คำถามที่ซ่อนอยู่ในใจมาแสนนาน ไม่เคยได้รับคำตอบ นางอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ท่าน…ทำอาหารเป็นได้อย่างไร?” ด้วยฐานะอันสูงส่งของเขา ทำให้ยากที่จะจินตนาการได้จริงๆ
ตงฟางเจ๋อชะงักงัน แต่งงานมาหลายเดือนแล้ว นี่เป็นครั้งแรก ที่นางดูเหมือนจะสนใจเรื่องในอดีตของเขา หัวใจเขาเต้นแรงเล็กน้อย ยิ้มแล้วตอบว่า “เรียนมาจากเสด็จแม่ของข้า”
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เหลียงไทเฮา?”
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ สีหน้ายามระลึกถึงอดีตดูเจ็บปวด “เสด็จแม่ของข้าเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ลักษณะนิสัยชดช้อยสง่างาม ถึงแม้เกิดในตระกูลสูง ไม่เคยตกระกำลำบาก แต่เพื่อรั้งพระทัยเสด็จพ่อ เสด็จแม่จึงร่ำเรียนการทำอาหารจากเหล่าแม่นมในวัง ไปๆ มาๆ กลับร่ำเรียนจนมีฝีมือไม่ธรรมดา ข้าวต้มกับของว่างที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนชอบกินยามยังมีชีวิตอยู่ ข้ามักดูอยู่ข้างๆ เสมอ เนิ่นนานไป จึงเรียนรู้วิธีการทำอาหารไม่กี่อย่างนี้…”
ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง
เหลียงกุ้ยเฟยในตอนนั้นก็เป็นสตรีที่มีความทะนงตนสูงนางหนึ่งเช่นกัน แต่เพื่อโอรสของตนเอง นางยอมวางความทะนงตนลง เพียงเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานเพียงน้อยนิดนั้นกลับมา ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ
ซูหลีก้มหน้ามอง แล้วเอ่ยด้วยความสงสัย “ข้าวต้มในวันนี้…”
ตงฟางเจ๋อยิ้มแล้วกล่าวอย่างรู้ทัน “ข้าวต้มในวันนี้ โจวหลี่เป็นคนต้มเอง เขาเคยเป็นบ่าวรับใช้ของเสด็จแม่”
ซูหลีพยักหน้า มิน่าเล่าเขาถึงได้เชื่อใจโจวหลี่นัก
ตงฟางเจ๋อยิ้มแล้วกล่าวว่า “หากเจ้าอยากกินข้าวต้มที่ข้าทำเอง อีกสองสามวันหากข้ามีเวลา…”
“ไม่ต้องหรอก!” หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน รีบตัดบทเขาแล้วกล่าวว่า “ข้าแค่ถามไปอย่างนั้นเอง ท่านไม่จำเป็นต้องคิดมาก ยามนี้ข้าเพียงต้องการให้สองแคว้นร่วมมือกันได้อย่างราบรื่น และไม่มีอุปสรรคในการใช้ข้อบังคับใหม่เท่านั้น”
วาจาที่ฟังดูเย็นชาอย่างตั้งใจ เพิ่มระยะห่างระหว่างทั้งสองให้ไกลขึ้น บรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ
สายตาของตงฟางเจ๋อหม่นหมอง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “เรื่องของโม่เซียงกับเซิ่งฉิน…เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
ซูหลีกล่าวอย่างครุ่นคิด “เรื่องใหญ่เช่นการแต่งงาน ข้าไม่อยากก้าวก่ายมาก หากนางตกลงปลงใจเองก็ย่อมดี เพียงแต่ว่า…” ลึกๆ ในใจอดรู้สึกเศร้าโศกไม่ได้ ราวกับจู่ๆ ก็ต้องมอบเด็กที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กให้ผู้อื่น อดรู้สึกอาลัยอาวรณ์ไม่ได้
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ แล้วบอกว่า “หากเจ้ายังทำใจไม่ได้ เก็บนางไว้ข้างกายอีกสักสองปีก็ไม่เป็นไร”
ซูหลีส่ายหน้า แย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “โม่เซียงติดตามข้ามาหลายปี แม้อยู่ในฐานะนายบ่าว แต่ข้าเห็นนางเหมือนน้องสาวแท้ๆ หากเซิ่งฉินต้องการสู่ขอนาง ก็จำต้องรักเดียวใจเดียว มิเช่นนั้นหากอนาคตเขาทำให้นางเสียใจ ข้าไม่มีทางอภัยให้เขาแน่!”
