ซูหลีตะลึงงัน เรื่องใดที่เขา ‘ตงฟางเจ๋อ’ ตัดสินใจว่าจะทำ ไม่มีผู้ใดใต้ฟ้านี้ที่สามารถยับยั้งได้ แต่ตั่งยาวตัวนั้นมีขนาดเล็กลวดลายประณีต ถูกสร้างขึ้นเพื่อนางโดยเฉพาะ เขาตัวสูงขายาว หากจะนอนบนนั้น จะไม่เป็นการลำบากเกินไปหรอกหรือ
ราวกับมองเห็นถึงความกังวลลึกๆ ในใจของนาง เขาจ้องนางด้วยสายตาลึกล้ำ ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้าเพียงอยากอยู่ข้างเจ้า จะด้วยวิธีใด ข้าก็ไม่ถือสา นอกเสียจาก…เจ้าจะเปลี่ยนใจอีกครั้ง”
นัยน์ตาที่ในยามปกติเย่อหยิ่งไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ยามนี้กลับปรากฏแววไม่มั่นใจพาดผ่านรางๆ หัวใจของซูหลีสั่นสะท้านไปทั้งดวง ราวกับมีเสียงชั้นน้ำแข็งแตกร้าวดังขึ้นในใจเบาๆ นางมองหน้าเขา ลึกๆ ในใจสับสนวุ่นวาย “เหตุใดท่านต้องลำบากทำถึงเพียงนี้”
ตงฟางเจ๋อเสยปอยผมที่หลุดร่วงของนางทัดใบหูเบาๆ แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “นอนเถิด” จากนั้นก็ประคองนางให้นอนลงโดยไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ เขาดึงผ้าห่มคลุมตัวให้นาง แล้วจึงเดินกลับไปเอนกายลงบนตั่งยาวตัวนั้น จากนั้นก็หลับตาลงอย่างสงบ
ซูหลีเห็นเขาตัดสินใจแน่วแน่ จึงได้แต่ทำตามความต้องการของเขาอย่างจนใจ เดิมทีนึกว่าคืนนี้คงนอนไม่หลับอีก นึกไม่ถึงว่าความเหนื่อยล้ากลับจู่โจมเข้ามา เดาว่าเทียบยาที่หลินเทียนเจิ้งจ่ายให้คงมียานอนหลับอยู่ด้วย ไม่นานนางก็นอนหลับลึก
ค่ำคืนนั้น นางหลับสนิทจนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มสว่างเล็กน้อย กลับไม่ฝันแม้แต่น้อย
ซูหลีลืมตา หันไปมองตั่งยาวตัวนั้นโดยสัญชาตญาณ เห็นเพียงท่ามกลางความมืด หน้าอกของบุรุษกระเพื่อมขึ้นลง เขากำลังนอนหลับอย่างสนิท ผ้าห่มบนตัวเกือบจะร่วงตกพื้น เผยให้เห็นร่างกายเกือบครึ่งส่วน
ซูหลีลุกขึ้นโดยสัญชาตญาณ นางเดินมาที่หน้าตั่งยาวเบาๆ ก้มหยิบผ้าห่ม แล้วคลุมให้เขาอย่างระมัดระวัง ปลายนิ้วของนางสัมผัสถูกติ่งหูเขาโดยบังเอิญ นางตกใจจนหัวใจเต้นรัว รีบหยุดการเคลื่อนไหวทันที
ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงถอนหายใจเบาๆ รีบจัดแจงห่มผ้าให้เขาโดยเร็ว แต่กลับไม่ได้เดินจากไปทันที
แสงจันทร์กระจ่างใสส่องลอดเข้ามาในหน้าต่าง สาดกระทบใบหน้าหล่อเหลา ภายใต้แสงและเงา เครื่องหน้าทั้งห้าแลดูคมชัด อิริยาบถยามหลับของเขาราวกับมีมนต์สะกดที่มองไม่เห็น ดึงดูดหัวใจนางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ นางค่อยๆ ย่อกายลงข้างตั่ง
บางที อาจมีเพียงค่ำคืนที่ไม่มีผู้ใดคอยจับตามองเช่นในยามนี้เท่านั้น นางจึงจะสามารถปล่อยใจตนเอง ให้มองดูเขาได้อย่างไม่ต้องพะวงเรื่องใด
ไม่รู้ว่าเขาฝันอะไร คิ้วเข้มถึงได้ขมวดเข้าหากันแน่นถึงเพียงนั้น ยามนี้เองซูหลีจึงเพิ่งค้นพบอย่างตกตะลึง หัวคิ้วของเขาคล้ายมีริ้วรอยในแนวตั้งอยู่จางๆ หัวใจเจ็บแปลบขึ้นมาทันที หลายปีมานี้ ใช่นางเพียงคนเดียวเสียที่ไหนที่ต้องทนทุกข์และลำบาก?
สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นรักใคร่ทะนุถนอมอย่างลืมตัว ครั้นตระหนักได้ ปลายนิ้วของนางก็ลูบไล้ริ้วรอยบนหน้าผากของเขาโดยไม่รู้ตัวแล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะสูญเสียกำลังภายในระหว่างขับพิษ ความระแวดระวังของเขาจึงแย่ลงมาก เขายังคงหลับสนิทไม่รู้ตัว นางรวบรวมความกล้า ลูบไล้ไปมาอย่างระมัดระวังอีกสองสามครั้ง ราวกับกลัวว่าช่วงเวลาที่เหมือนความฝันนี้จะถูกทำลายลง กระทั่งคิ้วคู่นั้นคลายปมออกจากกัน นางจึงค่อยดึงมือกลับอย่างเงียบงัน
ในห้องเงียบสงบไร้เสียง มีเพียงเตาถ่านตรงมุมห้องที่ส่งเสียงปะทุเบาๆ เป็นครั้งคราว แสงไฟแผ่กระจายความอบอุ่น ราวกับฝ่ามือใหญ่ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งกำลังขับไล่ความหนาวเหน็บในค่ำคืนฤดูหนาวอย่างเงียบงัน
ในสามปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรก ที่นางรู้สึกว่ากลางคืนก็ไม่ได้น่ากลัวมากนัก
ซูหลีมองหน้าเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ ชั่วขณะหนึ่ง นางถึงขั้นรู้สึกว่าช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขเหลือเกิน
หากไม่มีเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้น นางกับเขาคงแต่งงานกันไปนานแล้วกระมัง? กลางคืนไม่ว่าลืมตาตื่นมาเมื่อใด ก็สามารถซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดอันอบอุ่นอย่างไม่ต้องหวาดกลัวได้เสมอ…
เสียงบอกเวลายามห้าดังเข้ามาจากข้างนอก ซูหลีตกใจ เงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้าใกล้สางแล้ว
นางหันไปมองเขาอย่างอาลัยอาวรณ์อีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น หมายจะฉวยโอกาสตอนที่เขายังไม่ตื่นเดินกลับไป ขณะหมุนตัว จู่ๆ มือก็ถูกกุมแน่น
นางหันหน้ากลับไปทันที เห็นเพียงบุรุษที่วินาทีก่อนยังนอนหลับสนิท ยามนี้กลับกำลังจ้องหน้านางนิ่งๆ สายตากระจ่างชัด ไม่ใช่คนที่เพิ่งตื่นแน่นอน!
