ตอนที่ 530

The Divine Nine Dragon Cauldron

ชายหนุ่มชุดขาวบินกลับไปข้างหลัง ที่อกของเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ดวงตานั้นมีแต่เพลิงแห่งความแค้นและความละอาย เขาพ่ายแพ้ต่อยอดฝีมือเร่ร่อน!

 

และฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มผสีเงินจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าสาวสวยคนนี้! ในตอนนั้นก็มีพลังโอบล้อมเขาเพื่อคงตัวเขาไม่ได้ร่วงลงพื้น

 

สีหน้าเยือกเย็นของเจิ่งซื่อชิงแทนที่ด้วยความดุร้าย

 

“แม่นาง หมายความว่ายังไงกันที่ทำร้ายศิษย์สำนักยูเฟิง? ถ้าเจ้าไม่อธิบาย ข้าก็เกรงว่าจะปล่อยเจ้าสองคนไปไม่ได้”

 

เขามองดูเซี่ยจิงหยูและพยายามจะชมความงดงามใต้ม่านวารี เขายังแอบมองดูเข็มขนนกแห่งความืดในมือของนาง ในการเพิ่มพลังได้มหาศาลเช่นนั้น พลังของสมบัตินั่นคงมิอาจประเมินได้

 

ศิษย์น้องของเขาเป็นหนึ่งในสิบลำดับแรกของศิษย์นอกสำนักยูเฟิง ยากที่เขาจะพ่ายแพ้จากราชามนุษย์คนเดียว เหตุที่เขาแพ้ก็เพราะสมบัติกึ่งวิญญาณ เข็มขนนกแห่งความมืด!

 

“เจ้ายังจะพูดไม่เป็นเรื่องอีกรึ? เจ้าไม่หยุดเขาตอนที่เขาจู่โจมพวกข้า แต่เจ้ากลับโทษข้าที่ไม่ออมมือในตอนที่เขาอ่อนแอเกินไปจนบาดเจ็บจากข้า”

 

ซือหยูตอบอย่างอาจหาญ

 

เจิ่งซื่อชิงหลิ่วตา

 

“แม่นาง เจ้าทำร้ายศิษย์สำนักยูเฟิง ข้าเกรงว่าเจ้าจะเลี่ยงปัญหาเช่นนั้นมิได้หรอก”

 

เขาอยากจะได้ทั้งเซี่ยจิงหยูและสมบัติของนาง การได้สตรีที่งดงามดั่งนางไม้และสมบัติกึ่งวิญญาณในมือ…มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะพลาดโอกาสเช่นนี้!

 

“ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้าคิดอะไร เจ้าจะเข้ามาก็ได้”

 

เซี่ยจิงหยูมองอย่างเยือกเย็น

 

เจิ่งซื่อชิงถอนหายใจแรง

 

“ดูเหมือนเจ้าจะอยากได้รับการลงโทษนะ เจ้าคิดว่าสมบัติกึ่งวิญญาณชิ้นเดียวจะทำอะไรข้าได้รึ?”

 

“เวหาผกผันลักษณ์แรก!”

 

เจิ่งซื่อชิงปล่อยพลัง ปีกมรกตปรากฏออกมาจากแผ่นหลัง เขาดูเหมือนวิหคสีเขียว

 

ร่างของเขาเลือนหาย เซี่ยจิงหยูยังคงไร้อารมณ์ นางสะบัดมือ ไอวารีในระยะสามลี้หนาขึ้น มันกลายชั้นหมอกขาว

 

หมอกเข้ามารวมตัวที่เซี่ยจิงหยูอย่างรวดเร็วราวกับกำลังพุ่งเข้าหานางด้วยความเร็วสูง

 

“เมฆาจองจำ!”

 

เซี่ยจิงหยูจรดดัชนี เหล่าหมอกรวมตัวอัดกันตรงกลางและกักขังร่างสีเขียวเอาไว้ภายใน ร่างที่เขียวที่พุ่งเข้ามาต้องเปลี่ยนทิศทางพุ่งออกจากการจองจำ

 

เจิ่งซื่อชิงเผยตัวออกมาด้วยรังสีพลังอันป่าเถื่อน วิชาวารีของนางเป็นปัญหา มันไม่ปล่อยให้เขาเข้าใจนางได้

 

“เวหาผกผันลักษณ์สอง! มันจบแล้ว!”

 

พลังชีวิตของเจิ่งซื่อชิงเอ่อล้นออกมากลายเป็นวิหคเขียวตัวใหญ่เหนือศีรษะ มันดูมีชีวิตไม่เหมือนกับภาพลวง

 

วิหคทะยานขึ้นขอบนภาตามคำสั่งของเจิ่งซื่อชิงจากนั้นจึงพุ่งเข้าใส่เมฆาจองจำ กรงเล็บของมันฉีกกระชากหมอกหนาจนขาดสะบั้น มันยังพุ่งตรงเข้าใส่เซี่ยจิงหยูอีก

 

เซี่ยจิงหยูใจหาย นางใช้พลังอีกครั้ง ธนูคันยาวที่สร้างจากไอวารีปรากฏขึ้นมา หมอกมหาศาลถูกกดดันกลายเป็นศรวารี ไอวารีนั้นถูกกดดันจนเกิดพลังมหาศาลที่ทำให้ขนลุก

 

ฟึ่บ–

 

เซี่ยจิงหยูปล่อยธนูไปอย่างไม่ลังเล

 

ตู้ม—

 

มันปะทะเข้ากับวิหคเขียว ศรวารีปล่อยแรงกดดันวารีมหาศาลออกมา

 

วิหคเขียวแตกสลายไป แรงดันวารีที่ยังหลงเหลือพุ่งเข้าใส่เจิ่งซื่อชิง

 

สีหน้าของเขาหม่นหมอง เขารีบถอยไปอย่างรวดเร็ว เขามองเซี่ยจิงหยูด้วยความระวังยิ่งกว่าเดิม นี่เป็นการโจมตีจากวิชาระดับอำมฤตในขั้นสูงสุด!

