ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 332 กลับตาลปัตร

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูโลกแสงจันทร์อยู่ด้วยความสงบนิ่ง

เมื่อครู่สนทนากับผู้อาวุโสเมิ่ง แท้จริงแล้วมีเหตุการณ์หนึ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอยังไม่ได้บอกกล่าวผู้อาวุโสเมิ่ง

จริงๆ แล้วเฟิงอวิ๋นเซิงในตอนนี้ เนื่องจากยอดทักษะจันทราที่บำเพ็ญฝึกอยู่ยังคงจำเป็นต้องฝึกฝนอย่างหนัก จึงยังมีจุดอ่อนในการลงมือต่อสู้จริงกับสตรีแห่งจันทราคนอื่นๆ ผ่านมงกุฎแห่งจันทรา

ฉะนั้นจึงไม่สามารถฝืนต่อสู้นานๆ ได้

ในเรื่องนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ล่วงรู้ พวกเยี่ยนจ้าวเกอต่างปิดปากเงียบ

ในภายภาคหน้า ตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป เมื่อยอดทักษะจันทราค่อยๆ สมบูรณ์และเชี่ยวชาญขึ้น ปัญหาข้อนี้ก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

ทว่าสำหรับเฟิงอวิ๋นเซิงในตอนนี้ ทางที่ดีที่สุดคือต่อสู้ให้จบลงโดยเร็ว หากการต่อสู้ยืดเยื้อจะทำให้พลังนางค่อยๆ แผ่วลงไป

เพียงแต่ศัตรูของนางในตอนนี้ ฝานชิวแห่งหอคลื่นโหม ไม่ว่าจะเป็นวิชาวรยุทธ์ที่ฝึกฝน หรือจะเป็นรูปแบบการต่อสู้เฉพาะตัว ล้วนเป็นประเภทเชื่องช้ายืดเยื้อ

ฝานชิวไม่รู้ปัญหาของเฟิงอวิ๋นเซิง ทว่าวิธีต่อสู้ที่นางเลือกใช้ กลับกำลังพุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ

ซึ่งสำหรับการตอบสนองร่วมต่อมงกุฎแห่งจันทราของทั้งสองในตอนนี้แล้ว ฝานชิวถึงขั้นยังเหนือกว่าหลายส่วน

เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เฟิงอวิ๋นเซิงคิดจะกุมชัยชนะ ก็ทวีความยากยิ่งขึ้นแล้วเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ร้อนใจ การที่ทะลุเข้ามาสู่รอบที่สองได้ เฟิงอวิ๋นเซิงก็บรรลุเป้าหมายตามที่คาดไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาเองก็อยากเห็นเช่นกันว่า ภายใต้สถานการณ์ไม่เอื้อผลเช่นนี้ นางจะทำอย่างไร

ขณะนี้การประลองในสนาม ยังคงอยู่ในสภาวะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อ

แสงมังกรที่อยู่ใต้ร่มกระดาษ ยังคงมีกำลังแกร่งกล้าห้าวหาญ กระแทกร่มกระดาษจนโยกคลอนตลอดเวลา สร้างรอยขาดไว้บนร่มกระดาษอย่างต่อเนื่อง

ทว่าขณะที่ร่มกระดาษโคจรหมุนวน ก็ปัดพลังกว่าครึ่งของมังกรแสงทิ้งไป เมื่อแสงจันทร์ด้านบนสาดกระจายลงมา รอยขาดก็สมานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองต่อสู้สุดชีวิตอยู่นาน ในที่สุดพลังของแสงมังกรก็เริ่มค่อยๆ ถดถอยลง

ความมืดมิดอันไร้ขอบเขตใต้ร่ม เย็นยะเยือกและเงียบสงัดวังเวง จนทำให้สรรพสิ่งมลายหาย ในตอนที่แสงมังกรแกร่งกล้าเกรียงไกรนั้นยากจะล่วงล้ำเข้าไป ขณะนี้ก็เริ่มทำลายพลังของแสงมังกรจนเสื่อมสลายไม่หยุดยั้งแล้วเช่นกัน

แสงมังกรที่เปล่งแสงสีดำและสีขาวสองสี พยายามปลุกความฮึกเหิม และปลุกความกระฉับกระเฉง แหวกคลื่นพุ่งถลันเข้าหาร่มกระดาษอีกครั้ง

