ซูหลีสะดุ้ง หันไปสบตากับนัยน์ตาลึกล้ำที่เปล่งประกายดุจดวงดาราของเขา ราวกับเขาอ่านความคิดของนางในยามนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หัวใจนางพลันเต้นอย่างบ้าคลั่ง รีบลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว จะกลับตำหนักไปพักผ่อน เชิญท่านตามสบาย” เอ่ยจบ ก็เดินหนีและทิ้งเขาไว้คนเดียว
ตงฟางเจ๋อจ้องมองแผ่นหลังที่เดินจากไปอย่างเร่งรีบ สายตาคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
ครั้นกลับถึงตำหนัก หัวใจของซูหลียังคงสับสนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไปกันแน่ สามปีมานี้ นางคิดมาตลอดว่าชีวิตนี้นางคงไม่มีความสุขอีกต่อไปแล้ว แต่เหตุใดจู่ๆ วันนี้จึงเปลี่ยนความคิดได้อย่างง่ายดาย? หรือเพราะอ้างว้างมานานเกินไป ถึงได้โหยหาความรักและความอบอุ่นถึงเพียงนี้?
จู่ๆ นางก็คิดถึงวันเวลาที่อยู่กับเสด็จพ่อ เสด็จพี่ และเสด็จแม่ในวังหลวงของเมืองหลวงเก่า ลึกๆ ในใจอดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ นางรวบรวมสติ ลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องโถงซีฝอ
ห้องโถงซีฝอเป็นสถานที่เก็บรักษาป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษในสกุลหลาง ป้ายวิญญาณของฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับหลางฉ่างก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ทุกครั้งที่นางรู้สึกจิตใจสับสนวุ่นวาย ก็มักจะมาใช้เวลาอยู่ที่นี่นานกว่าครึ่งวัน
ไกลออกไป เห็นฮั่วเสี่ยวหมานคุกเข่าอยู่กลางห้องโถง ‘จิ่นอวิ๋น’ บ่าวรับใช้ของนางยืนรออยู่ด้านนอก ครั้นเห็นซูหลีเดินมา ก็รีบค้อมกาย ซูหลีลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังเดินเข้าไป
ฮั่วเสี่ยวหมานเห็นนาง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ ชี้หน้าตำหนินางเสียงเกรี้ยว “เจ้ายังมีหน้ามาที่นี่อีกหรือ? เมื่อคืนเขาค้างคืนในตำหนักของเจ้าใช่หรือไม่?”
ซูหลีเงียบงัน นางไม่อยากพูดอะไร หลายปีมานี้นางตระหนักได้แล้ว คำอธิบายทั้งหมด ล้วนไม่มีประโยชน์ใดกับฮั่วเสี่ยวหมาน ในสายตานาง หลางฉ่างตายด้วยน้ำมือของตงฟางเจ๋อเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ และซูหลีก็แต่งงานกับตงฟางเจ๋อจริงๆ ถึงแม้จะแค่ในนามก็ตาม และเรื่องที่เมื่อคืนตงฟางเจ๋อค้างคืนในตำหนักซีหวา…ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน ส่วนเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง ซูหลีเชื่อว่าฮั่วเสี่ยวหมานไม่สนใจ และไม่คิดจะสนใจด้วย
ซูหลีเดินตรงไปจุดธูป หมายจะค้อมกายปักธูป แต่กลับถูกฮั่วเสี่ยวหมานแย่งไปจากมือ แล้วขว้างลงบนพื้นอย่างแรง ฮั่วเสี่ยวหมานตะโกนด้วยความเคียดแค้น “พวกเจ้าสองคนล้วนเป็นคนไร้ยางอาย! ทำให้พี่ชายฉ่างตาย แล้วยังมีหน้าอยู่ด้วยกันอย่างไม่รู้สึกรู้สาอันใดอีก! ฉางเล่อ…เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาจุดธูปเซ่นไหว้ที่นี่? เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้! พี่ชายฉ่างไม่อยากเห็นหน้าเจ้า!”
นางเรียกซูหลีว่า ‘ฉางเล่อ’ ไม่ยอมรับความจริงว่าซูหลีขึ้นครองราชย์แล้ว ในใจนาง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นติ้งมีเพียงผู้เดียว ก็คือหลางฉ่างผู้ที่จากโลกนี้ไปแล้ว!