 

“ก็ได้ ข้าจะจำเจ้าไว้! เราจะเจอกันที่การประลองนกกระจอกเทวะ!”

 

เขาพูดจบและหันหนีเข้าไปในหมอกหนาโดยไม่สนศิษย์น้องของตัวเอง ชายหนุ่มชุดขาวรีบบินหนีตามไป

 

เซี่ยจิงหยูสะบัดดัชนีสร้างโซ่สองเส้นจากวารีกักตัวเขาเอาไว้ จางนั้นนางก็สร้างผนึกวารีเข้าใส่สมองของเขา

 

ผนึกวารีนี้มีคุณสมบัติคล้ายกับดวงในอัสนีของซือหยู มันควบคุมความเป็นความตายของศัตรูได้

 

การต่อสู้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีแต่เซี่ยจิงหยูก็ใช้ไปมากกว่าห้าวิชา! ห้าวิชาบ่มเพาะนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของวิชาวารีที่นางใช้ได้!

 

และด้วยเข็มขนนกแห่งความมืดที่ทำให้วิชาวารีของนางมีพลังไปอยู่ในระดับกึ่งภูติ พลังของนางทำให้ซือหยูยังต้องกลัว ถ้าเซี่ยจิงหยูต่อสู้กับเขาอย่างจริงจัง ผู้ชนะก็อาจจะตัดสินไม่ได้ง่ายๆ!

 

“พี่หยู ข้าจะส่งเขาให้พี่ พี่คิดจะทำอะไรหรือไม่?”

 

เซี่ยจิงหยูกลับมาที่ข้างซือหยูด้วยรอยยิ้ม ความไร้เดียงสาของนางสลักไว้ด้วยความอ่อนโยนและความเขินอาย

 

ซือหยูมองชายหนุ่มชุดขาวและถามอย่างเยือกเย็น

 

“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับป่ารูปปั้นบ้าง? แล้วการประลองนกกระจอกเทวะคืออะไร?”

 

ซือหยูมีข้อสงสัยเมื่อได้ยินเรื่องประลองนกกระจอกเทวะ

 

แม้ว่าเขาจะอัปยศ ผนึกนั้นก็ฝังแน่นอยู่ในตัว ควสามเป็นความตายของเขาอยู่ในกำมือของคนอื่น เขาจำเป็นต้องตอบอย่างไม่เต็มใจ

 

“ป่ารูปปั้นมีเวทป้องกันสมบัติวัตถุดิบ แมลงที่ปกป้องจะปล่อยพลังที่ทำให้สิ่งมีชีวิตกลายเป็นหิน! ถ้าเจ้าอยากจะเข้าไปในดินแดนของสมบัติวัตถุดิบ ทางเดียวก็คือเดินผ่านเวทป้องกันไป แต่ตามประวัติศาสตร์ มีแค่ยอดฝีมืออสูรสาวจากยุคก่อนเท่านั้นที่เข้าไปได้ คนที่เหลือก็เป็นรูปปั้นหินหมดอย่างที่เจ้าเห็น”

 

เขาอธิบายต่อ

 

“ส่วนการประลองนกกระจอกเทวะ มันคือที่สำหรับพักที่บรรพบุรุษของคนที่พยายามจะครองสมบัติวัตถุดิบสร้างเอาไว้ ตอนนี้มันใช้เพื่อฝึกศิษย์จากทั่วดินแดน”

 

ซือหยูพยักหน้า เขาจำที่ยู่จางบอกได้ว่าศิษย์จากตำหนักลับสวรรค์จะรวมตัวกันในสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อทำบททดสอบในงานแลกเปลี่ยนเล็กๆ

 

สถานที่นั่นคือสถานที่ที่เรียกว่าลานประลองนกกระจอกเทวะ ซือหยูหวังว่าจะได้โลหิตมังกรที่นั่น

 

“เจ้ารู้วิธีทางรักษาการกลายเป็นหินหรือไม่ ถ้าหากมีคนที่ถูกแมลงนั่นทำให้กลายเป็นหิน?”

 

ซือหยูถาม

 

อีกฝ่ายส่ายหน้า

 

“พวกข้าไม่มีทางทำได้ มีแค่แมลงตัวเมียที่พวกผู้คุ้มครองเลี้ยงที่จะสร้างหยดวิญญาณโดยเฉพาะที่แปรเปลี่ยนหินให้กลับมาได้ แต่คนพวกนั้นก็ฆ่าพวกเราทุกคน ไม่มีทางที่มันจะส่งหยดวิญญาณให้เราแน่! ไม่มีทางอื่นนอกจากเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากจ้าวเทวะ”

 

ซือหยูคิดว่ามันน่าจะยุ่งยาก แต่ถ้าหากเป็นเช่นนี้ มันอาจจะง่ายในการทำให้จางตี๋เก้อกลับมาเป็นแบบเดิม

 

“เอาล่ะข้าเข้าใจแล้ว”

 

ซือหยูพยักหน้า

 

ชายหนุ่มผมขาวใจเต้นแรง

 

“เจ้าจะทำอะไรกับข้า?”

 

ซือหยูไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยเขาไป

 

“จงอยู่ช่วยข้า…”

 

ในแววตาซือหยูดูมีเลศนัย