ตอนที่ 122 วิ่งหนีเข้าภูเขารกร้าง

 

 

           เขากระโดดลงมาจากหน้าต่าง เจียงมู่เฉินพยายามป้องกันตัวเองไม่ให้บาดเจ็บ แต่ตอนกระโดดลงมากลับพลาดท่าล้มลงไปกับพื้น แขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้กระแทกลงพื้นพอดี

 

 

           เจียงมู่เฉินเจ็บอย่างรุนแรงจน คิ้วแสนองอาจขมวดเข้าหากัน เขากัดฟันไม่เปล่งเสียงเล็ดลอดออกมา กลัวว่าการกระทำของตัวเองจะทำให้คนที่อยู่ไม่ไกลรู้ตัว

 

 

           ออกมาจากโกดังเขาถึงพบว่า บริเวณรอบๆ นี้รกร้างไม่มีคนดูแล ข้างหลังเป็นภูเขารกร้าง เขามองดูอย่างละเอียด ถ้าวิ่งหนีออกจากตรงนี้ เป้าหมายชัดเจนเตะตาเกินไป แป๊บเดียวพวกเขาก็เห็นได้แล้ว

 

 

           บริเวณรอบๆ นี้ที่กำบังสักนิดก็ไม่มี เปอร์เซ็นต์จะถูกจับได้มีมากเกินไป

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดทบทวน เมื่อจะทำแล้วก็ทำให้ถึงที่สุดไปเลย เขาวางเป้าหมายไว้บนภูเขารกร้างที่อยู่เบื้องหลังของตัวเอง

 

 

           ถือโอกาสยามท้องฟ้ามืดสนิทวิ่งไปข้างหลัง ภูเขารกร้างไม่เคยผ่านการถูกบุกเบิก ลักษณะทางกายภาพค่อนข้างซับซ้อน ถึงแม้พวกเขาจะมาพบว่าตัวเองวิ่งหนีไปแล้ว อยากจะตามหาเขายังต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียว

 

 

เวลานี้เขาคิดวิธีช่วยเหลือเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้พอดี

 

 

เจียงมู่เฉินวิ่งเร็วสุดชีวิต ดีที่โกดังได้บดบังพรางการมองเห็นให้บางส่วน อีกอย่างพวกเขาคงจะคิดไม่ถึงว่า คุณชายน้อยที่ถูกเลี้ยงให้สบายจนเคยตัวจะรู้สึกตัวตื่นแล้วยังแอบวิ่งหนีออกไปอีก

 

 

 

 

หลังจากซือเหยี่ยนกลับมาที่คฤหาสน์ ถึงได้พบว่าข้างในมืดสนิท เขาชะงักไปพักหนึ่ง ในใจมีความรู้สึกบางอย่างแปลกๆ ขึ้นมา

 

 

ตั้งแต่หลังจากที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ดึกป่านนี้เจียงมู่เฉินปกติจะต้องกลับมาแล้ว เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

 

 

ซือเหยี่ยนคิ้วขมวด ในใจรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่าง

 

 

เขารีบโทรศัพท์หา ให้คนไปตามร่องรอยของเจียงมู่เฉินตามที่ต่างๆ ระหว่างรอข่าวคราว ซือเหยี่ยนก็ไม่ลังเลใจที่จะมุ่งหน้าไปหลานเยี่ย

 

 

สถานที่ที่เจียงมู่เฉินจะไปได้ เขาไปตามหามาหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แวว ไม่มีเงาของเจียงมู่เฉินเลยสักที่

 

 

ซือเหยี่ยนสีหน้าคร่ำเคร่ง คิ้วขมวดกันแน่น

 

 

“ประธานซือครับ หาร่องรอยตำแหน่งของคุณชายเจียงได้แล้วครับ”

 

 

“เขาอยู่ไหน”

 

 

“เขตเขาชิงผิงซานครับ”

 

 

ซือเหยี่ยนย่นคิ้วขึ้นเล็กน้อย “รีบเข้าไปตอนนี้ทันที”

 

 

รถคันสีดำแล่นเร็วปานลมกรดไปตามถนน ซือเหยี่ยนนั่งในรถด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เป็นครั้งแรกที่เห็นซือเหยี่ยนเป็นเอามากขนาดนี้

 

 

