นห่วงเหลือเกินครับกลัวเลดี้จะป่วยไข้]

ให้ตายสิ ถ้าไม่นับตอนเจอกันครั้งแรกที่ร้านขายของชำก็นับว่าเป็นถ้อยความที่อ่อนโยนทีเดียว แต่เธอกลับลังเลไม่รู้ว่าควรแสดงกิริยาอย่างไรหลังจากได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว

“เลดี้คะ”

ท่าทีของเธอที่ถือจดหมายสั้นๆ ไว้ในมือแต่กลับอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เจสซี่นึกสงสัย หล่อนคล้ายกำลังกังวลกลัวจะมีข้อความพิลึกพิลั่นเขียนไว้ในนั้น

เธอก็แลกเปลี่ยนจดหมายกับอาซมาหลายครั้งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองเพิ่งจะคุยเรื่องธุรกิจกันไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วนี่เขาเขียนอะไรมาเธอจึงได้ใบหน้าร้อนผ่าวขนาดนี้ อาเรียส่ายหน้าและพยายามกลับมาอยู่ในท่าทีสำรวมตามเดิม

“เขาบอกจะมารับจดหมายตอบกลับอาทิตย์หน้านะคะ”

“…ใครหรือ”

“ไม่แน่ใจนะคะ แต่คิดว่าน่าจะเป็นคนรับใช้ค่ะ”

คนงานรัดตัวอย่างเขาไม่มีทางมาถึงที่นี่อย่างนั้นสินะ เมื่อคิดได้ว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน ทำให้เธอกลับมานิ่งเฉยได้อีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้เธอจึงสามารถเขียนจดหมายที่เต็มไปด้วยกิจวัตรประจำวันเล็กๆ น้อยๆ และการถามสารทุกข์สุกดิบเกี่ยวกับอาซได้โดยไม่คิดผัดวันประกันพรุ่ง

อาเรียเก็บจดหมายตอบกลับที่เธอเขียนลงลิ้นชักอย่างดีก่อนจะพูดกับเจสซี่

“ถ้าคนรับใช้เขามาแล้วบอกเราด้วยนะ”

“ได้ค่ะ เลดี้”

ระหว่างนั้น พิธีหมั้นของมาร์ควิสวินเซนต์และซาร่าก็มาถึงพอดี อาเรียในชุดเดรสสีชมพูอ่อนที่แม้แต่เคาน์ติสก็ยังไม่เห็นกำลังมองกระจกเพื่อตรวจดูเสื้อผ้าของเธออยู่

“เลดี้ ใส่สร้อยคอเส้นนี้ด้วยดีไหมคะ”

แอนนี่ผู้แต่งตัวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอาเรียถือสร้อยคองดงามเส้นหนึ่งเข้ามา นั่นเพราะชุดเดรสของอาเรียที่เข้ากับรสนิยมของซาร่าดูน่าเบื่อเกินไป

เจสซี่กำลังลูบผมอาเรียอยู่ถึงกับทำตาโตแล้วรีบสนับสนุนทันที

“เอ๊ะ มีสร้อยแบบนั้นอยู่ด้วยหรือ น่าจะเหมาะมากทีเดียวนะคะ!”

“นี่มัน…”

มันคือสร้อยที่เธอได้จากอาซซึ่งเคยมาซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งของห้องแต่งตัว ทั้งเดรสและเครื่องประดับอื่นๆ ก็เช่นเดียวกันแต่มันงดงามเกินไปเธอจึงไม่ใส่แล้วซ่อนมันเอาไว้

“ลองใส่ดูสักครั้งสิคะ!”

