ผมสีดำและความสูงที่ยากจะพบเห็น แม้จะไม่สามารถยืนยันเพราะเห็นแผ่นหลังที่หายไปแล้วก็ตาม แต่สัญชาตญาณบอกเธอว่าเขาคืออาซไม่ผิดแน่

‘ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้…’

พอมาคิดดูแล้วมันก็ใช่ว่าจะผิดปกติไปเสียเลย ในเมื่อสุดท้าย สินค้าหรูหราที่ทำให้ทั้งตลาดแตกตื่นก็มาตกอยู่ในกำมือของมาร์ควิสวินเซนต์จนได้มิใช่หรือ เพราะแบบนั้นตำแหน่งของเขาซึ่งวางตัวเป็นกลางจึงต้องสั่นคลอน

ภายนอกเขายังดูเป็นกลางอยู่แต่เรื่องสินค้าหรูหราที่ว่าดันเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องขององค์รัชทายาท นั่นอาจเป็นเหตุผลให้อาซมาร่วมงานเพื่อแสดงความยินดีให้เขาก็ได้

อาซยังไม่บรรลุนิติภาวะจึงไม่อาจเปิดเผยตัวในสถานที่ที่เป็นทางการได้ แต่หากเป็นมาร์ควิสก็เป็นไปได้สูงที่จะไปทำความรู้จักกับองค์รัชทายาทเรื่องสินค้าหรูหรามาแล้ว

“เลดี้อาเรียครับ”

“เลดี้ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ดังนั้นเธอถึงได้อยากตามอาซไปจึงลุกพรวดพราดขึ้นมาเพื่อผละตัวออกจากกลุ่ม บรรดาชายหนุ่มที่กำลังตกใจจึงเรียกชื่อเธอเอาไว้

ท่านเคานต์และเคานติสเองก็เช่นกัน ทั้งสองส่งสายตามาถามว่าในเวลาสำคัญเช่นนี้เธอยังจะไปไหนอีก

“ขอโทษด้วยนะคะ แต่ฉันเวียนหัวนิดหน่อยอยากจะขอออกไปสูดอากาศสักครู่น่ะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปเป็นเพื่อนไหมครับ”

“แล้วผมล่ะครับ”

“มันอันตราย ให้คนที่เชื่อใจได้อย่างผมไปเป็นเพื่อนดีกว่านะครับ”

เธอแอบทำสีหน้าอึดอัดใจที่จะอยู่ตรงนี้แต่สิ่งที่ได้กลับมากลายเป็นสงครามประสาทของกลุ่มคนที่ไม่ได้ดูตาม้าตาเรืออะไรทั้งสิ้น

เธอไม่เคยคิดอยากจะจับคนพวกนี้ไว้ในกำมือเหมือนเช่นที่เคยคิดในอดีต ดังนั้นอาเรียจึงปฏิเสธพวกเขาไป

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ บางทีผู้หญิงก็อยากอยู่คนเดียวบ้างเหมือนกันนะคะ”

ไหนเธอจะยังต้องรีบตามหลังอาซที่หายตัวไปแล้วอีก เธอมีเวลามาพูดเล่นไร้สาระกับพวกผู้ชายไร้ประโยชน์พวกนี้เสียเมื่อไหร่

แต่สีหน้าของอาเรียที่ตอบออกมาแบบนั้นคงจะออดอ้อนมากทีเดียว เหล่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงนั้นถึงได้พากันกระแอมไอไม่ก็หน้าแดงก่อนจะเออออกับเธออย่างออกนอกหน้า

“อะแฮ่ม เข้าใจแล้วครับ”

“แล้ว แล้วกลับมาใหม่นะครับ!”

