หลังจากเสียงปรบมืออย่างอบอุ่น ดักลาสก็ยิ้ม “ในช่วงเดือนที่ผ่านมา จอมเวทหลายต่อหลายคนรวมถึงตัวข้าเองก็ได้พิสูจน์ถึงการมีอยู่ของรังสีแคโทดตามการค้นพบของเจ้า และการทดลองที่เจ้าเพิ่งแสดงให้เราเห็นก็เป็นการพิสูจน์ที่หนักแน่น เราสรุปได้ในเบื้องต้นว่านี่คืออนุภาคใหม่ที่เล็กกว่าอะตอม ในฐานะที่เจ้าเป็นคนค้นพบ เจ้าจะมีสิทธิ์ตั้งชื่อมัน”

แม้ว่าบทความของลูเซียนว่าด้วยการค้นพบรังสีแคโทดเพิ่งจะตีพิมพ์ลงวารสารอาร์คานาในเดือนนี้ แต่จอมเวทและนักเวทที่เข้าร่วมการประชุมทุกคนต่างก็ได้อ่านแล้วทั้งสิ้น

“ขอเรียกว่า… อิเล็กตรอนขอรับ” ลูเซียนตัดสินใจเลือกใช้ชื่อเดิมที่เขาคุ้นเคย

“ดี เป็นชื่อที่ดีทีเดียว อิเล็กตรอนจะนำเราสู่ก้าวแรกของโลกแห่งจุลภาค นับเป็นความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่ของเราที่จะเข้าถึงความจริงของโลกนี้”

ดักลาสอธิบายต่อจอมเวทชั้นอาวุโสทุกคน พยายามทำให้ทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่นี้กลายเป็นชัยชนะอันรุ่งโรจน์ของอาร์คานาศาสตร์ “แต่เรายังไม่ควรภูมิใจแค่นี้ เราต้องก้าวถอยออกมาและคิดว่า ‘ทำไมเมื่อมีการคายประจุ ก๊าซถึงสามารถสร้างกระแสอิเล็กตรอนได้?’ ‘อิเล็กตรอนมีคุณสมบัติอย่างไร?’ ‘มวลและประจุที่ชัดเจนคือเท่าไร?’ ‘โครงสร้างภายในอะตอมเป็นอย่างไร?’ ‘อิเล็กตรอนสามารถถูกแบ่งออกได้หรือไม่?’ เราคงต้องศึกษาเรื่องนี้กันต่อไป”

นี่แหละดักลาสตัวจริง ลูเซียนรู้สึกว่าเมื่อได้ฟังคำอธิบายของดักลาสเขาก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาทันที ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมเฟอร์นันโดถึงตั้งชื่อเล่นให้ดักลาสว่า ‘หนึ่งแสนทำไม’ โดยจากที่เฟอร์นันโดบอก ลูเซียนรู้ว่า ตอนที่ทำการทดลองชีวิตมหัศจรรย์ เฟอร์นันโดกับดักลาสก็เฝ้าดูเขาอยู่จากชั้นบน และทั้งสองก็ได้ฟังการตอบคำถามของลูเซียนคำถามร้อยแปดพันเก้า

ลูเซียนหันไปมองที่เฟอร์นันโด เฟอร์นันโดก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

ตอนนั้นเอง โอลิเวอร์ก็ยิ้มและพูดออกมา “ท่านประธาน ให้อีวานส์ได้กล่าวอะไรสักหน่อย เขาเป็นตัวละครหลักของวันนี้ขอรับ”

ดักลาสหัวเราะ “ต้องขออภัย ข้าตื่นเต้นไปหน่อย เชิญพ่อหนุ่มขึ้นมากล่าว”