ซูหลีเงยหน้ามองนาง นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อสั่นเทาเล็กน้อย แต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้านับถือท่านในฐานะภรรยาของเสด็จพี่ เห็นใจที่ท่านเสียลูกในท้องไป ท่านทำอย่างไรกับข้า ข้าล้วนไม่ถือสา แต่หากลับหลังท่านยังกล้าสร้างประเด็นยุยง บ่อนทำลายความมั่นคงของบ้านเมืองอีก เมื่อถึงยามนั้นข้าคงต้องล่วงเกินท่าน”
ฮั่วเสี่ยวหมานหลบตานาง ยืนหันหลังให้นางทันที นางสะบัดแขนเสื้อแรงๆ แล้วตะโกนเสียงดัง “เจ้าพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจ”
ซูหลีหยิบธูปบนพื้นปักลงในกระถาง จากนั้นก็ค่อยๆ หันมามองนาง ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยพลางถอนหายใจ “เรื่องที่ท่านพูดจาไร้สาระต่อหน้าเหล่าขุนนางในงานเลี้ยงใหญ่จะไม่พูดถึง แต่ท่านยังสั่งให้คนไปล่อลวงเซียวต้าไน่ให้เอ่ยวาจากำเริบเสิบสาน ก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างสองแคว้น ช่างไร้ความเกรงกลัวนัก!”
ฮั่วเสี่ยวหมานเชิดคาง หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วกล่าวว่า “เจ้ามีหลักฐานหรือไม่? ไม่มีหลักฐาน ก็อย่ามาใส่ร้ายผู้อื่นส่งเดช!” นางคล้ายมั่นใจมากว่าซูหลีจะหาหลักฐานไม่ได้ และถึงแม้หาได้ ก็ไม่กล้าทำอะไรนางอยู่ดี
สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นปวดใจ ยังคงเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเสด็จพี่ยามยังมีชีวิตอยู่ ก็คือทำให้บ้านเมืองมั่นคง แว่นแคว้นสงบสุข ท่านพยายามบ่อนทำลายสายสัมพันธ์ของสองแคว้น และยุยงให้สองราชสำนักแตกแยกกันเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เสด็จพี่อยากเห็นแน่นอน!”
สายตาของฮั่วเสี่ยวหมานแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางกล่าวว่า “เรื่องที่ข้าทำไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น เช่นนั้นการที่เจ้าแต่งงานกับคนที่ฆ่าเขา คือสิ่งที่เขาอยากเห็นอย่างนั้นหรือ?”
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยด้วยสายตาราบเรียบ “ข้าทำทุกอย่างก็เพื่อบ้านเมือง ดวงวิญญาณของเสด็จพี่จะต้องเข้าใจความตั้งใจของข้าอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นหรือ?” ฮั่วเสี่ยวหมานมองหน้านางด้วยสายตาเคียดแค้น ทุกครั้งที่คิดว่าหลางฉ่างมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมหงหลงอย่างรีบร้อนเพราะเรื่องของซูหลี แล้วสุดท้ายก็ต้องตายอย่างน่าอนาถ ไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก! นางก็อยากจะฉีกร่างซูหลีให้เป็นชิ้นๆ แต่นางกลับต้องอดกลั้นครั้งแล้วครั้งเล่า นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วนางก็กล่าวขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว “เจ้าทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ หรือ? ไม่มีความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลยแม้แต่น้อย?”
ซูหลีไม่พูดอะไร สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าโศกอย่างช้าๆ
ฮั่วเสี่ยวหมานเอียงคอมองพิจารณานางด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน แล้วจึงค่อยเอ่ยเตือนนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉางเล่อ เจ้าควบคุมหัวใจตนเองให้ดี หากเจ้ากล้าลืมการตายของพี่ชายฉ่าง และคิดจะใช้ชีวิตร่วมกับตงฟางเจ๋อ ข้าจะไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน! ดวงวิญญาณของพี่ชายฉ่าง ก็จะไม่มีทางยกโทษให้เจ้าเช่นกัน!” เอ่ยจบ นางก็แค่นเสียงเย็นชา สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
เสียงฝีเท้าที่กำลังจากไปดังก้องอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ละก้าวราวกับกำลังย่ำหัวใจนาง นางยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเนิ่นนานไม่ขยับเขยื้อน มองดูป้ายวิญญาณของเสด็จพ่อและเสด็จพี่ที่อยู่ข้างหน้า แววตาสงบนิ่งถูกแทนที่ด้วยความเศร้าเสียใจ หากใจคนเราสามารถควบคุมได้ โลกใบนี้จะมีเรื่องให้เศร้าเสียใจมากมายถึงเพียงนี้หรือ?