“รีบกลับมาล่ะ”

“ค่ะ”

อาเรียเอ่ยตอบเคานติสเสร็จก็รีบรุดเดินไปยังทางที่อาซหายไปอย่างรวดเร็วผิดจากชนชั้นสูงทั่วไป เธอรู้ดีว่าหากใครเห็นเข้าเธอคงถูกตำหนิติเตียนเป็นแน่ แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดฝีเท้าที่รีบร้อนนี้ได้เช่นกัน

ฝั่งสวนที่เธอรีบจ้ำอ้าวไปหานั้นไม่ได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพราะเป็นฤดูหนาว แต่ทางที่เขาหายไปกลับเป็นระเบียงทางไปสวน

‘มีทางที่จะออกไปจากตรงนี้ด้วยหรือ’

อาเรียคิดเช่นนั้นแต่ในขณะเดียวกันก็เดินผ่านระเบียงมาเปิดประตูที่เชื่อมกับสวนออก โชคไม่ดีที่อาซไม่ได้อยู่ ณ ตรงนั้น แต่เพราะความเสียดายที่เธอไม่อาจหันหลังกลับไปได้โดยง่ายถาโถมเข้ามา

ทำให้เธอต้องเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วสวนเพื่อหาร่องรอยของเขา อากาศเย็นยะเยือกในฤดูเหมันต์ทะลักเข้าเต็มปอดจนต้องไอออกมาเล็กน้อย

และในตอนนั้นเอง ใครบางคนก็เข้ามาวางเสื้อคลุมที่ยังมีไออุ่นหลงเหลืออยู่ไว้บนไหล่ของเธอ

“มาทำอะไรถึงนี่หรือครับเลดี้”

“…ท่านอัสเทอโรพี”

เธอไม่ได้ฝันไป

ราวกับเขามองดูเธออยู่ตลอด สัมผัสของอาซที่ช่วยทัดผมปลิวไสวเพราะสายลมของอาเรียจึงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและห่วงใย

อาซเดินเข้าไปหาอาเรียเพื่อกันลมหนาวอันหฤโหดที่พัดเข้ามาไม่ให้พวกมันทำให้ร่างกายของเธอเย็นลง พร้อมกับแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับชื่อของตน

“เรียกผมว่าอาซเถอะนะครับ”

“ดิฉันมิบังอาจ…”

“พอคิดว่าระหว่างผมกับเลดี้เริ่มไกลกันมากขึ้น ผมก็เจ็บปวดเหลือเกินครับ”

เขาขมวดคิ้วนิ่วหน้าราวกับต้องการแสดงให้เธอเห็นหัวใจที่เจ็บปวด

เมื่อครู่นี้ใครกันนะที่ปล่อยปละละเลยชายหนุ่มมากมายอย่างไม่สนใจไยดี เธอได้แต่พยักหน้ากลับไปแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ากว่าครึ่งของถ้อยคำมีแต่เพียงการหยอกล้อ นึกกลับไปแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาดูเธอจะไม่เคยรักษาท่าทีสุขุมไว้ได้เลยสักครั้ง

แต่แล้วอาซก็คลายความบึ้งตึงลงก่อนจะอมยิ้มอ่อนโยน

“สร้อยเส้นนี้เหมาะกับเลดี้มากเลยนะครับ”

“เอ่อ…”

นัยน์ตาคมเข้มจับจ้องไปที่ลำคอระหงทำให้อาเรียต้องห่อไหล่ เธอไม่ได้ใส่มาเพราะอยากให้เขาเห็นเสียหน่อย อาเรียหลบตาพร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวว่าตนจะดูเป็นแบบนั้น

“มาทำอะไรที่นี่หรือคะ”

“ก็นี่เป็นพิธีหมั้นของมาร์ควิสวินเซนต์ ผมถึงแวะมาแสดงความยินดีสักพักน่ะครับ”

อาซมองเห็นเจตนาของอาเรียอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาตอบพร้อมรอยยิ้มบางเบาราวกับคิดว่าเธอน่ารัก

“…จู่ๆ คุณก็โผล่มา นี่คุณใช้ความสามารถนั้นอีกแล้วหรือคะ”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้ใช้มันบ่อยนัก เพราะมันก็มีราคาที่ผมต้องจ่ายเหมือนกัน”

“ราคาที่ต้องจ่าย…”

คำนั้นทำให้ในหัวของอาเรียนึกไปถึงตนเองที่สลบไสลโงหัวไม่ขึ้นไปทั้งวันหลังจากใช้นาฬิกาทราย

เธออาจจะเคยชินเพราะใช้มันหลายครั้ง ความอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นในทันทีหลังจากใช้จึงหายไป แต่แม้จะทนจนถึงขีดสุดก็ยังยากที่จะทนได้หลายชั่วโมงอยู่ดี

“ก็ผมเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วนี่ครับ ถึงได้อ่อนเพลียจนต้องพักผ่อน”