“อีวานส์ ข้าอยากรู้จริงๆ จะขอบคุณมากถ้าเจ้าช่วยบอกเราหน่อยว่าเจ้าฉีกออกจากกรอบระบบอาร์คานาปัจจุบันได้อย่างไร” โอลิเวอร์ส่งยิ้มอย่างสง่างาม “รู้ไหม ฟลอเรนเซียเป็นผู้สนับสนุนทฤษฎีอะตอมที่หนักแน่น ข้าต้องใช้เวลาค่อยๆ เปลี่ยนแนวคิดของนาง อย่าเข้าใจผิด… ข้าไม่ได้บังคับเจ้า ถ้าเจ้ายังไม่อยากบอกใคร ข้าก็ไม่ว่าอะไร”

โอลิเวอร์ไม่ใช่คนเดียวที่อยากรู้เรื่องนี้ แม้กระทั่งเฟอร์นันโดก็ยืดหลังตรงขึ้น และสงสัยวิธีคิดของลูกศิษย์ของเขาเช่นกัน แฮททาเวย์เป็นคนเดียวที่ยังคงมีท่าทีเยือกเย็นและนิ่งเงียบ

ขณะยืนอยู่ต่อหน้ามหาจอมเวท จอมเวทชั้นอาวุโส และผู้วิเศษระดับตำนาน ลูเซียนก็ยังคงมีความมั่นใจสูง “อันที่จริง ข้ามีความเชื่อเชิงปรัชญาส่วนตัวที่ข้าอยากแลกเปลี่ยนกับพวกท่านทั้งหลายขอรับ ในความเห็นของข้า ยังมีความแตกต่างระหว่างความจริงหลายประการ บางอย่างเป็นความจริงสมบูรณ์ บางอย่างเป็นความจริงสัมพัทธ์ ความจริงสมบูรณ์หมายถึงแก่นสารและกฎของโลกนี้ ซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเพียงเพราะการนำเสนอทฤษฎีใหม่ๆ และนี่คือความจริงที่เราแสวงหา”

รอยยิ้มบนหน้าของโอลิเวอร์ก็ค่อยๆ หายไป เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและมีสีหน้าจริงจังขึ้น

“แต่เนื่องจากข้อจำกัดในความรู้ วิธีคิด วิธีที่เราสำรวจโลก และความสามารถทางกายภาพและจิตใจของเรา เราทำได้เพียงเข้าใกล้ความจริงสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ในที่สุดกลับได้เพียงความจริงสัมพัทธ์ที่ประยุกต์ใช้เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ความจริงสัมพัทธ์นี้ตอบสนองความปรารถนาของเราได้เพียงระยะหนึ่ง และเมื่อหมดอายุขัยของมัน ความจริงสัมพัทธ์ก็จะกลายเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น”

ดวงตาสีแดงของเฟอร์นันโดหรี่ตาลง ขณะที่ดักลาสเอนตัวไปข้างหลังพยายามหาตำแหน่งที่สบายที่สุดที่จะพัก แฮททาเวย์ยกมือขวาขึ้นมาเท้าคาง และถูพนักแขนของเก้าอี้ไปมาเบาๆ เหมือนกับที่นาตาชาชอบทำเวลานางกำลังใช้ความคิด

“ฉะนั้น ทฤษฎีมากมายที่เราล้มล้างไม่ใช่ว่าจะไร้ความหมาย ทฤษฎีพวกนั้นเป็นความจริงสัมพัทธ์ภายใต้เงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ด้วยการพัฒนาของระบบอาร์คานา ช่วงเวลาการสำรวจความจริงของมีอิทธิพลสูงกว่าเงื่อนไขตั้งแต่ตอนก่อตั้งขึ้นแรกๆ จึงปรากฏว่าเงื่อนไขต่างๆ ผิดพลาด และไร้สาระขอรับ ขอยกตัวอย่าง ปฏิกิริยาแร่แปรธาตุสามัญส่วนใหญ่เมื่อมีการปรุงน้ำยาเวทมนตร์ทั้งหลายตามที่เราได้สังเกตการณ์ อะตอมเป็นหน่วยพื้นฐานจริงๆ และนี่คือความจริงสัมพัทธ์ในเงื่อนไขนี้ นอกจากนี้ ข้ายังเคยถามตัวเองว่าทำไมจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณจึงสามารถรุ่งเรืองและสร้างผู้วิเศษชั้นตำนานไว้มากมาย แม้ความเชื่อหลายอย่างของพวกเขาจะถูกเราวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในตอนนี้ว่าเป็นเรื่องตลกสิ้นดี ข้าเชื่อว่านั่นเป็นเพราะความเชื่อของพวกเขาเป็นความจริงสัมพัทธ์ที่สัมฤทธิ์ผลภายใต้สภาพแวดล้อมบางประการเท่านั้น”

บรรดาจอมเวททุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งราเวนติและลอเร็น ไม่คาดคิดว่าจอมเวทหนุ่มอย่างลูเซียนจะมีความรู้ลึกซึ้งและเป็นระบบเช่นนี้ พวกเขาคิดเพียงว่าความสำเร็จของลูเซียนเกิดขึ้นมาจากเพราะกำลังของวัยหนุ่ม ความเฉลียวฉลาด และความกล้าบ้าบิ่นเท่านั้น

“เมื่อเราสำรวจลึกเข้าไป โลกจริงๆ ก็อยู่ใกล้เรามากขึ้นๆ ระยะที่ความจริงควรรับใช้ก็ต้องขยายออก และความจริงสัมพัทธ์ก็จะกลายเป็นความจริงสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม โลกช่างกว้างใหญ่ เราตัวเล็กกระจ้อยร่อย เราพูดได้ไม่ผิดว่า นานมากแล้ว เราไม่เคยเข้าถึงความจริงสมบูรณ์ แต่ความจริงสัมพัทธ์กับใกล้เข้ามาทีละขั้นๆ เราต้องเตรียมใจว่าความจริงของเราอาจกลายเป็นความผิดพลาดเมื่อไรก็ได้ ดังนั้น เราควรจำไว้เสมอว่าความจริงที่เราเชื่อถือในตอนนี้ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่เรามองหา เราควรใช้มัน เชื่อถือมัน แต่ก็ควรรู้ตัวว่าความจริงเป็นจริงในระยะหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้น เราต้องเตรียมใจให้พร้อมเผชิญกับผลการศึกษาที่ล้มล้างทฤษฎีอีกมากมายขอรับ”

ขณะกำลังกล่าวสุนทรพจน์ ลูเซียนก็กำลังวางรากฐานความเชื่อเชิงปรัชญาของเขาให้หนักแน่นขึ้น และเตรียมใจให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงความรู้ความเข้าใจในอนาคต นอกจากนี้ เขายังหวังว่าการแลกเปลี่ยนความเห็นครั้งนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับจอมเวทและนักเวทได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม เขาก็จะหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า การเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่ฝังรากลึกเป็นเรื่องยากมาก และยากเกินขึ้นเมื่อเป็นความเชื่อของจอมเวทและนักเวท ไม่มีทางที่ความเชื่อของพวกเขาจะแปรผันตามสุนทรพจน์ครั้งเดียวของลูเซียน หากใครสามารถบังคับจิตใต้สำนึกและควบคุมร่างกายและจิตใจได้โดยสมบูรณ์ ในโลกเดิมของลูเซียนแล้ว คนผู้นั้นไม่ถือว่าเป็นมนุษย์ปุถุชนอีกต่อไป

ดังนั้น ในอนาคต จะมีนักเวทอีกมากที่ต้องหัวระเบิดตายจากการทับซ้อนกันของโลกแห่งปัญญา และจะมีนักเวทที่โต้เถียงกันมากขึ้น หรือแม้กระทั่งสังหารฝ่ายตรงข้ามเพียงเพราะความขัดแย้งทางความเชื่อ และก็จะมีนักเวทที่ไม่อาจใช้ทฤษฎีและความเชื่อเชิงปรัชญาใหม่เป็นแนวทางในการวางตัว ลูเซียนเพียงแต่หวังว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาจะช่วยพวกเขาได้บ้าง

