ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 330 ตบหน้าเจ็บอย่างยิ่ง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ลำแสงที่ครอบเฟิงอวิ๋นเซิงไว้ ก่อนหน้านี้มืดสว่างเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ปรากฏให้เห็นว่าไม่คงที่อย่างยิ่งยวด

หากแต่ตอนนี้ ลำแสงนั่นก็ยิ่งทอแสงเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ไปตามเสียงมังกรคำรามที่ดังข้างหูตลอดเวลา และมีแนวโน้มที่จะราบรื่นมากยิ่งขึ้น ไม่เปล่งแสงวับวาบอีกต่อไป

บัดนี้เฟิงอวิ๋นเซิงปะทุพลังออกมา ไม่เก็บงำเอาไว้เฉกเช่นเมิ่งหว่านขนาดนั้น ดุเดือดรุนแรง ทำให้คนที่เข้าร่วมประลองจันทรากายคนอื่นๆ ล้วนรู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่ออกมาบีบเค้นกลุ่มหนึ่ง

หลิงฮุ่ยแห่งสำนักเขาไร้พรมแดนรู้สึกได้ก่อน จากนั้นเหนียนเล่ยแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ก็รู้สึกได้ตาม

ไม่นานนัก อวิ๋นซิ่วชิงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับเฉินซู่ถิงแห่งเมืองทะเลมรกต ต่างก็รู้สึกได้ถึงพลังกดดันโหมซัดสาดที่แผ่ออกมาจากเฟิงอวิ๋นเซิง

ลำแสงที่ครอบเฟิงอวิ๋นเซิงไว้ยิ่งทวีความสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ ความหนาเองก็ขยายออกไปโดยรอบอย่างรวดเร็วเช่นกัน ปรากฏพลังอันน่าตื่นตะลึงให้เห็น

อย่าว่าแต่อวิ๋นซิ่วชิงเลย แม้แต่เฉินซู่ถิงเอง ก็ถูกเฟิงอวิ๋นล้ำหน้าไปแล้วเช่นกัน!

ขณะที่มังกรสวรรค์ร้องคำราม พุ่งถลาสู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า กบดขยี้คู่ต่อสู้คนหนึ่งต่อด้วยอีกคนหนึ่ง สลัดทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

ไม่นานนัก แม้กระทั่งฝานชิวแห่งหอคลื่นโหม ล้วนแล้วแต่มีสีหน้าหนักอึ้งหลายส่วน เพ่งมองเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างเอาจริงเอาจัง

สายตาของเมิ่งหว่านจดจ้องไปยังเฟิงอวิ๋นเซิงไม่เคลื่อนย้ายสักเสี้ยวขณะ ประกายแสงส่วนลึกในแววตาที่ฉายผ่านไปชั่วเสี้ยววินาที มีทั้งความปีติยินดี มีทั้งความผิดหวัง

ลำแสงที่ครอบเฟิงอวิ๋นเซิงไว้ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคงที่ เปรียบเทียบตามลำดับแล้วด้อยกว่าฝานชิวแห่งหอคลื่นโหมเล็กน้อย ทว่ายังเหนือกว่าอวิ๋นซิ่วชิงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับเฉินซู่ถิงแห่งเมืองทะเลมรกต จัดอยู่ในอันดับที่สามในบรรดาทุกคน

เมื่อภาพฉากนี้ตกอยู่ในสายตาของผู้ชมการประลอง ล้วนทำให้หวั่นไหวอยู่บ้างชั่วขณะหนึ่ง

คนอื่นๆ ก็แล้วไป แต่สำหรับจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ต่างก็ยากจะปักใจเชื่ออยู่บ้าง

อวิ๋นซิ่วชิง ในฐานะที่เข้าร่วมการประลองแห่งจันทราครั้งแรกเช่นเดียวกัน ถ้าหากนับว่าเป็นอาวุธลับที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เตรียมเอาไว้ สามารถทำให้จู่ๆ ก็น่าตื่นตะลึงขึ้นมาได้ล่ะก็ คงไม่อาจทำให้คนอื่นยอมรับได้โดยสิ้นเชิง