ร่มกระดาษหมุนเร็วยิ่งขึ้น พยายามปัดพลังของแสงมังกรออกไป

หลังจากการโจมตีหลายระลอก พลังปราณของแสงมังกรก็ตกต่ำลงไปอีกครั้ง

หากแต่เฟิงอวิ๋นเซิงมีความตั้งใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ และความถึกทนแข็งแกร่ง แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงฝืนผลักดันพลังของตน ไม่ยอมพ่ายแพ้ง่ายๆ

ท้อแท้ แล้วก็มานะบากบั่น จนตกต่ำลงอย่างไม่อาจระงับซ้ำอีก จากนั้นก็ทุ่มเทเพียรพยายามอีกครั้ง

แสงมังกรลุ่มๆ ดอนๆ ราวกับเปลวเทียนกลางสายลม ยืนหยัดอยู่ไม่ยอมดับมอด

ทว่าทุกคนล้วนมองออกได้ว่า ภายใต้การตอบโต้ด้วยการยืดเยื้อและถ่วงเวลาของฝานชิว เปรียบเสมือนน้ำอุ่นค่อยๆ ผลาญพลังของเฟิงอวิ๋นเซิงให้หมดไปเรื่อยๆ

หลังจากขับเคลื่อนพลังของตนเองออกไปไม่หยุด ทว่าระเบิดปะทุเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตกลงสู่ก้นเหวที่ลึกขึ้นกว่าเดิม

ถึงแม้ว่าจะขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา แต่จากแนวโน้มสถานการณ์โดยรวม พลังของแสงมังกรดำและขาวนั่น กำลังถดถอยลงไปช้าๆ

แท้จริงแล้วสถานการณ์ของฝานชิวท่าไม่ดีอย่างยิ่งเช่นกัน ผลาญพลังของตนเองไปมหาศาล

ถึงแม้ว่ายุทธวิธีในตอนนี้จะเป็นความถนัดของนาง และเป็นจุดเด่นของยอดทักษะจันทรานางก็ตาม ทว่าขณะเดียวกันการระเบิดพลังของเฟิงอวิ๋นเซิงก็แกร่งกล้า มีความถึกทน และเปี่ยมไปด้วยพลังเช่นกัน

ท่ามกลางการปะทะกระแทกกันยุ่งเหยิงตลอดเวลา พลังของฝานชิวก็กำลังถดถอยลง ไม่เต็มเปี่ยมเหมือนเช่นก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน

ในท้ายที่สุด ความเร็วในการหมุนของร่มกระดาษนั้นเริ่มเชื่องช้าอย่างมากแล้ว อยากจะฟื้นคืนรอยขาดที่ถูกฉีกจนแหวกออกให้กลับสู่สภาพเดิม ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้รวดเร็วเช่นนั้นอีกต่อไป

การต่อสู้ยืดเยื้อของทั้งสองฝ่ายสนามนี้ค่อยๆ ผลาญกำลังวังชาให้หมดไป

ฝานชิวอาศัยรากฐานที่ลึกซึ้งมากกว่า อีกทั้งตนเองยังถนัดในการต่อสู้ประเภทนี้ ครองความได้เปรียบอย่างมั่นคงตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าแม้จะชนะ ก็จะเป็นเพียงการชนะที่ไม่คุ้มเสียเช่นกัน

ผู้อาวุโสเมิ่งมองดูแสงมังกรที่อยู่ในความมืดสนิทตั้งแต่ต้นโดยไม่ย่อท้อ ใบหน้าปรากฏแววกลัดกลุ้ม “นางอย่าได้ทำเหมือนเช่นแม่นางน้อยแซ่อวิ๋นแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเชียว”

สายตาเยี่ยนจ้าวเกอมองดูแสงมังกรเช่นเดียวกัน “จะไม่ทำใช่นั้นแน่ ผู้อาวุโสเมิ่งโปรดสบายใจ”

ผู้อาวุโสเมิ่งมองเฟิงอวิ๋นเซิง แล้วก็มองฝานชิวที่ระโหยโรยแรงเช่นเดียวกัน ชั่วขณะหนึ่งคล้ายจะพูดทว่าก็ชะงักเอาไว้

“ผู้อาวุโสเป็นกังวลว่า ไม่ว่าผู้ใดจะชนะจะแพ้ก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่ผลาญพลังไปจำนวนมาก ล้วนยากจะต่อกรกับเมิ่งหว่านที่เอาชนะคู่ต่อสู้มาได้อย่างง่ายดายใช่หรือไม่?” เยี่ยนจ้าวเกอราวกับอ่านใจผู้อาวุโสเมิ่งออก “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าพวกเรากับหอคลื่นโหมที่ไม่ได้มีความขัดแย้งกัน แต่ต่างบอบช้ำด้วยกันทั้งคู่ สุดท้ายเสียเปรียบศัตรูอย่างสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ถูกต้องหรือไม่?”

