ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 331 หงส์เพลิงกลืนจันทร์ มังกรคำรามสะท้านฟ้า

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

หลังจากการประลองรอบแรก ก็เปิดการประลองรอบที่สองทันที โดยยึดตามผลประลอง อันดับที่หนึ่งชนกับอันดับที่สี่ และอันดับที่สองชนกับอันดับที่สาม

เพราะฉะนั้น เฟิงอวิ๋นเซิงในฐานะที่ได้อันดับที่สาม คู่ต่อสู้คนถัดไปของนางคือฝานชิวผู้ได้อันดับที่สอง

ส่วนการประลองตัดสินอีกสนามหนึ่ง ก็เป็นการเปิดฉากระหว่างเมิ่งหว่านกับเฉินซู่ถิงแห่งเมืองทะเลมรกต

เฟิงอวิ๋นเซิงกับฝานชิวออกจากลำแสงที่ครอบเอาไว้ของมงกุฎแห่งจันทรา เหลือเมิ่งหว่านและเฉินซู่ถิงเพียงสองคนอยู่ภายในนั้น

แสงจันทราอันสุกสกาวและเงียบวิเวก สาดส่องทั่วฟ้าทั่วแผ่นดิน สุดลูกหูลูกตาไร้ที่สิ้นสุด บัดนี้คล้ายกับกลายเป็นทะเลแสงสีขาวทั่วบริเวณ

ภายในมหาสมุทรแสงจันทร์จางๆ ร่างของพวกเมิ่งหว่านทั้งสองคนปรากฏวับวาบ

เฉิงซู่ถิงชูมือขวาขึ้นมา ตั้งฝ่ามือดุจดาบ ผ่าออกไปทางเมิ่งหว่าน

ภายในมหาสมุทรแสงจันทร์ พลันปรากฏเรือยักษ์สีดำลำหนึ่งออกมา ลอยล่องไปตามคลื่นลม แหวกกระแสน้ำทะเล ถลันไปทางเมิ่งหว่าน

ระหว่างที่เรือยักษ์ลอยล่อง ม้วนคลื่นทะเลขึ้นเป็นระลอกๆ มืดฟ้ามัวดิน

เหนือท้องนภา จันทร์กระจ่างลอยสูง ภายในรัศมีแสงจันทร์ คล้ายกับกับมีมงกุฎสีขาวบริสุทธิ์มงกุฎหนึ่งอยู่ มันสาดแสงเรืองรองจางๆ เสริมหนุนไปบนเรือยักษ์สีดำลำนั้น ทำให้พลังที่แผ่ออกมาของเรือยักษ์ยิ่งทวีความไม่ธรรมดา ค่อยๆ เกลื่อนกลาดทั่วโลกหล้าในขณะนี้ ราวกับจะข้ามห้วงทะเลอันไร้ขอบเขต ไปถึงยังอีกฟากฝั่งหนึ่ง

เมิ่งหว่านที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งมีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย งดงามเรียบง่ายและพิสุทธิ์สูงส่ง

นางอ้าปากส่งเสียงเหมือนหงส์ร้องอันกังวานใส ตั้งแต่เบาจนดัง ก็หาได้รุนแรงและไพศาลอย่างไรไม่ หากแต่ในชั่วขณะนี้กลับดังก้องสะท้านทั่วทั้งโลกแสงจันทร์ใบนี้

ชั่วขณะถัดมา ร่างของเมิ่งหว่านก็หายไป

จากนั้น หงส์เพลิงที่ครึ่งหนึ่งสีดำครึ่งหนึ่งสีขาวตัวหนึ่ง พลันโผนทะยานจากภายในมหาสมุทรแสงจันทร์ขึ้นสู่ท้องฟ้า สั่นสะเทือนฟากฟ้าเบื้องสูง

หงส์เพลิงเหินบินวนเวียนไปรอบๆ จันทร์กระจ่างกลางท้องฟ้า ทว่าที่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงก็คือ ภายใต้การโอบล้อมของหงส์เพลิง จันทร์กระจ่างดวงนั้นค่อยๆ หดเล็กลงอย่างคาดไม่ถึง!