ดูเหมือนอาซเองก็จะได้รับพรที่คล้ายกับเธอซึ่งต้องจ่ายค่าตอบแทนหลังจากใช้ความสามารถนั้นเช่นกัน

แต่แล้วก็เกิดข้องใจขึ้นมา

อาซเป็นหนึ่งในราชวงศ์ ฉะนั้นจะคิดว่าเขาได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้าก็ย่อมได้ แต่เธอล่ะได้รับพรจากอะไรกัน ถึงใช้นาฬิกาทรายได้เช่นนี้

มันไม่มีทางเกี่ยวข้องกับแม่ที่ได้รับความยากจนส่งต่อมารุ่นสู่รุ่นอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงอาจจะเกี่ยวกับผู้เป็นพ่อที่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครนั่นก็ได้… แต่ไม่มีทางที่เธอจะรู้ได้เลยว่าพ่อของเธอคือใครในบรรดาชายมากหน้าหลายตาเหล่านั้น และอาจไม่มีทางได้รู้เลยตลอดไป

“เข้าใจแล้วล่ะค่ะ ดูจากที่คุณถึงกับแวะมาแบบนี้ คุณคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านมาร์ควิสสินะคะ”

เมื่อเธอเอ่ยถามและทำเหมือนไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมาร์ควิสวินเซนต์กับเขา อาซก็หรี่ตาลงทันที

แววตาของเขาคล้ายกำลังวินิจฉัยบางอย่าง ในสีหน้าที่แม้จะซ่อนไว้แต่ก็เผยออกมาอยู่ดีนั้น แฝงความนัยราวกับว่าเขารู้เรื่องทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว

“ผมว่าถึงผมไม่อธิบายอะไรไปเลดี้ก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วนะครับ”

เขากำลังพยายามมองอาเรียให้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าเดิมด้วยความจริงจัง รวมถึงส่วนที่เขาไม่เคยนึกระแวงสงสัยมาตั้งแต่เมื่อก่อนด้วย

‘ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะตอบตามจริง’

ทั้งที่อาซยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในที่สาธารณะ แต่กลับเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้เธอได้เห็น

นั่นทำให้อาเรียไม่ตื่นกลัวอีกต่อไป แล้วเอ่ยถามสิ่งที่เธออยากรู้ออกไปตามตรง

“คือว่า หลังจากได้สินค้าหรูหรามาท่านมาร์ควิสก็กลายมาเป็นแรงสนับสนุนให้กับคุณอาซแล้วใช่ไหมคะ”

คราวนี้อาเรียยอมถามอย่างตรงจุดจริงๆ เสียที อาซยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นเช่นนั้น เพราะถึงมันจะยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง แต่ถือว่าใกล้เคียงล่ะนะ

แน่นอนว่ามันคือข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วทุกหนแห่ง ดังนั้นหากเป็นคนที่สามารถรับข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าใครก็สามารถคิดแบบนี้กันได้ทั้งนั้น แต่กับอาเรียที่เขาถือว่าเป็นที่สุดสำหรับตน ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรก็ดูจะฉลาดหลักแหลมไปเสียหมด แม้จะยอมรับความจริงในข้อนี้ แต่ก็ไม่อาจหยุดตัวเองไม่ให้ประเมินค่าอาเรียว่าสูงส่งอยู่ดี

“ตอนนี้ยังไปไม่ถึงขั้นนั้นแต่กำลังพยายามทำให้ได้อยู่ครับ”

เหตุผลที่เขาตัดสินใจเปิดเผยความในใจกับลูกสาวคนโตจากตระกูลชนชั้นสูงเข้ากระดูกดำอย่างเธอก็เพราะความเชื่อมั่นโดยไม่มีเหตุผลว่าเธอจะไม่มีวันหักหลังเขาจากการกระทำที่เธอทำให้เขาได้เห็นในตลอดเวลาที่ผ่านมา

หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาเพียงแค่อยากเชื่อก็ได้ เพราะเขารู้ดีว่าหากอาเรียหักหลังเขาขึ้นมาจริงๆ เขาก็คงตกอยู่ในห้วงแห่งความสูญเสียอันใหญ่หลวงจนไม่อาจหวนคืนมาได้ไปสักพักเป็นแน่