“ตอนบ่ายคุณชายเจียงไปดูงานโครงการหลินไห่ หลังจากที่ถึงเขตก่อสร้างแล้วก็ไม่ได้ออกมา พวกเราตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่มีการบันทึกตามเวลาของคุณชายเจียง จุดหมายสุดท้ายล็อกเป้าอยู่บนรถตู้เก่าๆ คันหนึ่งครับ”

 

 

“รถตู้คันนั้นขับมุ่งหน้าไปถึงบริเวณละแวกใกล้ๆ เขตเขาชิงผิงซาน หลังจากนั้นก็ทิ้งรถไว้ครับ”

 

 

ขณะนี้พวกเขาได้รับข้อมูลมาเต็มที่ แถมยังระบุพิกัดอยู่ในพื้นที่จำกัดไม่ใหญ่แล้วก็จริง แต่ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ใครจะรู้ว่าจะเกิดการย้ายสถานที่กันบ้างหรือเปล่า

 

 

“ประธานซือครับ จะแจ้งความหรือเปล่าครับ”

 

 

ซือเหยี่ยนหลับตาลง หยิบมือถือออกมา “ฉันเอง ช่วยฉันตามหาคนคนหนึ่งให้ที เขาหายตัวไปจากหลินไห่ตั้งแต่บ่ายสี่โมง ประมาณห้าโมงเย็นเจอรถทิ้งไว้ที่เขตชิงผิงซาน”

 

 

“ได้ แล้วเจอกัน”

 

 

 

 

เจียงมู่เฉินวิ่งเข้าไปในภูเขารกร้าง หลังจากที่วิ่งเข้าไปถึงได้พบว่า ข้างในยุ่งยากลำบากกว่าที่จินตนาการไว้มาก ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดเกินไป มองทางก็ได้ไม่ค่อยชัด อีกทั้งเขาเองไม่เข้าใจสภาพความเป็นไปของที่นี่แม้แต่น้อย ไม่มีความรู้สึกบอกทางว่าจะไปที่ไหนได้เลย

 

 

ระหว่างที่วิ่งอย่างสุดกำลังอยู่นั้น พุ่มไม้เตี้ยมีหนามและกิ่งไม้ขูดบาดไปตามเสื้อผ้าบนตัวเจียงมู่เฉิน แม้แต่แก้มยังมีบาดแผลไม่เล็กไม่ใหญ่แทรกเพิ่มเข้าไปอีก

 

 

วิ่งมานานระยะหนึ่ง ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็หยุดฝีเท้าลง เขาตั้งใจฟังเสียงรอบๆ อย่างละเอียดก็ไม่ได้ยินเสียงอย่างอย่างอื่น โจรลักพาตัวที่เขานึกถึงยังตามเขามาไม่ทัน

 

 

เขาหาที่มั่นและปลอดภัยหยุดพักลงสักครู่ เจียงมู่เฉินเอียงหน้ามองดูบริเวณบาดแผลที่โดนกระจกบาด อยากเห็นว่าสภาพบาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง

 

 

แต่ท้องฟ้าเป็นสีดำมืดเกินไป เขามองไม่เห็นอยู่แล้ว แค่รู้สึกได้ถึงความเจ็บราวโดนทิ่มแทงไปทั้งร่างกาย

 

 

เจียงมู่เฉินจนใจ ฝืนยิ้มมองฟ้า คุณชายเจียงอย่างเขาหลายปีมานี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ตกทุกข์ได้ยากถึงเพียงนี้ ถ้าแม่เขาเห็น ต้องร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาจะร้องออกมาแน่ๆ

 

 

เจียงมู่เฉินทรุดตัวนั่งลงกับพื้น เขาอดจะหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้ ถ้าซือเหยี่ยนมาเห็นเขาในสภาพไก่อ่อนแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะโดนเขาหัวเราะเยาะใส่หรือเปล่า

 

 

ถึงอย่างไรคุณชายเจียงก็เป็นคนมีมาดสง่างาม ใครเห็นใครรักแบบนั้นมาตลอด

 

 

           

 

 

ตอนที่ 123 เริ่มการค้นหา

 

 

ใบหน้ายังรู้สึกเจ็บราวโดนทิ่มแทงอยู่เงียบๆ เจียงมู่เฉินอดทนไม่กล้าจะใช้มือสัมผัส ไม่รู้ว่าแผลบนใบหน้าจะเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้เสียโฉมได้หรือเปล่า