ไม่นานนัก จันทร์กระจ่างที่ลอยสูงอยู่กลางท้องฟ้า ก็หดเล็กลงจนมีขนาดเท่าเม็ดไข่มุกใสเท่านั้น และท่ามกลางเสียงหงส์เพลิงร้องกังวานใส มันพลันอ้าปากออก กลืนจันทร์กระจ่างลงไปทั้งดวงอย่างนึกไม่ถึง

เฉิงซู่ถิงเห็นสถานการณ์ สีหน้าแปรเปลี่ยนฉับพลัน

ทันใดนั้น ก็เห็นหงส์เพลิงโฉบจากฟ้าลงมา ดิ่งลงไปยังเรือยักษ์สีดำ

แสงจันทร์อันเงียบสงัดและวิเวกหาได้คุโชนไม่ กลับคล้ายว่าแช่แข็งกาลเวลาเอาไว้

จากนั้นแสงจันทร์สุดลูกหูลูกตาร่วงลงมาตามหลังหงส์เพลิง หยุดเรือยักษ์สีดำเอาไว้บนผิวทะเล จากนั้นปีกสีดำและขาวทั้งสองของหงส์เพลิงก็สั่นกระพือ

เรือยักษ์สีดำที่มีพลังแผ่ออกมามหาศาล และไร้เทียมทานก่อนหน้านี้ พลันเริ่มเอนเอียงอยู่บนผิวทะเล จากนั้นก็ค่อยๆ พลิกกลับ สุดท้ายจมลงไปภายใน!

เฉินซู่ถิงยืนอยู่กับที่ไม่ไหวติง สีหน้าสีซีดเผือกอยู่บ้าง

หงส์เพลิงตกลงอยู่บริเวณใกล้ๆ ตรงหน้านาง เปลวเพลิงสีขาวและสีดำสลายสิ้น ปรากฏร่างของเมิ่งหว่านออกมา

จันทร์กระจ่างที่ถูกหงส์เพลิงกลืนลงไป หายไปในอากาศก่อนหน้านี้ ก็ปรากฏลอยสูงอยู่กลางท้องฟ้าอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด

เมิ่งหว่านมองเฉินซู่ถิง กล่าวด้วยเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่เฉิน ยอมให้ข้าแล้ว”

เมื่อเห็นเมิ่งหว่านกับเฉินซู่ถิงออกมาจากโลกแสงจันทร์พร้อมกัน นอกจากคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบงัน

พวกเขาล้วนรู้ดีว่าเมิ่งหว่านแกร่งอย่างยิ่ง ล้ำเลิศเหนือผู้ใด ทว่าการที่แกร่งกล้าจนถึงระดับนี้ ก็ยังคงทำให้รู้สึกสิ้นวาจาอยู่บ้างชั่วขณะหนึ่ง

เฉินซู่ถิงที่เคยต่อสู้กับเมิ่งหว่านในการประลองแห่งจันทราสองสามครั้งแรกได้อย่างสูสี ต่อให้แพ้พ่ายก็สามารถทำให้เมิ่งหว่านทุ่มสุดกำลังได้เช่นกัน บัดนี้เผชิญหน้าเมิ่งหว่าน ผลกลับปราชัยไม่เป็นท่า

ในชั่วขณะที่หงส์เพลิงกลืนจันทร์นั้น แท้จริงแล้วทั้งสองฝ่ายได้แบ่งผลแพ้ชนะออกมาแล้ว

ศัตรูแข็งแกร่งเมื่อกาลก่อน ตอนนี้ถูกเมิ่งหว่านทิ้งไว้เบื้องหลังโดยสิ้นเชิงแล้ว ยากจะหวังมุ่งไล่ตามนางให้ทัน

ยอดฝีมือปรมาจารย์นำคณะของเมืองทะเลมรกตมีสีหน้าอึมครึม สำหรับเมืองทะเลมรกตแล้ว พ่ายแก่คนอื่นก็แล้วไป กลับพ่ายแก่คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เกิดรู้สึกอัดอั้นโดยแท้

กระนั้นผู้อาวุโสท่านนี้ยังคงไม่อาจแสดงออกมา ทำได้เพียงพูดปลอบใจด้วยถ้อยคำสบายๆ เท่านั้น เฉิงซู่ถิงถูกโจมตีมา หนักหนากว่าเขา