อาซแย้มยิ้มอย่างพอใจพร้อมยื่นมือไปใกล้บริเวณใบหน้าของอาเรียช้าๆ เมื่อเธอไม่มีท่าทีว่าจะหลีกหนีมือที่กำลังจะแตะลงไป ฝ่ามืออาซจึงได้ลูบไล้ไปตามเนื้อผิวเนียนนุ่มของอาเรีย

“ผมว่าจะมามองหน้าเลดี้แค่ครู่เดียวแท้ๆ…”

แววตาของเขาสุดที่จะยากแท้หยั่งถึง

เขารู้ว่าอาเรียจะต้องมาที่นี่จึงตั้งใจจะมามองหน้าเธอจากที่ไกลๆ แต่พอได้เห็นหน้าเธอกำลังยิ้มให้กับบรรดาชายหนุ่มรอบกาย เขากลับทำอย่างนั้นไม่ได้

เพราะอย่างนั้นเขาจึงจงใจทิ้งเบาะแสเพื่อดึงสายตาเธอไว้ แต่พอได้มาเจอกันและได้สัมผัสเธอแบบนี้ เขาก็ไม่อาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว

อาเรียไม่ค่อยพอใจกับคำพูดที่คล้ายจะรู้สึกเสียดายของอาซจึงถามออกไป

“มีเหตุผลอะไรที่เรามาเจอมาคุยกันแบบนี้ไม่ได้ด้วยหรือคะ”

แม้ความเย็นจะน่ากลัวถึงเพียงนี้แต่เมื่อเห็นอาเรียกำลังจ้องมองตนด้วยขอบตาแดงที่เริ่มร้อนผ่าว ความร้อนก็พลันพวยพุ่งขึ้นมาจากช่องท้อง ทำให้เขาเพิ่มแรงที่ฝ่ามือข้างที่กำลังกอบกุมแก้มของเธอเอาไว้มากขึ้น

“ก็เหตุผลที่เลดี้ชอบทำให้ผมสับสนแบบนี้อยู่เรื่อยยังไงล่ะครับ”

ผู้ชายที่สามารถมองเธอเฉยๆ ได้มันมีที่ไหนกันล่ะ เพียงแค่เธอยิ้มมาสายตาก็พลันจับจ้อง ไม่อาจขยับกายไปไหนได้อีก

นัยน์ตาสีน้ำเงินมองปราดไปทั่วดวงหน้าของอาเรีย สายตาของเขาไล่มองตั้งแต่แววตาสีเขียวอ่อนมีเสน่ห์ที่ทำให้ชายหนุ่มมากมายรู้สึกร้อนรุ่ม ลงมาผ่านจมูกน่ารักน่าชังจนถึงริมฝีปากแสนเย้ายวน

ริมฝีปากสีแดงเข้มกำลังปล่อยไอลมหายใจสีขาวออกมา เขาไม่อาจละสายตาออกไปจากภาพนั้นได้ นั่นเพราะเข้าใจว่ามันเกิดจากท่าทางที่ว่านั้นกำลังยั่วยวนตนด้วยกิริยาที่น่าหลงใหลเกินจะต้านทาน

“คุณอาซ…”

ทั้งบรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันและสายตาที่จ้องมองเธอราวกับจะให้ทะลุทะลวงทำให้อาเรียเสียงสั่น ประกายตาสั่นไหวคล้ายจะเข้าใจจุดประสงค์ของอาซแล้ว

ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้หลบหลีกทั้งยังสบตากลับ อาซมองอาเรียที่มีปฏิกิริยาเช่นนั้นพร้อมกับโอบมือรอบเอวของเธอแล้วค่อยๆ โน้มเอวและลดสายตาลงช้าๆ

ระยะห่างที่ใกล้กันเป็นทุนเดิมยิ่งลดลงเรื่อยๆ จนเมื่อไอลมหายใจของทั้งสองกำลังจะแตะกัน สายลมหนาวเหน็บก็พัดมาอย่างแรงพาให้เส้นผมของอาเรียปลิวไสว

เหตุเพราะผงอัญมณีที่เธอโปรยมาทำให้เส้นผมที่เป็นประกายระยิบระยับผสมกลมกลืนกับสวนที่จมอยู่ในกองหิมะจนดูเหมือนภาพฝัน ขณะเดียวกันนั้นท่าทางสั่นไหวจากการตื่นเต้นของอาเรียก็ยิ่งทำให้ดูลึกลับมากขึ้น