ชายชราได้ยินดังนั้น ก็ทอดถอนใจครั้งหนึ่ง “ในฐานะจอมยุทธ์ การทุ่มเทเอาชนะนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์หรือผลประโยชน์ ต่างยินยอมกันระหว่างต่อสู้ จะเป็นแพ้หรือชนะเป็นหรือตายไม่พูดถึงก่อน เพียงแค่เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้แล้ว โดยส่วนมากล้วนทำลายความศรัทธาและความตั้งใจในวรยุทธ์ของตัวเองทั้งสิ้น”

“หลักการนี้ แน่นองข้าเองก็เข้าใจดี แล้วก็ไม่ได้มีเจตนาจะให้เด็กคนนั้นยอมแพ้ เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนี้ ช่างทำให้รู้สึกเสียดายโดยแท้”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ข้าเข้าใจดี ท่านอาจจะยังมีความคิดไตร่ตรองในใจว่า ในเมื่อเอาชนะไม่ได้แล้ว ไม่สู้รักษาพลังความสามารถเอาไว้ไปเลย ไม่ให้คนอื่นมองระดับความสามารถออก ทำเช่นนี้แล้ว การต่อสู้ครั้งถัดไปอาจจะมีประโยชน์มากกว่าอยู่บ้าง”

ผู้อาวุโสเมิ่งถอนใจไม่พูดจา

ชายหนุ่มเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “คำถามแรก อืม เอ่ยตามตรงแล้วกัน การประลองแห่งจันทราครั้งนี้ในปีนี้ อันที่จริงหลังจากเห็นการประลองของเมิ่งหว่านกับศิษย์น้องเฉินซู่ถิงแห่งเมืองทะเลมรกตเมื่อครู่แล้ว ผู้เป็นเจ้าของมงกุฎแห่งจันทราก็ได้ปรากฏแล้ว ในสายตาของข้าเอง”

อีกฝ่ายหันหน้ากลับมามองเยี่ยนจ้าวเกอ เขาพลันผงกศีรษะ “นอกเสียจากตอนนี้เมิ่งหว่านจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้น เหมือนเช่นตอนนั้น หาไม่แล้วไม่ว่าจะเป็นศิษย์น้องเฟิงหรือว่าศิษย์น้องฝานแห่งหอคลื่นโหม ต่อให้จะอยู่ในสภาวะสมบูรณ์พร้อม ปีนี้ก็ไม่อาจต่อสู้เมิ่งหว่านได้เช่นกัน”

“คู่ต่อสู้ที่เป็นกระแสน้ำ เมิ่งหว่านที่เป็นเหล็กตี” เยี่ยนจ้าวเกอหยุดชะงักครู่หนึ่ง “จริงอย่างเช่นที่ผู้อาวุโสเมิ่งท่านเอ่ยไว้ก่อนหน้านี้ ในการประลองแห่งจันทรา เมิ่งหว่านมีท่วงทำนองของพ่อข้าในด้านวิถีวรยุทธ์ครั้งยังเยาว์วัยอยู่หลายส่วนจริงๆ”

“ถ้าหากยึดตามที่เจ้าเอ่ยเช่นนี้ล่ะก็…” ผู้อาวุโสมุ่นคิ้วเล็กน้อย สายตาเยี่ยนจ้าวเกอมองยังไปโลกแสงจันทร์ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “แต่มีบางเส้นทางที่จำเป็นต้องเดิน และมีบางเรื่องที่จำเป็นต้องทำ เหล่านี้ล้วนเป็นเส้นทางที่ต้องผ่าน”

เยี่ยนจ้าวเกอพลันยิ้มน้อยๆ “ในระหว่างต่อสู้ครั้งหนึ่ง สามารถยืดหยุ่นได้ หลบหลีกปลายดาบศัตรูชั่วขณะ จากนั้นก็นำอาวุธวิเศษออกมาฉับพลัน ปราบคู่ต่อสู้จนได้ชัยชนะ หากแต่ในการประลองนั้น จะต่อสู้หรือไม่ต่อสู้ บางคราก็ไม่จำเป็นต้องเลือก แม้จะแจ่มชัดว่าไม่อาจชนะ ก็ต้องกล้าที่จะต่อสู้สักตั้งเช่นกัน”