ซูหลีพลันลนลาน นางรู้ว่าตนเองควรจะเดินกลับเตียงไปอย่างไม่ลังเล แสร้งทำเป็นไม่เคยสนใจเขา ไม่เคยแอบมองยามเขาหลับ แต่เพราะอะไร…ความโดดเดี่ยวและความอาลัยอาวรณ์ในดวงตาคู่นั้นจู่โจมหัวใจนางทันที เท้าของนางราวกับถูกตรึงไว้กับที่ ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้
ในห้องเงียบสงบจนชวนให้รู้สึกแปลก ไม่มีใครเอ่ยปากพูด
เสียงลมหายใจแผ่วเบา กลับชัดเจนในยามนี้
นางพลันทำตัวไม่ถูก การปล่อยใจนานๆ ครั้งของนาง ทำให้อารมณ์อยู่นอกเหนือการควบคุมไปเสียแล้ว
ตงฟางเจ๋อจ้องตานางเงียบๆ บีบมือนางแรงขึ้น เขาตื่นตั้งแต่วินาทีที่นางลงจากเตียงแล้ว แต่กลับไม่กล้าลืมตา มีเพียงเวลาที่เขาไม่เห็น นางจึงจะยอมปลดหน้ากากลง แล้วเผยให้เห็นถึงความคำนึงหาและความห่วงใยอย่างแท้จริงที่ไม่มีผู้ใดเห็น
เขาคิดถึงความรักของนาง ความอบอุ่นของนาง คิดถึงทุกอย่างของนางมาเป็นเวลาสามปีแล้ว
แววตาอาลัยอาวรณ์ของนางค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นจนใจและเศร้าโศก เขายังคงกุมมือนางแน่น แต่มือของนางกลับค่อยๆ หลุดออกจากฝ่ามือเขาไปช้าๆ
ความรู้สึกอับจนหนทางและความเจ็บปวดแผ่ลามไปทั่วร่างกาย ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างรักกัน แต่กลับไม่อาจอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แม้แต่การสบตากันในค่ำคืนอันเงียบสงบเช่นนี้ก็ยังเป็นเหมือนความฝันที่ไม่สมจริง
รักคนคนหนึ่งเป็นเรื่องง่าย เกลียดคนคนหนึ่งก็เป็นเรื่องง่ายเช่นกัน แต่การรักคนที่อยู่ข้างกาย ทว่ามิอาจเข้าใกล้ มิอาจอยู่ร่วมกันได้ กลับเป็นความทรมานที่เจ็บปวดที่สุด
หัวใจเจ็บปวดจนไม่สามารถจะเจ็บปวดไปได้มากกว่านี้แล้ว ซูหลีสะบัดมือเขาออก แล้วเดินกลับไปที่เตียงทันที นางห่มผ้าแล้วนอนหันหลังให้เขา ในครรลองสายตามีแต่ความมืดมิด
นางได้ยินเขาลุกจากตั่ง เหมือนจะเดินมาที่เตียง ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้น จากนั้นเสียงฝีเท้าของเขาก็ค่อยๆ ห่างออกไป
ยามพบกันอีกครั้งในค่ำนั้น สีหน้าของตงฟางเจ๋อกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นก็ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตงฟางเจ๋อยังคงค้างคืนที่ตำหนักซีหวาทุกคืน ต่างฝ่ายต่างรักษาระยะห่างซึ่งกันและกัน กลับสงบสุขไม่มีปัญหาใด เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว
ใกล้ถึงเดือนสามแล้ว เดิมทีควรเป็นฤดูกาลที่อากาศอบอุ่นดอกไม้เบ่งบาน แต่ท้องฟ้ากลับมืดครึ้ม คล้ายพายุฝนกำลังจะมาเยือน