ทว่าเฟิงอวิ๋นเซิงกลับไม่เป็นเช่นนั้น นึกไม่ถึงว่าเฟิงอวิ๋นเซิงที่ปีนั้นถูกทุกคนทั่วทั้งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ร่วมกันพิพากษาโทษตาย และวินิจฉัยแน่ชัดว่าจันทรากายใช้การไม่ได้ บัดนี้นางกลับฟื้นฟูพลังจันทราของตนเองได้จริง ขณะเดียวกันก็รุดหน้าขึ้นอีกก้าวอีกด้วย

เริ่มต้นใหม่หลังจากทิ้งร้างไปเป็นเวลาหลายปี คาดไม่ถึงว่าจะสามารถมีระดับฝีมือเช่นนี้ได้ ช่างสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอย่างแท้จริง

ซี่จ้าวจวินจดจ้องเฟิงอวิ๋นเซิงไม่วางตา ราวกับคิดจะมองทะลุร่างนางทั้งคน

สายตาควบแน่นจนราวกับกลายเป็นวัตถุจริง ถึงขนาดที่สะเทือนมงกุฎแห่งจันทราอยู่บ้าง

ในใจซี่จ้าวจวินพลันพรวดพรวดขึ้นด้วยความเย็นยะเยือกหลายส่วน ครั้นรู้ว่าตนเองทำให้มงกุฎแห่งจันทรากระเด็นกลับ จึงรีบผละสายตากลับทันควัน สีหน้าอึมครึมอยู่บ้างเล็กน้อยชั่วขณะหนึ่ง

ความล้ำเลิศของเฟิงอวิ๋นเซิง คล้ายกับเป็นการตบหน้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ฉาดหนึ่ง

ถ้าหากเป็นเพียงแค่ระดับพลังฝึกปรือวรยุทธ์รุดหน้า พลังความสามารถโดดเด่น ถึงแม้ว่านั่นจะกระอักกระอ่วนอย่างยิ่งเช่นกัน ทว่าก็ยังคงฝืนทำใจยอมรับได้

กระนั้นการวินิจฉัยว่าจันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงใช้การไม่ได้ทั้งสิ้นแล้วก่อนหน้านี้ กลุ่มคนหนึ่งดำเนินการเจ้าตรวจสอบแล้วข้าตรวจสอบต่อ สุดท้ายล้วนน่าเชื่อถือทั้งสิ้น ตอนนี้ดูเหมือนว่า กลับเหมือนเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น

เหล่าจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่รับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังทั้งหมด ขณะนี้ต่างรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ใบหน้า

ใบหน้าผู้อาวุโสเมิ่งเผยรอยยิ้มปลื้มปีติออกมา ผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง “ไม่เสียแรงเปล่า ไม่เสียแรงเปล่าจริงๆ ไม่เสียแรงคิดไปเปล่าๆ”

เขาหันหน้ามองไปทางเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วกล่าวชมเชยว่า “จ้าวเกอ โชคดีที่มีเจ้า”

เยี่ยนจ้าวเกออมยิ้ม “ผู้อาวุโสเมิ่งชมเกินไปแล้ว ทั้งปวงล้วนอาศัยความพยายามของเฟิงอวิ๋นเซิงเอง และยังมีอาจารย์ฟู่ชี้แนะอย่างถูกวิธี”

วาจานี้ไม่ใช่การถ่อมตัวเสียทั้งหมดเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูเฟิงอวิ๋นเซิง และก็ถอนทอดใจอยู่ในอกเช่นกัน นางในขณะนี้ยืนอยู่บนเวทีที่เฝ้าใฝ่หามาโดยตลอดอีกครั้งในที่สุด ทำให้ผู้คนของตนดีอกดีใจ ทำให้คู่ต่อสู้กลัดกลุ้ม ทว่ามีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเบื้องหลังเฟิงอวิ๋นเซิงทุ่มเทมากเพียงใดกับสิ่งนี้ และระทมทุกข์มากขนาดไหน