ตงฟางเจ๋อหลุดหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า “ด้วยนิสัยของเซิ่งฉิน ไม่มีทางปล่อยปละละเลยโม่เซียงแน่นอน แต่ชีวิตคนเรายาวนานนับร้อยปี ผู้ใดจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป?”
หัวใจคนเราเปลี่ยนผันง่ายดาย คนที่รักเดียวใจเดียวไปได้ตลอดชีวิต นับได้ว่ามีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แม้ตงฟางเจ๋อจะเชื่อใจเซิ่งฉินอีกเพียงใด ก็ไม่กล้ารับประกันส่งเดช
ซูหลีย่อมเข้าใจหลักเหตุผลนี้ จึงไม่ได้บังคับร้องขอมากมาย เรื่องแต่งงานของโม่เซียง ให้นางเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง อนาคตจะมีชีวิตเช่นไร ก็ให้นางเป็นคนเลือกด้วยตนเอง
หลังเก็บสำรับมื้อเย็นเสร็จ ทั้งสองก็นั่งคุยกันอีกครู่หนึ่ง โจวหลี่เดินเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ได้เวลาสรงน้ำแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีรู้ว่าเขาต้องอาบน้ำขับพิษเย็นสามวันต่อเดือน จึงรีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยปากเร่ง “ท่านรีบไปเถิด”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้ายิ้ม แล้วกล่าวว่า “เจ้าดื่มยาแล้วพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
เงาร่างสูงใหญ่ของเขาหายลับออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงประโยคกำกวม ทำเอาซูหลีนั่งเหม่อลอยอยู่นาน อีกหนึ่งชั่วยามก็จะถึงเวลาเข้านอนแล้ว เขาบอกว่า ‘จะรีบไปรีบกลับ’ นั่นหมายความอย่างไรกัน?
ซูหลีมองประตูกั้นบานนั้น จู่ๆ ก็มีความคิดอยากจะปิดมันไว้อีกครั้ง!
ไม่นาน โม่เซียงก็กลับมาพร้อมยาที่ต้มเสร็จแล้ว แววตาแห่งความสุขชัดเจนจนปิดไม่มิด ซูหลีเห็นเช่นนั้น แต่กลับไม่พูดอะไร หลังดื่มยาเสร็จก็รู้สึกเหนื่อยล้า โม่เซียงรีบปรนนิบัตินางอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพิ่งจะเอนกายนอนลงบนเตียง ตงฟางเจ๋อก็กลับมาแล้ว
เขาสวมเสื้อผ้าไหมสีหมึก ผมยาวถูกปล่อยสยาย กลิ่นหอมสดชื่นหลังจากอาบน้ำลอยอบอวลรอบกาย ยิ่งขับเน้นให้เขาดูหล่อเหลาดุจหยกล้ำค่า ดูกระปรี้กระเปร่า
หัวใจของซูหลีเต้นแรง นางรีบละสายตาออกไป
กลิ่นหอมจางๆ ของยาลอยอวลในอากาศ นางสูดหายใจเล็กน้อย ค้นพบว่าในน้ำยาขับพิษมีขิงแดง และดอกชื่อกุ้ยซึ่งเป็นสมุนไพรชั้นดีในการขับพิษผสมอยู่ด้วย หลินเทียนเจิ้งเคยกำชับว่าในระหว่างสามวันที่ต้องขับพิษ เขาจะสูญเสียกำลังภายในไปจนหมด ห้ามปล่อยให้ร่างกายถูกความเย็นเด็ดขาด มิเช่นนั้นหากพิษเย็นกำเริบ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงจนไม่อาจคาดเดา ยามนี้อากาศยังไม่อบอุ่นขึ้น แต่เขากลับสวมเสื้อเพียงตัวเดียว เกรงว่าจะไม่เพียงพอ
ซูหลีอดขมวดคิ้วไม่ได้ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่ก็ดึกแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนเถิด มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันวันพรุ่งนี้” เอ่ยจบนางก็ไม่มองหน้าเขาอีก เพียงหันหลังแล้วเอนกายลง
เสียงสวบสาบดังมาจากข้างหลัง กลิ่นอายของบุรุษอันคุ้นเคยไม่จางหายไป แต่กลับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขากลับนั่งลงตรงขอบเตียง หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม นางรีบหลับตาลงทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก
ซูหลีอดลืมตาไม่ได้ หันหลังกลับไปก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางเจ๋ออยู่ใกล้แค่เอื้อม ใบหน้าของเขาดูซีดขาวเล็กน้อย คงเป็นเพราะหลังแช่น้ำขับพิษจึงทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลง ครั้นเห็นเขายังไม่มีท่าทีคิดจะจากไป ซูหลีก็ลุกขึ้นนั่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย “ช่วงขับพิษเป็นช่วงเวลาสำคัญ ท่านอาบน้ำเสร็จก็ควรรีบเข้านอน เดินเพ่นพ่านไปทั่วเช่นนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร!”
