ตอนที่ 120 โดนตีจนสลบ

 

 

           ซังจิ่งหัวเราะ “ไม่ใช่อยู่แล้ว ผมก็แค่รู้สึกว่าคุณชายเจียงควรจะไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น เจียดเวลาว่างมาสนใจสักหน่อยควรจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรมากมาย ถึงยังไงโครงการนี้ประธานเจียงก็ตั้งใจส่งให้คุณดูแลเป็นพิเศษเลยไม่ใช่เหรอ”

 

 

           เขาอ้างเอาคุณพ่อเจียงมากดดันเขาแบบเนียนๆ เจียงมู่เฉินหัวเราะเสียงเย็น เขาโตมาขนาดนี้แล้ว เต็มใจจะทำอะไร ไม่เต็มใจจะทำอะไร เขากำหนดเองทั้งนั้น ไม่เคยมีใครกล้ามาจูงจมูกเขา

 

 

           “เรื่องไหนที่ควรจะสนใจ ฉันก็จะสนใจเอง เรื่องไหนที่ไม่ควรจะสนใจ ฉันก็จะไม่ยุ่งเป็นธรรมดา คนเรามีดีที่รู้จักประมาณตนไม่ใช่เหรอ” เขาหัวเราะ “มีบางเรื่องล้ำเส้นเข้าไปแล้วดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่”

 

 

           ซังจิ่งหัวเราะ “นั่นแน่นอน”

 

 

           มั่วไป๋เห็นทั้งสองคนปะทะฝีปากกัน เขาก้มหน้าลงกินข้าว ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนที่เขารู้จัก ต่อให้ตีกันขึ้นมาก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา

 

 

           อีกอย่าง ด้วยนิสัยของเจียงมู่เฉิน ต่อให้ตีกันขึ้นมาก็ไม่ยอมเสียเปรียบหรอก แล้วถ้าเกิดไม่โอเคขึ้นมา ก็ยังมีเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ

 

 

           ดีที่ทั้งสองคนไม่พูดอะไรต่อ หลังจากกินข้าวเสร็จ ซังจิ่งก็รับโทรศัพท์รีบเดินออกไป

 

 

           มั่วไป๋มองตามแผ่นหลังเขาไป พร้อมเลิกคิ้ว “เรื่องอะไรกัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนพิงพนักที่นั่ง แล้วถอนหายใจ “พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจน่ะ เคยเจอกันสองครั้ง ไม่สนิทหรอก”

 

 

           “เขามีจุดประสงค์แอบแฝงกับนายสินะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันมีจุดประสงค์แอบแฝงกับซือเหยี่ยนเท่านั้นแหละ”

 

 

           มั่วไป๋ลูบคาง “ฉันแปลกใจชักอยากรู้จริงๆ แล้วสิ นายกับซือเหยี่ยนก็ถือว่าโตมาด้วยกัน หลายปีมานี้ต่างฝ่ายต่างขัดหูขัดตากัน ทำไมจู่ๆ ตอนนี้ถึงอยากมาคบกันได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดทบทวนอย่างจริงจัง ก็เป็นแบบนี้จริงๆ เขากับซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นรู้จักกันมายี่สิบกว่าปี เมื่อก่อนเห็นหน้าเขาก็อยากถีบ ตอนนี้เห็นหน้าเขาก็อยากจูบ

 

 

           การเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่มากทีเดียว

 

 

           “พอเถอะ เก็บสีหน้าฟินๆ ของนายไปได้แล้ว” มั่วไป๋ไม่อยากจะมองแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบใบหน้าตัวเอง เขาแสดงออกว่าฟินมากเลยเหรอ

 

 

           มั่วไป๋ลุกยืนขึ้น “ฉันไปก่อนนะ อย่าลืมเช็คบิลด้วย”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความงุนงง “เรื่องอะไรกัน นายกลับไปก็ไม่มีอะไรทำ จะกลับไปตอนนี้ทำไม”

 

 

           “ไปออกกำลังกาย”

 

 

           ทิ้งทวนด้วยประโยคนี้ มั่วไป๋ก็เดินออกจากร้านอาหารไปทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินยังคงนั่งทำหน้างงๆ อยู่บนโซฟา ไอ้หมอนี่เชื่อเรื่องพลังของการอยู่เฉยๆ ไม่ใช่หรือไง นึกยังไงถึงมาออกกำลังกายได้

 

 

           …

 

 

           หลังจากออกจากร้านอาหารแล้ว เจียงมู่เฉินก็มุ่งหน้าไปหลินไห่สอบถามความคืบหน้าแผนการทำงานของฝ่ายวิศวกรรม ถึงจะว่าเขาดูเชื่อถือไม่ได้ แต่เรื่องกำไรขาดทุน เขาก็ยังเข้าใจอยู่

 

 

           ถึงอย่างไรที่ดินฝืนนี้ พวกเขาก็ลงทุนไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ ถึงตอนนั้นจะพัวพันกันยุ่งเหยิงเกินไปได้

 

 