แอนนี่นำสร้อยไปทาบกับคออาเรียอย่างถือวิสาสะแล้วกรีดร้องออกมาเบาๆ เจสซี่ที่คอยดูอยู่ข้างๆ ก็ปรบมือทั้งยังพูดว่ามันเหมาะเธอเช่นกัน

“คุณพระคุณเจ้า ทำไมใส่อะไรก็ดูดีไปหมดเช่นนี้ล่ะคะ”

“สร้อยสวยๆ แบบนี้ถ้าใส่ผิดคนก็พังไม่เป็นอยู่บ่อยครั้งไปค่ะ”

คงเป็นเพราะรูปโฉมอันงดงามที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด สร้อยเจ้ากรรมที่ทั้งน่าลำบากใจและสวยโดดเด่นเส้นนี้จึงเข้ากับเธออย่างไร้ข้อกังขา

โดยทั่วไปแล้วเธอยังไม่อยู่ในสถานะที่จะโดดเด่นออกมา และตัวละครหลักในวันนี้คือเจ้าสาวอย่างซาร่า เธอจึงไม่คิดจะแต่งตัวให้เด่นเกินหน้า แต่พอได้ใส่สร้อยคอจริงๆ มันก็เหมาะกับเธอมากจนไม่อาจละสายตาได้เลย

“…ถ้าอย่างนั้น เราใส่สร้อยนี้อย่างเดียวก็พอใช่ไหม”

“มีแค่สร้อยเส้นเดียวอาจจะน่าเสียดายไปหน่อย… แต่ก็ดึกว่าไม่ใส่อะไรเลยอยู่แล้วละค่ะ!”

หลังจากใส่สร้อยคอและโรยผงอัญมณีลงบนผมเป็นขั้นตอนสุดท้าย อาเรียที่แต่งกายอย่างสวยงามมีเสน่ห์จนทำให้ผู้ใดที่พบเห็นเป็นต้องกลั้นหายใจก็ลงมายังชั้น 1

“…ให้ตายเถอะ อาเรีย ลูกงดงามถึงเพียงนี้ได้ยังไงกัน”

“อะแฮ่ม ที่น่ารักน่าชังขนาดนี้คงเพราะเหมือนแม่ของลูกนั่นล่ะ”

ท่านเคานต์และเคาน์ติสที่เตรียมตัวเสร็จล่วงหน้าเพื่อลงมาสั่งงานบรรดามหาดเล็กอยู่บริเวณประตูหน้าคฤหาสน์ถึงกับเก็บความประทับใจไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นอาเรีย

กระทั่งมิเอลที่ลงมาเป็นคนสุดท้ายก็ยังมีสีหน้าบึ้งตึงเพราะความงามของอาเรีย

หล่อนน่าจะตั้งใจแต่งตัวอย่างเต็มที่ แต่รูปโฉมของอาเรียกลับเกินคำว่างดงามไปแสนไกล ดังนั้นเมื่อมายืนข้างกันหล่อนจึงแทบจะไร้ตัวตนไปโดยปริยาย

“มิเอล ไปนั่งอยู่ในซอกแบบนั้นไม่อึดอัดแย่หรือ”

อาเรียเอ่ยถามมิเอลที่เอาแต่ทำตัวติดกับกำแพงรถม้าแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง

“…ไม่ค่ะ น้องไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกตั้งนาน น้องอยากชมวิวน่ะค่ะ”

มิเอลผู้เป็นดั่งดอกลิลลี่อันสูงค่ารู้สึกตะขิดตะขวงใจจนถึงขีดสุดที่จะเข้าไปอยู่ข้างอาเรียผู้เป็นดั่งดอกกุหลาบอันเป็นประกายราวกับโปรยผงสีทองเอาไว้ และแม้จะมาถึงยังคฤหาสน์มาร์ควิสแล้ว หล่อนก็ยังคงรักษาระยะห่างให้อยู่ไกลอาเรียเช่นเดิม

“ซาร่า!”