วันนี้ซูหลีเพิ่งกลับจากสนามประลองยุทธ์ นางเห็น ‘จิ่นอวิ๋น’ สาวรับใช้ของฮั่วเสี่ยวหมานที่ประตูวัง นัดพบกับชายคนหนึ่ง ท่าทางดูลับๆ ล่อๆ เฟิงซุ่นเห็นก็เข้าไปถามไถ่ไม่กี่ประโยค ที่แท้ชายผู้นั้นก็คือ ‘จิ่นฟู่’ พี่ชายของนาง เหล่านางกำนัลและขันทีอาศัยการซื้อของนัดพบคนในครอบครัวนับเป็นเรื่องปกติ ซูหลีไม่ได้ใส่ใจนัก ยามนี้ความสนใจทั้งหมดของนางอยู่ที่อีกเรื่องหนึ่ง
เช้าตรู่ของวันนี้ได้รับรายงานจากชายแดนฝั่งตะวันตก กษัตริย์ของชนเผ่าหมาป่าสวรรคตอย่างกะทันหันในคืนส่งท้ายปีเก่า สืบทอดบัลลังก์โดยองค์ชายสามผู้มีจิตใจทะเยอทะยาน เพิ่งจะผ่านพ้นคืนส่งท้ายปีเก่าไป ก็ฝึกฝนทหารม้าอย่างหนัก ตั้งท่าจะรุกรานเข้ามาอีกครั้ง
เพื่อป้องกันการรุกรานของชนเผ่าหมาป่า ซูหลีสั่งให้คนสร้างกองทัพทหารม้าจำนวนสามพันนายไว้นานแล้ว และยังเพิ่มความเข้มงวดในการฝึกฝน วันนี้ดูจากการทดสอบในสนามประลองยุทธ์ สามปีแห่งการฝึกฝนประสบผลสำเร็จดังคาด กอปรกับพิรุณโปรยปรายที่เซี่ยอวิ๋นเซวียนดัดแปลง จะต้องทำให้กองทัพของชนเผ่าหมาป่าแตกพ่าย มาแล้วไม่มีทางได้กลับไปอย่างแน่นอน
เพียงแต่ไม่ว่าพิรุณโปรยปรายจะยอดเยี่ยมเพียงใด ก็จำต้องใช้เหล็กอูจินที่มีเฉพาะในแคว้นเฉิงจึงจะสามารถสร้างให้มีประสิทธิภาพตามที่คาดหวังได้ แล้วเหล็กอูจินก็มีน้อยมาก แคว้นเฉิงมีกฎหมายห้ามขายออกนอกแคว้นอย่างเข้มงวด นางควรทำอย่างไรจึงจะได้มันมา?
ซูหลีกลับมาถึงตำหนักซีหวาพร้อมเรื่องหนักใจ ครั้นกลับมากลับเห็นตงฟางเจ๋อเอนกายอ่านหนังสืออยู่บนตั่ง กองฎีกาถูกวางอย่างเป็นระเบียบไว้ด้านข้าง คล้ายอ่านหมดแล้ว นับวันเขายิ่งทำตัวตามสบายกับนางมากขึ้น ไม่เพียงกินนอนที่นี่ แม้แต่ฎีกาก็ยังนำมาอ่านที่ห้องนางอย่างไม่คิดปิดบังเลยแม้แต่น้อย
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” ตงฟางเจ๋ออมยิ้ม ลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางเกียจคร้าน
ซูหลีรับคำเสียงเบา นับจากการขับพิษครั้งที่แล้ว นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว วันนี้วนมาถึงการขับพิษวันแรกของเขาอีกครั้ง โม่เซียงเพิ่มเตาถ่านในห้องตามคำสั่งนาง ยามนี้เตาถ่านลุกโชน อากาศอบอุ่น
ซูหลีถอดเสื้อกันลมออก แล้วนั่งลงข้างกายเขา ชำเลืองมองหนังสือในมือเขาเล็กน้อย ไตร่ตรองว่าควรเปิดปากเช่นไรดี
นับตั้งแต่คืนนั้น นางก็พยายามรักษาระยะห่างกับเขาอย่างสุดความสามารถ แต่บางครั้งก็มีการเจรจาหารือเรื่องการปกครองบ้านเมืองกันบ้าง ตงฟางเจ๋อสมกับเป็นผู้มีคุณสมบัติเป็นกษัตริย์โดยกำเนิด คำแนะนำของเขามากมายทำให้นางแก้ไขปัญหาได้อย่างฉับพลัน ฉะนั้นโดยไม่รู้ตัว เขาได้ช่วยเหลือนางหลายอย่าง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า คำขอร้องของนางในครั้งนี้ เขาจะตอบรับโดยไม่มีเงื่อนไขใดเลย
ตงฟางเจ๋อวางหนังสือในมือลง สังเกตสีหน้านาง แล้วกระดกคิ้วเล็กน้อย “มีเรื่องใดงั้นหรือ?”
………………………..