 

 

เมื่อซือเหยี่ยนรีบมาถึงที่โกดัง โกดังก็ร้างไร้ผู้คนแล้ว ไม่มีใครสักคน ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าตำแหน่งเดียวกันกับที่เจียงมู่เฉินถูกจับมัดเอาไว้ เขาจ้องมองเชือกป่านที่พันกันยุ่งเหยิงอยู่บนพื้น ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

 

 

เมื่อคิดถึงภาพที่เจียงมู่เฉินถูกจับมัดไว้ที่นี่ ร่างกายขดตัวงออย่างน่าสงสาร อารมณ์เกรี้ยวกราดก็เดือดพล่านขึ้นมา

 

 

“ซือเหยี่ยน ที่นี่ไม่มีคนมาสักพักแล้ว เจียงมู่เฉินน่าจะวิ่งหนีออกไปแล้ว ข้างหลังเป็นภูเขารกร้าง ฉันเดาว่าคงจะวิ่งหนีเข้าภูเขารกร้างไปแล้ว”

 

 

“รีบตามหาเดี๋ยวนี้ ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ต้องเอาตัวคนออกมาให้ได้” ซือเหยี่ยนสีหน้าราวกับท้องฟ้ามืดครึ้ม ดูแล้วทำเอาคนตกใจกลัวทีเดียว

 

 

หลินเยี่ยผู้เป็นหัวหน้าตำรวจชุดค้นหามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจ ก่อนจะหันไปพูดกับลูกน้องด้านหลัง “ทุกคนกระจายกำลังตามหาในภูเขารกร้างข้างหลังนี้ ได้ข่าวอะไรรีบรายงานฉันทันที”

 

 

“รับทราบครับ หัวหน้าหลิน”

 

 

“คนของฉันเข้าไปแล้ว อย่ากังวลไปเลย ต้องไม่เป็นไรแน่นอน” หลินเยี่ยเห็นซือเหยี่ยนที่เอาแต่เงียบปากไม่พูดจา เสียงต่ำจึงเอ่ยปลอบใจ

 

 

“หลินเยี่ย นายอยู่ที่นี่ช่วยฉันดูไว้ ฉันจะไปหาข้างหลัง”

 

 

“เดี๋ยว ซือเหยี่ยน ดึกขนาดนี้แล้ว นายไหวเหรอ”

 

 

ซือเหยี่ยนไม่ได้ตอบกลับเขาไป คว้าไฟฉายส่องไฟนำทางเดินไปด้านหลัง ไม่ว่าจะไหวไม่ไหว เจียงมู่เฉินอาจจะยังอยู่ในภูเขา แค่มีความคิดแบบนี้ขึ้นมาก็เพียงพอแล้วจะทำให้เขาไม่ต้องคิดอะไรอย่างอื่นอีก

 

 

ซือเหยี่ยนจงใจแยกกับตำรวจชุดค้นหา เดินไปอีกทาง ด้านในเดินเข้าไปได้ยากมาก เพราะว่าไม่เคยผ่านการบุกเบิก ไหนจะมีเขาอีกหลายลูกซ้อนกันอยู่ด้านข้าง ถ้าไม่มีเซ้นส์เรื่องทิศทาง แล้วเดินไปสะเปะสะปะ มีโอกาสจะหลงทางสูงมาก เดินออกมาไม่ได้

 

 

ซือเหยี่ยนตามหาไป หัวใจจะบีบรัดตัวแน่นไปด้วย เมื่อคิดถึงภาพเจียงมู่เฉินเดินไปไร้จุดหมายค้นหาไปทุกทิศทาง หัวใจก็อดจะบีบรัดตัวแน่นไม่ได้

 

 

ราวกับมีคนมากำหัวใจเขาแล้วบิดหมุนไปรอบๆ อย่างป่าเถื่อน หายใจไม่ออกอย่างไรอย่างนั้น

 

 

สีหน้าบึ้งตึง รีบค้นหาอย่างรวดเร็ว

 

 

……

 

 