เมื่ออยู่ต่อหน้าซาร่า อาเรียก็ทำท่าเลียนแบบเด็กน้อยอย่างที่เคยทำมาเสมอด้วยการเข้ากอดเอวหล่อนพร้อมสีหน้ายินดี แม้ตอนนี้เธอจะสูงเท่าหล่อนแล้วก็ตาม

และในสายตาของซาร่าเองก็คงจะมองเธอเป็นเด็กอยู่ตลอดเช่นกัน หล่อนจึงได้ต้อนรับอาเรียด้วยใบหน้าเอ็นดูเหลือคณา สายตาของทั้งสองที่เฝ้ามองกันและกันนั้นอบอุ่นราวแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ

“ยินดีต้อนรับครับ อาเรีย กำลังรออยู่เชียวครับ”

“ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่อาเรียอุตส่าห์มาแสดงความยินดีถึงที่แบบนี้”

มาร์ควิสวินเซนต์ยังคงต้อนรับเธอด้วยใบหน้าและคำพูดที่เป็นมิตรเช่นเดียวกับคราวที่แล้ว

“ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ ดิฉันเตรียมมาให้ด้วยใจที่ท่านทั้งสองอยู่คู่กันอย่างมีความสุขไปแสนนานค่ะ”

ใช่แล้วล่ะ หากเป็นไปได้ก็ขอให้อยู่กันไปจนชั่วชีวิต เพราะอย่างนั้นจะได้คอยหนุนหลังเธอได้ตลอดไปอย่างไรล่ะ

หลังจากอาเรียส่งสัญญาณมือ แอนนี่ที่ยืนคอยอยู่ด้านหลังก็ยื่นของขวัญให้อย่างระมัดระวัง

“…พระเจ้า! ดิฉันจะรับของมีค่าเช่นนี้ไว้ได้ยังไงกันคะ”

สิ่งที่อาเรียเตรียมมาก็คือนกคู่หนึ่งที่ทำมาจากคริสตัลนั่นเอง

มันคือนกที่รู้กันว่าเป็นสิ่งแทนขอให้คู่รักรักใคร่ปรองดองกันดี ดวงตาถูกฝังด้วยเพชรในขณะที่จานรองหรือก็เป็นทองคำ ที่จานรองนั้นยังมีข้อความว่า ‘ขอให้มาร์ควิสและภริยามีแต่ความสุขในวันข้างหน้า’ ถูกแกะสลักเอาไว้อีกด้วย

“ผมเองก็เพิ่งเคยได้ของขวัญที่แสนล้ำค่านี้แบบนี้ครั้งแรกเช่นกันครับ ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าจะมีคริสตัลเม็ดใหญ่ขนาดนี้อยู่ด้วย”

มาร์ควิสไม่อาจเก็บความประทับใจเอาไว้ได้ในขณะมองดูของขวัญของอาเรีย สิ่งที่เธอขอให้ร้านอัญมณีช่วยทำให้เป็นพิเศษชิ้นนี้ คือสิ่งของที่แม้แต่จะสั่งทำก็ยังยากเพราะการจะหาคริสตัลชิ้นใหญ่นั้นหาใช่เรื่องง่ายดาย ทั้งราคาก็ยังแพนแสนแพงด้วย

มาร์ควิสดูจะถูกอกถูกใจแต่ซาร่ายังคงมีสีหน้าลำบากใจเหลือเกิน เช่นนั้นอาเรียจึงพูดเสริมด้วยใบหน้าเอียงอาย

“ในเมื่อนี่คืองานหมั้นของซาร่าที่เป็นทั้งอาจารย์และเพื่อนที่ดิฉันรักที่สุด ดิฉันจึงอยากเตรียมของขวัญที่ดีที่สุดมาให้ค่ะ หวังว่าจะชอบนะคะ”

ตอนนั้น ซาร่าผู้รับรู้ความรู้สึกที่อาเรียมีต่อหล่อนจึงได้พยักหน้ารับพร้อมขอบตาแดงๆ เมื่อเห็นหล่อนทำท่าจะร้องไห้ตั้งแต่พิธียังไม่ทันเริ่ม อาเรียก็รีบดึงไหล่ของหล่อนมากอดไว้ทันที

ท่านเคานต์ที่เฝ้าดูฉากอันอบอุ่นนั้นมาตลอด ได้พูดแทรกระหว่างหญิงสาวทั้งสองเสียงดัง

“ไม่ได้เจอกันเสียนานนะครับ ท่านมาร์ควิสวินเซนต์”