บัดนี้ประมุขหอคลื่นโหมอันชิงหลิน ก็พินิจเมิ่งหว่านอีกครั้งแวบหนึ่งเช่นกัน

แน่นอนว่านางมีความเข้าใจเกี่ยวกับเมิ่งหว่านอย่างดี หากแต่พอได้เห็นการประลองวันนี้แล้ว ก็อดให้ความสำคัญกับนางมากขึ้นหลายส่วนไม่ได้

“เมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ในการประลองแห่งจันทรา นางอยู่ในตำแหน่งท่ามกลางเหล่าจอมยุทธ์ระดับขั้นเดียวกันเหมือนเช่นเยี่ยนตี๋พ่อของเจ้า และเจ้าในตอนนี้อย่างไรอย่างนั้น” ผู้อาวุโสเมิ่งแห่งสำนักเขากว่างเฉิงมองเมิ่งหว่าน หลังจากครู่ใหญ่ค่อยถอนใจพลางกล่าว “อยู่เหนือยอดสุด ก้มมองต่ำบรรดาผู้คน มีความสามารถในการปกครองและความรู้สึกบีบเค้นที่แทบจะไม่อาจขยับเขยื้อนได้”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็ยิ้มน้อยๆ หากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

ขณะนี้ หลังจากเมิ่งหว่านและเฉินซู่ถิงออกจากโลกแสงจันทร์แล้ว เฟิงอวิ๋นเซิงกับฝานชิวแห่งหอคลื่นโหม ก็สืบเท้าเข้าไปภายในพร้อมกัน

หลังทั้งสองคำนับกันแล้ว ฝานชิวก็รวบฝ่ามือทั้งสองเข้าด้วยกัน จากผลักออกไปด้านหน้าพร้อมกัน

ร่มกระดาษที่ดูเหมือนเล็กกะทัดรัดคันหนึ่งปรากฏอยู่ภายในโลกแสงจันทร์ ก่อนที่มันจะกางออก ลอยขึ้นไปกลางท้องฟ้า

ชั่วขณะถัดมา ทัศนียภาพภายในโลกแสงจันทร์พลันเปลี่ยนแปลงไป

หลังร่มกระดาษที่ดูเหมือนไม่ใหญ่คันนั้นกางออก กลับคล้ายว่าบดบังฟากฟ้า ใต้ร่มเป็นโลกชั้นหนึ่ง เหนือร่มกลับเป็นโลกอีกชั้นหนึ่ง

เฟิงอวิ๋นเซิงแหงนหน้ามองขึ้นไป เบื้องหน้ากลายเป็นความมืดมิดไปทั่วบริเวณโดยฉับพลัน แสงจันทร์สุกสว่างเจิดจ้า ราวกับสาดส่องไปทั่วฟ้าดิน มลายหายไปหมดสิ้นอย่างไม่คาดคิด

กระทั่งมหาสมุทรแสงจันทร์เบื้องล่าง ล้วนยังคล้ายกับกำลังค่อยๆ กระจายออกไป

ตรงหน้านางมีเพียงความมืดมนอันไร้ขอบเขตสิ้นสุดเท่านั้น ความมืดมนกำลังจะกลืนกินนางไป

นอกเหนือโลกแสงจันทร์ ทัศนียภาพเบื้องหน้าทุกคน ก็พลันแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนครึ่งบนยังคงสว่างไสว แม้ว่าแสงจันทร์จะไม่เจิดจ้าแสบตา กระนั้นก็ส่องสว่างสุดลูกหูลูกตา ทำให้จิตใจผู้คนอดที่จะตกอยู่ในภวังค์ในนั้นไม่ได้

จันทร์กระจ่างดวงนั้น ยังคงลอยสูงอยู่เหนือสุดท้องฟ้า แสงจันทร์กระจายตกกระทบไปบนร่มกระดาษ

ทว่าส่วนครึ่งล่างของโลก กลับมืดสนิทไปทั่วบริเวณ ไม่เห็นแสงสว่างแม้แต่น้อย

ร่มคันหนึ่งกางออกมา ราวกับแผ่นฟ้าบดบังเหนือท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้คนใต้ร่มมองไม่เห็นแสงสว่างแม้สักนิด