เจียงมู่เฉินยังคงนั่งอยู่ที่เดิม หลังจากรอเรี่ยวแรงกลับมาสักพัก ก็จับต้นไม้ข้างๆ พยุงตัวลุกขึ้นมา เริ่มรู้สึกเวียนหัวบ้างแล้ว เจียงมู่เฉินกัดริมฝีปากให้ตัวเองตื่นตัวมีสติขึ้นมาหน่อย

 

 

‘เขาหายตัวไปตั้งนานขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นจะรู้หรือเปล่า’

 

 

‘ถ้ารู้ว่าไม่เจอเขาแล้ว จะมาตามหาเขาหรือเปล่านะ’

 

 

ถึงเวลาแบบนี้แล้ว ในหัวของเจียงมู่เฉินมีแต่ซือเหยี่ยนไปหมด เขาอดจะเดาไม่ได้ ถ้าซือเหยี่ยนรู้ว่าเขาโดนคนจับตัวมัดเอาไว้ ใบหน้าแสนเย็นชานั่นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้บ้างไหม

 

 

เจียงมู่เฉินขำตัวเองไปพลางเดินไปข้างหน้า ตอนบ่ายโดนตีจนสลบจนมาโดนทิ้งอยู่ที่นี่ ไหนจะบาดเจ็บจนเลือดไหลออกไม่น้อย ร่างกายทำท่าจะไม่ไหวมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

เจียงมู่เฉินใช้แค่แรงใจเท่านั้นประคับประคอง​ตัวเองไว้ ในสถานที่เปลี่ยวห่างไกลผู้คนขนาดนี้ ถ้าตัวเองไม่เป็นฝ่ายออกไปขอความช่วยเหลือ​ กลัวว่าตัวเองอยู่ที่นี่จะกี่วันก็ไม่มีใครรู้

 

 

เขาเจียงมู่เฉินตั้งแต่​เล็กจนโต ไปที่ไหนก็เป็นจุดสนใจ จะมาตายในเขาหัวโล้นนี้ไม่ได้ ยามล้มตายผ่านไปไม่กี่วัน ร่างกายเน่าขึ้นมา ใบหน้าสมบูรณ์​แบบไร้ที่ติดของเขาก็ไม่เหลือแล้ว ไม่สมควรเอามากๆ

 

 

เขารู้สึก​จะตายแต่ไม่ยอมตาย เขาคลำเอามือถือออกมา หน้าจอมืดสนิท ไม่รู้​ว่าตอนวิ่งหนีออกมา หล่นกระแทกจนเสียหรือเปล่า

 

 

เขากดปุ่มเปิดปิดเครื่อง คาดไม่ถึงว่าหน้าจอจะสว่างขึ้นมา

 

 

ในใจเจียงมู่เฉินดีใจสุดขีด มือถือยังใช้ได้เยี่ยมไปเลย เขารีบเปิดเครื่อง ไม่รู้ว่าที่ภูเขารกร้างนี้มีสัญญาณ​อะไรไหม

 

 

เขารีบเปิดมือถือ แต่แบตมือถือ​เหลือเปอร์เซ็นต์​สุดท้ายแล้ว เจียงมู่เฉิน​เห็นแถบข้างบนหน้าจอยังพอมีสัญญาณ​โทรศัพท์​ เขาจึงรีบกดสายหาซือเหยี่ยน

 

 

ถึงแม้จะไม่รู้​ว่าโทรหาซือเหยี่ยนแล้วจะมีประโยชน์​อะไรไหม แต่ปฏิกิริยา​แรกของสมองบอกให้เขาโทรหาซือเหยี่ยน

 

 

เจียง​มู่เฉินมองดูสายโทรออกบนหน้าจอมือถือ ในใจภาวนาให้ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นรับสายได้ เจียงมู่เฉินกลัว​ว่ามือถือ​ของตัวเองจะอดทนอยู่ต่อจนโทรหาซือเหยี่ยนเป็นครั้งที่สองไม่ได้

 

 

ภายใต้สถานการณ์​คับขัน ตื่นตระหนก​เป็นพิเศษ​แบบนี้ เวลาเปลี่ยนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เจียงมู่เฉินจ้องมองมือถือ พลางหายใจด้วยความตื่นตระหนกจนแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ

 

 

“เจียง… มู่เฉิน…” จู่ๆ ในมือถือ​ก็มีเสียงซือเหยี่ยนขาดๆ หายๆ ดังออกมาจากปลายสาย