อย่างอื่นก็แล้วไป เข็มแกนน้ำแข็ง นั่นคือหนึ่งในเจ็ดมหาโทษทัณฑ์ซึ่งอยู่ระดับเดียวกันกับตะเกียงจุดวิญญาณ เป็นการลงโทษอันโหดร้ายทารุณที่ทำให้คนทุกข์ทรมานจะร้องขอชีวิตก็ไม่ได้ขอตายก็ไม่อาจ เป็นวิธีการอันโหดเหี้ยมที่แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่ผ่านการเคี่ยวกรำฝึกฝนราวกับตีเหล็กยังต้องถูกหลอมจนกลายเหล็กเหลว

ซึ่งการลงโทษนี้ ยังไม่ใช่ดำเนินการเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากแต่เริ่มตั้งแต่หนึ่งปีก่อน ทุกๆ ช่วงเวลาที่เว้นระยะห่างก็ต้องทำครั้งหนึ่ง

เฟิงอวิ๋นเซิงเพิ่งจะทำอีกหน ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางมุ่งหน้าเข้าร่วมการประลองแห่งจันทราครั้งที่ห้าครั้งนี้นี่เอง

เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิงที่ด้อยกว่าฝานชิวเล็กน้อย รำพึงรำพันกับตนเองเสียงเบาว่า “การประลองรอบแรก ถือว่าเป็นการประลองความรู้ นางยังมีความได้เปรียบบางส่วนที่ยังแสดงออกมาไม่ได้ รอจนกระทั่งการประลองยุทธ์รอบที่สอง จะยิ่งทำให้คนอื่นตื่นตะลึงเสียยิ่งกว่านี้อีก…”

ขณะนี้ จะเห็นได้ว่าเมิ่งหว่าน ฝานชิว และเฟิงอวิ๋นเซิง ทั้งสามคนแบ่งออกเป็นสามอันดับแรก ได้ครองอันดับทั้งสามไว้แล้ว อวิ๋นซิ่วชิงกับเฉินซู่ถิงจึงอดไม่ได้ที่จะร้อนใจอยู่บ้าง

ใบหน้าอวิ๋นซิ่วชิงที่แต่ไหนแต่ไรเย็นเยียบไร้อารมณ์ความรู้สึก บัดนี้ไม่แสดงแววร้อนใจให้เห็น ทว่าท่าทางแจ่มชัดว่าสบายมากยิ่งขึ้น ภายในดวงตาทั้งสองปรากฏแสงเย็นยะเยือก

เฉินซู่ถิงแห่งเมืองทะเลมรกต สีหน้าท่าทางหนักแน่นจริงจังจนไม่อาจมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

นางคือผู้ชนะในการประลองแห่งจันทราครั้งที่สอง และก็เคยเป็นเจ้าของมงกุฎแห่งจันทราแล้วอีกด้วย

รสชาติชนิดนี้ หลังจากลิ้มลองครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะต้องการต่อไปเรื่อยๆ ชั่วกัลป์

ทั้งสองคนต่างเริ่มระดมพลังของตนเองสุดความสามารถ เพื่อที่จะเชื่อมต่อสื่อสารกับมงกุฎแห่งจันทรา เสริมแกร่งการตอบสนองร่วมระหว่างตนเองกันอาวุธศักดิ์สิทธิ์ โดยร้องขอการยอมรับจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ให้มากขึ้น

ลำแสงสองสายที่ครอบพวกนางไว้ ในระหว่างที่กำลังผันผวนเล็กน้อย ก็เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหนาขึ้น สว่างขึ้น

เมิ่งหว่านเห็นภาพฉากนี้ ก็มุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยครู่หนึ่ง

ซี่จ้าวจวินเองก็มีสีหน้าไหวหวั่นเช่นกัน กล่าวด้วยเสียงทุ้มว่า “ซิ่วชิง อย่าใจร้อน”

สิ้นเสียงพูด ภูเขาสูงเหนือศีรษะอวิ๋นซิ่วชิง พลันโคลงเคลงอย่างรุนแรงขึ้นมา

สีหน้าอวิ๋นซิ่วชิงซีดลงเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นว่ายอดเขาหิมะที่ปะทุพ่นหินหนืดและเปลวเพลิงออกมาลูกนั้น ปรากฏรอยแตกที่ตีนเขาออกมารอยหนึ่ง จากนั้นรอยแตกก็ยาวขึ้นไป จนกระทั่งถึงปลายยอดเขา