           เจียงมู่เฉินเรียกตัวผู้รับผิดชอบฝ่ายวิศวกรรมมาพบ ทำความเข้าใจสถานการณ์โดยสังเขป แล้วให้พวกเขารีบเสนอวิธีแก้ปัญหาโดยเร่งด่วนทันทีหลังจากนั้น

 

 

           กว่าจะจัดการเรื่องทางนี้เสร็จ เวลาได้ล่วงเลยมาถึงสี่โมงเย็นแล้ว

 

 

           ยามที่เขาออกมาจากห้องทำงาน ถือโอกาสไปดูสถานที่ก่อสร้างด้วย ครั้งก่อนที่หัวแตกไปยังจำได้ไม่ลืม

 

 

           ระหว่างทาง เจียงมู่เฉินระวังตัวรอบทิศทาง กลัวจะมีคนไม่ระวังทำของตกใส่เขาอีก

 

 

           เขาเหลือแค่ผมทรงนี้แล้ว ถ้ามาอีกจะกลายเป็นนักบวชจริงๆ แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปข้างใน มองดูรอบๆ คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โตเกินไป เตรียมตัวจะออกจากที่นี่ ยามหมุนตัวหันกลับไปก็เห็นคนสองคนกำลังทำลับๆ ล่อๆ อยู่

 

 

           เจียงมู่เฉินแววตาครุ่นคิด แอบตามไปเงียบๆ

 

 

           ตลอดทางที่เดินตามอยู่ข้างหลัง จนพวกเขาเดินผ่านประตูบานเล็กด้านหลังเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้ว ก็เดินออกไปยืนหน้าประตูตรงนั้น เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

           เขารู้สึกมาตลอดทางว่าสองคนนี้มีอะไรไม่ค่อยปกติ

 

 

           แต่ตลอดทางที่เดินตามไปก็ไม่ได้เห็นว่าพวกเขาจะทำพฤติกรรมอะไรไม่เหมาะสมออกมา

 

 

           เจียงมู่เฉินก้าวออกจากประตูบานเล็ก เดินตามทางที่พวกเขาเดินออกไป ด้านหลังเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่มีอาคาร บ้าน สถานที่สำหรับคนอาศัยอยู่เลยสักหลัง

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ เดินลึกเข้าไป สังเกตดูรอบๆ อย่างละเอียด

 

 

           จนกระทั่งตอนเลี้ยวเข้าซอยไป รู้สึกเพียงแค่ต้นคอด้านหลังเจ็บขึ้นมาอย่างรุนแรง หมดสติล้มลงไปกองกับพื้น

 

 

 

 

ตอนที่ 121 เตรียมช่วยเหลือตัวเอง

 

 

           ในโกดังอันมืดมัว เจียงมู่เฉินถูกโยนไปตรงมุม ร่างกายเพรียวยาวขดตัวเข้าหากันดูแล้วช่างน่าสงสารไม่น้อย รอบกายไม่มีใครสักคน มีเพียงแค่โกดังว่างเปล่ากับเจียงมู่เฉินผู้สลบไสลไม่ได้สติอยู่เท่านั้น

 

 

           ผ่านไปประมาณยี่สิบกว่านาที เจียงมู่เฉินที่นอนกองอยู่กับพื้นก็ค่อยๆ รู้สึกตัวกลับคืนมา เขาต่อสู้ดิ้นรนอยากจะยกเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้น

 

 

           โดยรอบบริเวณนี้คือโกดังร้าง ขาดการซ่อมแซมมาเป็นแรมปี เหนือศีรษะยังมีรอยแยก แสงสลัวๆ จากแสงสีในยามราตรีทะลุเข้ามา

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับตัวก็พบว่าตัวเองถูกมัดไม่ต่างจากขนมบ๊ะจ่าง ดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่ได้ เจียงมู่เฉินคิดหาวิธีช่วยเหลือตัวเองไปพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนจะหมดสติไปด้วย

 

 

           เขาไม่ค่อยเข้าใจ ตัวเองไม่ได้ทำอะไร ทำไมถึงโดนตีจนสลบแล้วถูกโยนทิ้งมาอยู่ที่นี่ได้

 

 

           ข้อมือถูกมัดแน่นนานเกินไป ทำให้เลือดไม่ไหลไปเลี้ยงบริเวณข้อมือเกิดอาการเหน็บชาจนเจ็บเหมือนมีเข็มทิ่ม เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย การกระทำในมือยังคงไม่หยุดนิ่ง

 

 

           ถึงเขาจะดื้อรั้นหัวแข็งไปบ้าง แต่ว่าความรู้ทั่วไปที่ควรรู้ก็มีหมด ไม่เพียงเท่านี้เมื่อก่อนเขายังเคยตั้งใจไปหาเรียนวิธีการเอาตัวรอดช่วยเหลือตัวเองมาเป็นพิเศษด้วย

 

 

           บังเอิญว่าเรื่องแก้มัดเชือก เขายังพอทำได้แบบผิวเผิน

 

 

           ‘รู้ไว้ใช่ว่า ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย’

 

 

           เขาฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครเร่งการกระทำในมือ รีบดึงแก้เงื่อนตาย เชือกค่อยๆ ถูกเขาดึงแยกออกจากกัน เจียงมู่เฉินเพิ่งจะเตรียมลงมือแก้เชือกที่มัดอยู่ที่เท้าก็ได้ยินเสียงฝีย่ำเท้าดังมาจากด้านนอก

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบหลับตาลงแกล้งทำเป็นว่ายังหมดสติอยู่

 

 

           คนสองคนเดินเข้ามา เจียงมู่เฉินฟังเสียงฝีเท้าแล้วคาดการณ์ไปด้วย ทั้งสองคนน่าจะเดินมาถึงบริเวณทางเข้าแล้ว ยังมีระยะห่างจากเขาอยู่ประมาณหนึ่ง

 

 

           ทันทีหลังจากนั้นก็ค่อยๆ เดินมุ่งหน้าเข้าใกล้เขาเรื่อยๆ

 

 

           “ยังไม่ฟื้นอีกเหรอ ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วนะ” เสียงผู้ชายใหญ่ๆ หยาบๆ เอ่ยขึ้น

 

 

           “ใครจะไปรู้ คงจะถูกเลี้ยงสุขสบายจนเคยตัว รูปร่างบอบบาง รออีกสักหน่อยเดี๋ยวยังไงก็ตื่นอยู่ดี” อีกคนที่เสียงค่อนข้างเล็กเอ่ยปาก

 

 

           “นายว่า ที่ให้พวกเราจับคนมัดไว้แต่ไม่ให้พวกเราลงมือทำอะไรเขา หมายความว่าไง”

 

 

           “จะสนใจมากมายไปทำอะไร พวกเราทำงานได้เงิน ที่เหลือต่อจากนี้ พวกเราอย่ายุ่งจะดีที่สุด”

 

 

             ทั้งสองคนพูดพึมพำกันไม่กี่ประโยค เสียงก้าวเดินก็ค่อยๆ ไกลออกไป จนไม่ได้ยินเสียงแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้ลืมตาขึ้น

 

 

           เดิมที่เขาคิดว่าเพราะตัวเองสะกดรอยตามพวกเขาจึงโดนตีจนสลบแล้วถูกมัดจับกลับมา

 

 

           ตอนนี้ดูท่าว่าจะเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้า พวกนั้นรู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร เพราะว่าต้องการจับเขามัดเอาไว้ ถึงได้ตีเขาจนสลบแล้วมัดจับกลับมา

 

 

           บางที ทุกอย่างที่เขาเห็นในเขตก่อสร้างนี้คือสิ่งที่พวกเขาจงใจแสดงละครตบตา ทำให้เขานึกสงสัยแล้วเดินตามออกไป

 

 

           เจียงมู่เฉินฉวยโอกาสตอนที่พวกเขายังไม่กลับมา รีบแก้เชือกที่เท้า หาทางออกอย่างระมัดระวัง โกดังนี้ทั้งเก่าทั้งชำรุด อีกอย่างพื้นที่ก็ไม่ใหญ่ มีเพียงแค่ประตูใหญ่บานเดียว

 

 

           สองคนนั้นเมื่อครู่นี้ควรจะอยู่ใกล้ๆ แถวทางออกประตูใหญ่ เขาจะออกจากประตูใหญ่ไปโต้งๆ ไม่ได้

 

 

           ถึงอย่างไรแม้แต่ซือเหยี่ยน เขายังสู้ไม่ชนะ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกโจรลักพาตัวสองคนนี้เลย ข้อนี้เขายังรู้ตัวเองดี

 

 

           เขาพิจารณาสถานการณ์รอบข้างไป พลางรีบหาทางหนีไป ยามนัยน์ตาดอกท้อคู่นี้มองหาไปรอบทิศทางจนไปเจอหน้าต่างข้างๆ ก็รู้สึกใจหวิวๆ

 

 

           ความสูงของหน้าต่างสูงราวๆ สองเมตรห้าสิบ ด้านข้างมีของวางให้เขาปีนขึ้นไปได้พอดี เพียงแต่ว่าหลังจากปีนออกไปไม่มีที่กำบังเลยค่อนข้างจะลำบากอยู่บ้างเล็กน้อย

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิดสักพัก ไม่ได้คิดอะไรมากต่อ เลือกหน้าต่างบานนั้น เขารีบสาวเท้าให้ถึงหน้าต่าง แล้วปีนขึ้นสินค้าที่ตั้งไว้นานมากแล้ว ตะกายขึ้นไปที่หน้าต่าง

 

 

           กระจกหน้าต่างไม่ได้ถูกทุบออกทั้งหมด ตอนที่เจียงมู่เฉินปีนออกไปก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขนขึ้นมา เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกขีดเป็นรอยเลือด

 

 

           “ซี๊ด…” เจียงมู่เฉินรู้สึกเจ็บจนขมวดคิ้ว สำรวจดูแขนลวกๆ ไม่ได้มองอะไรมากมาย ปีนข้ามออกไป