“ขอบคุณที่มานะครับ”

ด้วยความที่เป็นบิดาของอาเรีย ท่าทีของเจ้าบ่าวต่อท่านเคานต์จึงต้องสุภาพอย่างช่วยไม่ได้

หลังจากท่านเคานต์ไปจนถึงเคาน์ติสได้ทักทายคู่บ่าวสาวไปแล้ว ก็ถึงคราวมิเอลที่ทิ้งช่วงห่างเพื่อหลีกเลี่ยงอาเรียได้กล่าวคำทักทายซาร่ากับมาร์ควิสวินเซนต์บ้าง

“ยินดีด้วยนะคะ เลดี้ซาร่าเป็นคนจิตใจดี จะต้องเป็นมาร์เชอเนสที่แสนดีได้แน่ค่ะ”

“ขอบคุณนะคะ เลดี้มิเอล”

มิเอลเผยยิ้มสวยงามอย่างถึงที่สุดแต่ซาร่ากลับยิ้มให้เห็นแค่พอเป็นพิธี

มาร์ควิสวินเซนต์เหลือบมองหล่อนด้วยความสงสัย

“เลดี้ให้การอบรมสั่งสอนจนพี่อาเรียกลายเป็นเลดี้ผู้สง่างามได้ถึงเพียงนั้น เลดี้คงจะเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีของทุกคนใช่ไหมล่ะคะ ดิฉันเองก็อยากลองดื่มชาร่วมกับเลดี้แล้วพูดคุยเรื่องต่างๆ กันบ้างเหมือนกันค่ะ”

“…หากเวลาเป็นใจก็ยินดีค่ะ”

“เลดี้ที่อยากคุยกับเลดี้ซาร่ามีมากมายเสียจริง หวังว่าจะได้มีโอกาสให้ได้คุยกันในเวลาอันใกล้นี้นะครับ”

“นั่นน่ะสิคะ”

“เช่นนั้น หวังว่าจะสนุกกับงานเลี้ยงนะครับ เลดี้ทั้งสองแห่งโรสเซนต์”

มาร์ควิสวินเซนต์พูดตัดบทเมื่อรู้สึกได้ว่าซาร่ากำลังอึดอัดใจ และมิเอลที่จู่ๆ ก็ถูกสั่งให้กล่าวแสดงความยินดีจึงต้องปรับสีหน้าก็หายวับไปพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นกัน

“รู้สึกอึดอัดตรงไหนหรือเปล่าครับ”

ซาร่าส่ายหน้าน้อยๆ พลางปฏิเสธเมื่อได้ฟังคำถามจากมาร์ควิสวินเซนต์

“เปล่าหรอกค่ะ ดิฉันเป็นแบบนั้นเพราะตื่นเต้นน่ะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็โล่งอกไปที… แต่ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ คุณไปพักหน่อยไม่ดีหรือครับ”

ชายหนุ่มแตะหน้าผากซาร่าพร้อมกับเอ่ยด้วยใบหน้าเป็นกังวล

แต่ซาร่าก็ส่ายหน้าอีกครั้งเพราะหล่อนรู้สึกดีขึ้นแล้วจริงๆ เมื่อตอนนี้มิเอลได้จากไปแล้ว

หล่อนแย้มยิ้มอย่างเต็มที่ด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ มาร์ควิสวินเซนต์จึงไม่บอกให้หล่อนไปพักผ่อนอีก แล้วหันไปสั่งให้มหาดเล็กนำน้ำผลไม้หวานๆ มาให้หล่อนแทน

ความใจดีและอ่อนโยนของเขาทำให้ความรู้สึกต่อมิเอลที่พูดถึงชาติกำเนิดของอาเรียอย่างนั้นอย่างนี้หายไป ซาร่าจึงยิ้มออกมาจากใจจริงได้อีกครั้งพลางจับมือกับท่านเคานต์ต่อ