หลังจบสุนทรพจน์ ความเงียบก็เกาะกุมห้องประชุมอยู่ชั่วขณะ

จากนั้น ดักลาสก็ปรบมือเป็นคนแรก “ชัดเจนดีมาก! เป็นความเชื่อเชิงปรัชญาที่ดีมาก! คำกล่าวของลูเซียนอธิบายได้ว่าทำไมจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณสามารถเจริญเติบโต และทำไมสภาจึงพัฒนามาไกลถึงเพียงนี้ เราคว้าความจริงมาไว้ในมือ แต่เราไม่อาจเดินตามอย่างตาบอด เราควรหัดตั้งคำถามมากขึ้น ทำไมๆๆๆ ลูเซียนแก่กว่าที่เขาคิด ข้าไม่ได้หมายถึงอายุ แต่หมายถึงแก่วิชา”

เขาชี้ไปที่หัวของเขา “ข้าไม่มีอะไรต้องกังวล แม้เจ้าจะเข้ามาเป็นสมาชิกคณะกรรมการ”

เห็นได้ชัดว่าดักลาสชื่นชมแนวคิดปรัชญาเป็นอันมาก

ถ้อยคำที่ใช้อภิปรายถึงความจริงสมบูรณ์และความจริงสัมพัทธ์ทำให้นักเวทอาวุโสหลายคนต้องหยุดคิด แต่พวกเขาก็รู้สึกสงสัยในคำกล่าวอ้างดังกล่าวไม่มากก็น้อย เพราะทฤษฎีและกฎต่างๆ ในระบบอาร์คานาดูหนักแน่นและมั่นคง และคงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะตั้งคำถาม

หลังจากการอธิบายสั้นๆ จอมเวทอาวุโสก็เริ่มกลับออกจากที่ประชุม เนื่องจากทุกคนต้องกลับไปแจ้งกับลูกศิษย์และสหายถึงปัญหาของทฤษฎีอะตอมโดยเร็วที่สุด เพื่อช่วยให้ผลการศึกษาใหม่ของลูเซียนค่อยๆ เผยแพร่ออกไป แล้วหวังว่านักเวทส่วนใหญ่จะค่อยๆ สามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองของตนได้

“ลูเซียน พอบทความของเจ้าตีพิมพ์ออกมา… ข้าจะหารือกับผู้หลักผู้ใหญ่… เกี่ยวกับรางวัลมงกุฎแห่งโฮล์มของเจ้าอีกสมัย” มอร์ริสพูดกับลูเซียนทีละคำๆ แม้สีหน้าของมอร์ริสจะดูสง่างาม แต่ก็ซ่อนความเศร้าไว้ภายใน

“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ขอรับ” ลูเซียนไม่อยากทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจมากไปกว่าเดิม

มอร์ริสพยักหน้า แล้วเมื่อเขาเห็นราเวนติออกจากห้องประชุมไปแล้ว เขาก็มีรอยยิ้มอีกครั้งแล้วพูดกับลูเซียน “จริงๆ การทดลองชีวิตมหัศจรรย์ก็ทำให้ได้รางวัลบัลลังก์นิรันดรพอแล้ว… ข้าว่า เจ้าคงไม่ต้องการแหวนอีกวงหรอก? ฮ่าๆ ข้าล้อเล่น อย่าถือสาเลย”

มอร์ริสรีบเดินหนีไป เมื่อเห็นว่าเจ้าแห่งวายุกำลังเดินตรงเข้ามา

ไม่กี่วันต่อมา ณ หอคอยเวทมนตร์ของโคล

ข้ารับใช้ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากก๊าซตนหนึ่งกำลังจะนำจดหมายไปส่งให้กับเจ้านาย แต่ก็เห็นข้อความที่เจ้านายของมันทิ้งไว้ “ข้ากำลังทำการทดลองกับอาจารย์ ทิ้งจดหมายไว้ตามคำสำคัญ”