พร้อมกับภาพอันงดงามทั้งหมดนี้ในครรลองสายตา อาซกะพริบตาช้าๆ พลางถอนหายใจเพียงสั้นๆ ก่อนจะทัดผมให้อาเรียอย่างทะนุถนอมแล้วจุมพิตบางเบาลงบนหน้าผากของเธอ

“อากาศหนาวนะครับ เลดี้เข้าไปข้างในจะดีกว่านะครับ”

แม้จะไม่มีช่องว่างให้ได้รู้สึกถึงความหนาวเหน็บ แต่ตอนนี้เขาคิดว่าเขาควรต้องปล่อยเธอไปเสียที  เขาไม่อาจกระทำสิ่งที่ไร้ยางอายกว่านี้กับเธอที่เหลืออีก 2 ปีกว่าจะบรรลุนิติภาวะได้

อาเรียที่ยังมองอาซอย่างไม่ละสายตาราวกับหลงเสน่ห์ชายหนุ่มแม้เขาจะผละริมฝีปากออกจากหน้าผากเธอแล้วก็ตามได้แต่พยักหน้าตอบเบาๆ เท่านั้น เธอเองก็ออกมานานแล้วเช่นกัน ตอนนี้เธอควรจะกลับไปได้แล้ว

แม้จะบอกให้เธอเข้าไปได้แล้วแต่อาซก็ยังอ้อยอิ่งอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมปล่อยมือที่โอบเอวอาเรียอยู่ จากนั้นอาเรียที่ยังมีท่าทีลังเลเล็กน้อยจึงได้หันหลังเดินออกมาจากสวนอย่างเชื่องช้า

ทั้งที่ได้มาพบกันแล้วแต่เหตุใดความคิดถึงจึงมีแต่จะเพิ่มขึ้นในทุกครั้งที่แยกจากเช่นนี้เล่า

อาซเฝ้ามองร่องรอยของอาเรียที่หายลับไป ณ ปลายสุดของระเบียงทางเดินด้วยความรู้สึกเสียดายเหลือแสน เขายังคงมองทะลุระเบียงที่หายไปแล้วอยู่อย่างนั้น

‘หากตอนนี้การทุจริตทุกอย่างถูกเปิดเผย…’

จะดีกว่าหรือไม่ให้เธอมาอยู่ข้างเขา หากจะให้อาเรียมาอยู่ข้างเขาในตอนนี้ที่เขาไม่ต้องโดนบรรดาขุนนางลากไปมาก็คงไม่เป็นไร แน่นอน แม้จะยังมีปัญหาใหญ่นั่นคือเธอต้องยอมรับก่อนเหลืออยู่ก็เถอะ

ระหว่างที่เขากำลังจะกลับขณะขบคิดไปด้วยว่าเขาควรจะส่งอัศวินที่เก่งที่สุดที่เขารู้จักไปคอยดูแลเธอเผื่อไว้ก่อนดีหรือไม่นั้น ใบหน้าที่ทำให้แสลงใจกลับปรากฏขึ้นมาที่ปลายระเบียงที่อาเรียเดินหายไป

“…ดัชเชส”

ดัชเชสผู้มักจะให้ความสนใจกับอากัปกิริยาของตนเสมอเพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่บรรดาชนชั้นสูง เดินมาทางสวนที่อาซยืนอยู่ด้วยใบหน้าที่ปกปิดความตกใจเอาไว้ไม่มิด ฝีเท้าที่รีบร้อนแสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจของเธอ

เธอออกมายังสวยพร้อมใบหน้าที่ยังไม่อยากเชื่อก่อนจะพูดกับอาซโดยไม่คิดทักทายเขาก่อนสักนิด

“หม่อมฉันเห็นนังชั่วนั่นเดินออกมาหน้าแดงแจ๋ จึงอยากมาดูหน้าให้รู้ว่าแม่นั่นยั่วใครอีก… แต่หม่อมฉันคิดไม่ถึงจริงๆ เพคะว่าฝ่าบาทจะประทับอยู่ที่นี่”

คำพูดต่ำทรามไร้มารยาทที่ออกมาจากปากของสตรีชั้นสูงทำให้อาซต้องขมวดคิ้ว

……………………….