* * *

ท่านเคานต์พาอาเรียที่มีมิตรภาพกับซาร่าอย่างลึกซึ้งไปแนะนำให้พรรคพวกของตัวรู้จัก เธอยังไม่เคยได้เปิดตัวในแวดวงสังคมชนชั้นสูง ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เธอได้คุยกับพวกเขาอย่างเป็นทางการ

ในอดีตนั้น ตัวเธอที่บรรลุนิติภาวะแล้วเป็นเพียงความอัปยศและไม่เคยได้รับการแนะนำให้ใครรู้จักทั้งสิ้น ดังนั้นเธอจึงควบคุมหัวใจที่ความรู้สึกมากมายหลายหลากกำลังตีกันดวงนี้ให้มั่นพร้อมกับรักษารอยยิ้มนุ่มนวลเอาไว้ด้วย

“…ได้ยินมาว่าเป็นเด็กแท้ๆ ไม่เคยคิดฝันมาก่อนจริงๆ ครับว่าจะเป็นเลดี้ที่งดงามขนาดนี้”

“น่าเสียดายจริงเชียวที่ผมเพิ่งได้มาเจอเลดี้ที่งดงามถึงเพียงนี้”

บรรดาขุนนางชายที่ยังโสดในกลุ่มนั้นต่างแสดงท่าทีเป็นมิตรกับเธอทั้งสิ้น ไม่มีบุรุษเพศคนใดที่ไม่แสดงท่าทีว่าสนใจเธอผู้งดงามและเปล่งประกายยิ่งกว่าใครในงานนี้

กระทั่งหญิงสาวคนอื่นก็ยังทำทีเป็นไม่ใส่ใจพลางขยับพัดสะบัดไปมาเบาๆ เพื่อห้ามไม่ให้สายตาของพวกหล่อนไล่ตามความงามของอาเรีย คงเพราะพวกหล่อนรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเธอกับมิเอลไม่สู้ดีเท่าใดนัก จึงพยายามทำเป็นเมินเฉยไปเสีย

อาเรียกะพริบตาจนขนตากระเพื่อมไหวพร้อมกับแย้มยิ้มมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิมเพราะปฏิกิริยาที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทันใดนั้นชายคนหนึ่งที่ได้เห็นภาพนั้นของอาเรียซึ่งยืนอยู่ต่อหน้าตนพอดิบพอดีก็เริ่มพูดตะกุกตะกัก หน้าหรือก็แดงไปถึงใบหู

“ว่า ว่าแต่ท่านเคานต์ได้ ได้หาคู่หมั้นให้เลดี้อาเรียหรือยังครับ…”

“ฮ่าๆ จริงด้วยสินะครับ แต่เธอยังเด็กอยู่เลยไม่ใช่หรือครับ ผมต้องค่อยๆ หาคู่ที่ดีให้เธอสิครับ”

ท่านเคานต์ที่เพิ่งทำความรู้จักกับซาร่าได้มาตระหนักรู้เอาก็ตอนนี้เองว่าตนมีที่ให้ได้ใช้อาเรียอยู่มากมายเหลือเกิน จึงรีบทำให้เธอมีค่ามากขึ้นราวกับถูกเลี้ยงดูฟูมฟักมาราวไข่ในหิน

ราวกับมีครอบครัววงศ์ตระกูลที่น่าพอใจอยู่ในกลุ่มชายหนุ่มที่มารวมตัวกันนี้ เคาน์ติสถึงได้โอบไหล่อาเรียแล้วยิ้มกว้างเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้บรรดาชายหนุ่มที่กำลังร้อนรุ่มใจจึงพากันกุเรื่องปั้นแต่งคำพูดเพื่อซื้อใจท่านเคานต์กันยกใหญ่ ต่างก็อวดวงศ์ตระกูลและทรัพย์สินของตนไปเรื่อย อาเรียเฝ้ามองภาพที่คุ้นเคยและน่าเบื่อหน่ายนี้ก่อนสายตาของเธอจะพบกับภาพแผ่นหลังคุ้นเคยที่อยู่ไกลออกไปเข้า

‘อาซ…!’

……………………….