ดังนั้น ข้ารับใช้ชีวินรสายนเวทจึงเปิดซองจดหมายและเริ่มอ่านจดหมายเพื่อหาคำสำคัญ

“…โคล ไม่อยากจะเชื่อว่า ลอเร็น อาจารย์ของเรา ได้ค้นพบความขัดแย้งระหว่างลำดับธาตุและทฤษฎีอะตอม เขาบอกว่ามีสิ่งที่เล็กกว่าอะตอม ซึ่งจะขัดแย้งกับความเชื่อของเจ้า! อะตอมจึงไม่ใช่หน่วยพื้นฐานของสสารทุกสรรพสิ่งอีกต่อไป และสสารเป็นเพียงภาพมายาที่มนุษย์สร้างขึ้น พลังงานน่าจะเป็นสารัตถะของทุกสรรพสิ่ง!”

ณ เมืองไฮด์เลอร์ สำนักงานใหญ่ขององค์กรหัตถ์ไร้ชีวา ระหว่างการประชุมของนักเวทอาวุโส

“เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวลือสะพัดไปทั่วว่าทฤษฎีอะตอมมีปัญหา และจอมเวทอาวุโสหลายคนก็ชี้ให้เห็นถึงปัญหาต่างๆ ในทฤษฎีอะตอม” โรเจริโอใช้ข้อนิ้วขอตัวเบาๆ “ประหลาด”

เปเซอร์ยิ้มเยาะเย้ย “ประหลาดตรงไหน? ก็เห็นได้ชัดว่ามีการทดลองใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าอะตอมอาจไม่ถูกต้อง สภากำลังค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองของจอมเวท เราก็เคยทำอย่างนี้กันมาก่อน”

“เป็นไปได้สูง แต่น่าเสียดายที่เราไม่รู้ว่ามีการทดลองอะไรกัน ไม่อย่างนั้นเราคงได้สอนบทเรียนให้กลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุได้หลาบจำ” ชายอาวุโสคนหนึ่งตรงมุมห้องพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย

เฟลิเปนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งอย่างเงียบๆ เงยหน้าขึ้นแล้วพูดเชิงประชดประชัน “ท่านซูซาน ท่านคิดว่าตอนนี้เราสามารถทำอะไรโดยสภาไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ท่านคิดว่าคนพวกนั้นโง่นักหรือไง?”

ภายใต้แรงกดดันมหาศาลจากสภาเวทมนตร์ อย่างน้อยก็ในนครอัลลิน ความขัดแย้งระหว่างผู้มีอำนาจและกลุ่มก้อนต่างๆ ยังคงไม่รุนแรงเกินเหตุ

“แต่ถ้าเรารู้ว่ามีการทดลองอะไรกัน น่าจะเป็นข้อผิดพลาดมหันต์ของพวกมัน” ซูซานยิ้มเยือกเย็น

การประชุมยุติลงเร็วกว่ากำหนด หลังจากมีการมอบหมายภารกิจให้สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองดังกล่าว

เมื่อกลับถึงหอคอยเวทมนตร์ของตน เฟลิเปก็สั่งกับข้ารับใช้ในทันที “ไปหาบทความของลูเซียน อีวานส์ ช่วงเร็วๆ นี้มาให้ข้า”

เมื่อเฟลิเปเริ่มอ่านบทความอีกครั้ง สีหน้าของเขาก็ดูเคร่งเครียดจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ “บทความทั้งหมดนี้เกี่ยวกับรังสีแคโทด… กระแสอนุภาค… ประจุลบ อย่างนั้นหรือ?”

ณ คริสตจักรแห่งอาภา ราชอาณาจักรโฮล์ม

ข้อมูลลับชิ้นหนึ่งถูกส่งเข้าไปยังห้องซึ่งมีการประชุมของเหล่าพระคาร์ดินัล