ผู้อาวุโสเมิ่งได้ยินดังนั้น สายตาพลันทอประกายเล็กน้อย หันหน้ากลับไปมองยังโลกแสงจันทร์

จากนั้นเขาก็เห็นว่าแสงมังกรสีขาวดำที่เดิมทีก็ได้ค่อยๆ อ่อนกำลังลงแล้วนั้น ปรากฏให้เห็นว่ากำลังเข้าตาจน พลันระเบิดพลังอันน่าตื่นตะลึงออกมา!

พลังที่แกร่งกล้าเสียยิ่งกว่ายามเพิ่งเริ่มต่อสู้ ข้ามผ่านจุดสูงสุดของตนเองก่อนหน้านี้!

ฝานชิวงงงันอยู่บ้างชั่วขณะหนึ่ง

ก่อนหน้านี้นางเองก็เตรียมป้องกันเฟิงอวิ๋นเซิ หวนกระโจนเข้าใส่ในตอนสุดท้ายมาตลอดเช่นกัน

ทว่าถึงแม้เฟิงอวิ๋นเซิงจะไม่ยอมลดละตั้งแต่แรกจนขณะนี้ บุกโจมตีโต้ตลอดเวลา ไม่เคยหยุดหย่อนแม้ชั่วขณะเดียว ตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป กระนั้นแนวโน้มโดยรวมก็ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง เห็นเค้าว่านางค่อยๆ หมดไฟ จึงทำให้ฝานชิวคาดการณ์ระดับพลังปะทุครั้งสุดท้ายของนางต่ำลงไปโดยปริยาย

ร่มกระดาษนั้นถูกโจมตีกระแทกนับไม่ถ้วน ถึงแม้จะตั้งตระหง่านอยู่ไม่พลิกคว่ำ ทว่าขณะนี้ก็เปราะบางอย่างยิ่งยวดแล้วเช่นกัน ไม่แกร่งกล้าเหมือนตอนเริ่มต้นอีกต่อไป

บัดนี้เฟิงอวิ๋นเซิงกลับระเบิดพลังเหนือปกติอย่างมากออกมา ระหว่างที่แสงมังกรขาวดำร้องคำราม ก็ฉีกร่มกระดาษขาดกระจุยโดยพลัน!

หลังจากอาบอยู่ใต้แสงจันทร์ โลดแล่นอยู่เหนือฟากฟ้า แสงมังกรแผดเสียงคำรามดังสุดขอบฟ้า มายังเบื้องหน้าฝานชิว

ร่างของเฟิงอวิ๋นเซิงปรากฏ สีหน้าซีดเซียวดุจกระดาษ ไม่เห็นเลือดฝาดแม้แต่น้อย หากแต่สีหน้าท่าทางสงบนิ่ง ประกายตาเด็ดเดี่ยวหนักแน่นเช่นเคย ไม่ได้ไหวหวั่นแม้สักครึ่งส่วน

“ศิษย์น้องฝาน ยอมให้ข้าแล้ว”

บัดนี้สีหน้าฝานชิวขาวซีดเช่นเดียวกัน ทว่ายังคงกล่าวจากใจจริงว่า “ศิษย์พี่เฟิง นับถือท่านแล้ว หากนี่ไม่ใช่การประลองแห่งจันทรา ชีวิตข้าคงหาไม่แล้วกระมัง”

การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ต่อสู้ในชั่วพริบตา ทำให้ทุกคนในสนามต่างรู้สึกทึ่ง

ฝูงชนจ้องมองเฟิงอวิ๋นเซิงพร้อมกัน เนิ่นนานไม่อาจละสายตา

ผู้อาวุโสเมิ่งเองเป็นเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอกลับเอ่ย “นี่เป็นการโจมตีสุดท้ายของศิษย์น้องเฟิง หากไม่สำเร็จก็สละชีพ ต่อจากนี้นางคงเกรงว่าจะไม่เหลือกำลังให้ต่อสู้กับเมิ่งหว่านแล้ว แต่การประลองสนามสุดท้ายนี้ หากต้องประลองก็ต้องประลอง”

ชายชราทอดสายมองมา เยี่ยนจ้าวเกอเอื้อนเอ่ยเสียงเบาว่า “มีบางเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ศิษย์น้องเฟิงต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง”

………..