ทั้งที่เป็นห่วงกันแท้ๆ แต่กลับแสดงออกอย่างเย็นชาถึงเพียงนี้ รอยยิ้มพาดผ่านดวงตาของตงฟางเจ๋อ “ซูซูพูดมีเหตุผล ข้ามา ก็เพื่อเตรียมตัวจะเข้านอน”
ซูหลีเบิกตากว้าง อดกำผ้าห่มแน่นไม่ได้ น้ำเสียงฟังดูเกร็งๆ “ท่าน ท่านจะนอนที่นี่หรือ?” ถึงแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้ เมื่อคืนเพราะนางป่วย สติพร่าเลือนไม่ชัดเจนจึงทำให้ต้องนอนด้วยกัน ตอนนี้ไข้ลดแล้ว นางกลับไม่รู้จะอยู่กับเขาโดยไม่รู้สึกอึดอัดได้อย่างไร
ชั่วขณะหนึ่ง ดวงตากระจ่างชัดเต็มไปด้วยอารมณ์สับสนวุ่นวาย สะท้อนให้เห็นถึงแววขัดขืนและปฏิเสธอย่างชัดเจน ตงฟางเจ๋อมองนางเงียบๆ ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจ แล้วตะโกนเรียกเสียงดัง “โจวหลี่!”
โจวหลี่รับคำแล้วเดินเข้ามา ข้างหลังมีขันทีหลายคนเดินตามมาด้วย บ้างก็ถือหมอน บ้างก็ถือผ้าห่ม
โจวหลี่สั่งให้เหล่าขันทีวางหมอนกับผ้าห่มลงบนตั่งยาวที่อยู่ด้านหนึ่ง จากนั้นก็รีบจัดให้เข้าที่เข้าทาง และพากันถอยออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ซูหลีตกตะลึง “ท่านทำอะไรน่ะ?”
ตงฟางเจ๋อจ้องหน้านางเงียบๆ “เจ้ายังไม่หายดี กลางคืนก็ไม่ยอมให้ผู้ใดเฝ้าอีก”
ซูหลีหลบสายตาเขา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าสับสนว่า “ข้าไม่เป็นไรแล้ว อีกอย่างข้าเป็นคนรู้สึกตัวง่าย ไม่ชอบให้มีคนยืนเฝ้า ท่านให้พวกเขาย้ายของกลับไปเถิด” เอ่ยจบก็ทำท่าจะลงจากเตียง แต่กลับถูกเขากดร่างไว้เบาๆ อย่างอ่อนโยนทว่ามั่นคง
ซูหลีตะโกนเรียก “โจวหลี่!”
ไร้เสียงตอบรับจากข้างนอก คล้ายทุกคนได้ออกจากตำหนักตงหวาไปแล้ว ซูหลีขมวดคิ้ว แล้วขานเรียกอีกครั้ง “โม่เซียง!”
โม่เซียงเดินเข้ามาดู แต่ยืนอยู่หน้าประตูไม่กล้าเข้ามาใกล้ ได้ยินเพียงซูหลีกำชับว่า “บอกให้คนมาขนของของฮ่องเต้แคว้นเฉิงกลับไป”
โม่เซียงตกใจจนร้องเสียงหลง หันไปมองตงฟางเจ๋อด้วยสีหน้าขื่นขม
ตงฟางเจ๋อกุมมือซูหลี ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ทำไมเจ้าต้องทำให้นางลำบากใจด้วยเล่า” จากนั้นเขาก็หันไปส่งสายตาให้โม่เซียงอย่างแนบเนียน โม่เซียงรู้ความ รีบถอยออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ซูหลีสะบัดมือเขาออกเบาๆ แล้วกล่าวอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย “ท่านเป็นถึงประมุขแห่งแคว้น นอนบนเตียงมังกรดีๆ ไม่ชอบ กลับจะมานอนเบียดบนตั่งเล็กๆ เหมาะสมเสียที่ไหนกันเล่า?!”
ตงฟางเจ๋อกระดกคิ้วแล้วกล่าวว่า “เจ้าใส่ใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เรื่องที่ข้าค้างคืนในตำหนักซีหวาเมื่อคืนเหล่าขุนนางสองราชสำนักต่างรู้กันถ้วนหน้า เมื่อก้าวข้ามมาแล้ว ก็ไม่อาจถอยหลังได้อีก”
……………………