ชั่วขณะถัดมา ยอดเขาหิมะอันสูงใหญ่เริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ดังสนั่นหวั่นไหว

ในดวงตาทั้งสองของอวิ๋นซิ่วชิงทอประกายเจ็บปวดและไม่ยินยอม

คนในสำนักเดียวกันรู้เรื่องราวของตัวเอง สถานการณ์ของนาง ตัวเองย่อมกระจ่างชัดที่สุด

ท่ามกลางบรรดาสตรีแห่งจันทราในสนาม ถือว่านางอายุน้อยที่สุด ระดับพลังฝึกปรือวรยุทธ์ต่ำต้อยที่สุด พูดอีกแบบก็คือรากฐานตื้นเขินที่สุด

ถึงแม้ว่าพลังจันทราจะแกร่งกล้าทรงพลัง และยอดทักษะจันทราที่ฝึกฝนจะไม่ธรรมดาเช่นกัน ทว่าผลในการเสริมหนุน และเค้นศักยภาพ หมดลงแค่เพียงครึ่งทาง

ความอันตรายในนั้น ไม่ใช่ว่าอวิ๋นซิ่งชิงไม่รู้ หากแต่นางยังคงอยากจะพยายามดูสักตั้ง

น่าเสียดาย สืบเท้าออกไปเร็วเกินไปไกลเกินไป สุดท้ายแล้วยังคงใช้ไม่ได้

เมิ่งหว่านมองดูอวิ๋นซิ่วชิงที่ก้มหน้าลง สั่นศีรษะเล็กน้อย แล้วทอดถอนใจครั้งหนึ่ง

ซี่จ้าวจวินและจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ก็ล้วนไม่มีคำพูดคำจาทั้งสิ้นเช่นกัน

ลำแสงที่ครอบอวิ๋นซิ่วชิงไว้ ค่อยๆ สลัวลงไป จนกระทั่งเลือนหายไป

ส่วนลำแสงอื่นทั้งหกสายคงที่โดยสิ้นเชิง การประลองแห่งจันทรารอบแรก ประกาศว่าสิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน

ผลคือเฟิงอวิ๋นเซิง เมิ่งหว่าน ฝานชิว และเฉินซู่ถิง ทั้งสี่คนผ่านเข้ารอบ ต่อจากนี้ระหว่างพวกนางจะต้องต่อสู้กันเป็นคู่ๆ จนกระทั่งตัดสินผู้ชนะคนสุดท้ายออกมาได้

ซี่จ้าวจวินจัดระเบียบความคิด เก็บอารมณ์ความรู้สึก แล้วหันหน้าไปมองอันชิงหลิน “เมื่อก่อนรอบที่สองล้วนเป็นการต่อสู้สองคนโดยตรง ครานี้เป็นสี่คน จึงต้องประลองสามสนาม สองสนามแรก เป็นการยึดตามผลจากรอบแรก อันดับที่หนึ่งคู่อันดับที่สี่ อันดับที่สองคู่อันดับที่สาม หรือจับฉลากจับกำหนดคู่ต่อสู้?”

อันชิงหลินเอ่ยตอบ “อันดับที่หนึ่งคู่อันดับที่สี่ อันดับที่สองคู่อันดับที่สาม”

พวกผู้อาวุโสเมิ่งและแสงสนธยา ต่างผงกศีรษะเห็นด้วยพร้อมกัน

เฟิงอวิ๋นเซิงมองเมิ่งหว่านแวบหนึ่ง ขณะเดียวกันเมิ่งหว่านก็มองไปยังนางเช่นกัน สายตาทั้งสองตัดสลับกันไป

จากนั้น สายตาของเฟิงอวิ๋นเซิงก็มองไปอีกฝั่งหนึ่ง แลมองคู่ต่อสู้คนถัดไปของตัวเอง ฝานชิวแห่งหอคลื่นโหม

…………….