ซึ่งแม้จะยืนอยู่นอกโลกแสงจันทร์ ฝูงชนต่างก็สามารถรู้สึกได้รางๆ ว่า ภายในโลกที่มืดมิดใต้ร่มคันนั้น มีพลังปราณอันเยียบเย็นและเงียบสงบพรั่งพรูออกมา

ประหนึ่งว่าทั้งมวลล้วนถูกน้ำแข็งปิดผนึกไว้ตลอดกาล ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย และก็ไม่มีพลังงานความร้อนแม้แต่น้อยเช่นกัน เดินสู่ความวอดวายในระหว่างที่ไร้สุ้มไร้เสียง

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เทียบกับตอนการประลองแห่งจันทราครั้งที่สี่แล้ว ไม่เพียงแค่อระดับพลังฝึกปรือวรยุทธ์เฉพาะตัวพัฒนาขึ้น ยอดทักษะจันทราเองก็มีพัฒนาการและการปรับปรุงแก้ไขขึ้นอีกครั้งเช่นกัน”

“ถ้าหากเปรียบเทียบเพียงแค่อานุภาพของยอดทักษะจันทราเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็ไม่ด้อยไปกว่าเมิ่งหว่านกับอวิ๋นซิ่วชิงที่มีฐานะเดิมอยู่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เลย”

ฝูงชนจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เห็นภาพฉากนี้ สีหน้าก็เอาจริงเอาจังขึ้นมาหลายส่วนเช่นกัน

สีหน้าอารมณ์เมิ่งหว่านกลับไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย สายตาเอาแต่จ้องความมืดมนอันลึกล้ำ ส่วนครึ่งล่างภายในโลกแสงจันทร์นั่นเท่านั้น

ฉับพลันนั้น ท่ามกลางโลกอันเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง ก็มีเสียงมังกรคำรามอันป่าเถื่อนและทรงพลังดังขึ้นมา

ภายในความมืดมน มีแสงมังกรที่ครึ่งหนึ่งสีดำครึ่งหนึ่งสีขาวกระโจนขึ้นสู่ท้องฟ้า จากเบื้องล่างชนไปบนร่มกระดาษอย่างจัง!

ร่มกระดาษแกว่งไกว เกือบถูกแสงมังกรพลิกกลับด้าน

ขณะแสงมังกรร้องคำรามตามใจ ก็ชนกระแทกร่มกระดาษไม่หยุดยั้ง เสียงดังสนั่นเขย่าขวัญยิ่งนัก

ด้านบนร่มกระดาษใต้แสงจันทร์ ฝานชิวเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าเอาจริงเอาจังอย่างไม่เคยมีมาก่อน ก่อนจะระดมพลังทั้งหมดของตัวเอง ตรึงร่มกระดาษเอาไว้ อีกทั้งตรึงโลกมืดมิดใต้ร่มคันนั้น ฉุดกระชากลากถูกกับแสงมังกรตกอยู่ในสภาวะต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสพลิกกลับมาได้

กรงเล็บอันโหดเหี้ยมของแสงมังกร ตะปบไปบนผิวร่มโดยพลันจนเกิดรอยขาดออกมาหลายรอย

แสงจันทร์ลอดผ่านรอยขาดลงมา ทำให้โลกมืดมิดใต้ร่มพลันสว่างไสวขึ้นมาหลายส่วน

เมื่อได้อาบแสงจันทร์ พลังของแสงมังกรสีดำและสีขาวนั่นก็แกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ

ฝานชิวยื่นมือทั้งสองออกไปด้านหน้า ออกแรงกดลงไปพร้อมกัน

ร่มพลันหมุนติ้ว ซึ่งพลังในการหมุนวน พลันปัดการกระแทกของแสงมังกรไปอีกฝั่งหนึ่ง

รอยขาดบนร่มกระดาษที่แสงจันทร์ลอดลงไป ก็เริ่มสมานเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายเปิดฉากการต่อสู้สุดชีวิตอันดุเดือด ท่ามกลางโลกแสงจันทร์ใบนี้!

………….