ซูหลีค่อยๆ คุกเข่าลงบนเบาะรองนั่งทรงกลม ปล่อยให้ความหนาวเหน็บกัดกินหัวใจไปทีละน้อย
ครั้นกลับถึงตำหนัก ก็เลยเวลาพลบค่ำไปแล้ว ซูหลีเอนกายลงบนตั่ง แล้วหลับไปอย่างไม่รู้ตัว ท่ามกลางความเลือนรางไม่ชัดเจน คล้ายมีคนกำลังมองนาง นางลืมตาขึ้นมา สบเข้ากับนัยน์ตาลึกล้ำดำขลับคู่หนึ่ง ความรู้สึกสับสนวุ่นวายพาดผ่านดวงตาของนางไปชั่วขณะ สุดท้ายก็กลายเป็นความอบอุ่นอ่อนโยนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ดวงหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติตรงหน้า เมื่อถูกแสงไฟเหลืองนวลอาบย้อม ก็คล้ายได้หลอมละลายความแข็งกร้าวที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด เหลือไว้เพียงความอ่อนโยนเท่านั้น
ซูหลีเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
“เจ้าตื่นแล้วหรือ?” ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย ประคองนางให้ลุกขึ้น ซูหลีพยักหน้าตามสัญชาตญาณ ท้องฟ้าข้างนอกมืดแล้ว ค่ำคืนอันมืดมิดดุจน้ำหมึกเงียบงันและหนาวเหน็บ รอยยิ้มของเขาที่อยู่ตรงหน้าอบอุ่นเหมือนแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ ชวนให้รู้สึกโหยหาอย่างไม่อาจห้ามใจ
“ตอนนี้กี่ยามแล้ว?” นางรีบปัดความรู้สึกที่ทำให้อ่อนแอนี้ทิ้งไป แล้วถามเสียงเบา เสียงพูดของนางที่เพิ่งตื่น ฟังดูแหบแห้งผิดปกติเล็กน้อย
ตงฟางเจ๋อหันไปมองนาฬิกาทรายแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วตอบว่า “ยามซวี สามเค่อ เจ้าหลับไปเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น” น้ำเสียงทุ้มลึกน่าฟัง ยิ่งฟังดูน่าดึงดูดในค่ำคืนอันเงียบงันเช่นนี้ ราวกับเพียงสะกิดเบาๆ ก็สามารถทำให้ความพยายามในการสงบจิตใจในครึ่งวันที่ผ่านมาของนางสูญเปล่าในพริบตา
นึกไม่ถึงว่าจะหลับไปนานถึงเพียงนั้น?
แล้วเขาก็บอกเวลาได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ เดาว่านางเพิ่งหลับ เขาก็มาแล้ว หรือในครึ่งชั่วยามนี้ เขานั่งมองนางอยู่ข้างๆ ตลอด?
จิตใจของซูหลีสับสนวุ่นวาย รีบยกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว เพื่อปกปิดอาการเสียกิริยาของตนเอง
“นอนหลับไม่สนิทหรือ?” เขาถามอย่างห่วงใย ยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ร่วงลงมาไปข้างหลังให้นางอย่างเป็นธรรมชาติ สภาพที่เพิ่งตื่นนอนของนาง ดูมึนงงสามส่วน เกียจคร้านสามส่วน และดูไร้เดียงสาอย่างหาดูได้ยากอีกสามส่วน
ตงฟางเจ๋อเผยยิ้มเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
ซูหลีนวดหัวคิ้วสองสามที แล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นกระจ่างชัด
“ก็ดี” นางตอบเสียงเบา จงใจหลบสายตาเขา แสร้งทำเป็นกวาดมองรอบกาย คล้ายกำลังมองหาเงาร่างของโม่เซียง
ราวกับอ่านใจนางออก เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “โม่เซียงไปต้มยากับเซิ่งฉินแล้ว”
ซูหลีกระจ่างทันที เห็นเพียงเขาอมยิ้ม ในสายตาแฝงความหมายลึกซึ้ง เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องระหว่างโม่เซียงกับเซิ่งฉินแล้ว และเต็มใจที่จะอวยพรทั้งสองคน
ยามนี้เอง โจวหลี่นำบ่าวรับใช้ยกมื้อเย็นมาถวาย อาหารถูกจัดวางเต็มโต๊ะ ทุกจานทั้งรูปรสกลิ่นสีครบครัน ล้วนเป็นอาหารที่นางเคยชอบกินที่สุด โดยเฉพาะข้าวต้มที่ดูธรรมดา แต่เมื่อเข้าปากกลับมีรสชาติอันยอดเยี่ยมชามนั้น ทำให้นางอดนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ในลัทธิธิดาเทพไม่ได้ ช่วงเวลาที่เขาปลอมตัวเป็นเซี่ยฝูอันและคอยอยู่ข้างกายนาง…ประมุขแห่งแคว้นผู้หนึ่งปลอมตัวเป็นพ่อบ้านลงครัวทำอาหารด้วยตนเอง จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสำหรับนาง
………………………