ตอนที่ 357 ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
“อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉู่เหินเดินเข้ามาใช้มือจับตามเนื้อตัวของหลินเป่ยเฉินพร้อมกับกล่าวว่า “พวกเราเป็นห่วงแทบแย่ ก่อนหน้านี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในตัวเมือง ทุกคนวุ่นวายกันไปหมด มิหนำซ้ำ ข้าได้ยินว่ามีการพยายามบุกเข้ามาลอบสังหารเจ้าที่นี่อีกหลายรอบ แต่โชคดีที่กำลังเสริมจากสำนักงานใหญ่ในมณฑลมาช่วยเหลือได้ทันเวลา ทั้งเมืองเพิ่งจะกลับมาเป็นปกติก็เมื่อสองวันก่อนนี่เอง และทางวิหารก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมเจ้าเลยสักคน…”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกหัวใจกระตุกวูบ
แน่นอนว่าเขารู้สึกได้ถึงความจริงใจของฉู่เหินและทุกๆ คนที่มารวมตัวกันอยู่ในห้องพักผู้บาดเจ็บแห่งนี้
หลังจากทะลุมิติมาจากโลกอื่น ในที่สุดเขาก็มีเพื่อนแท้แล้วสินะ
“ข้าน้อยไม่เป็นไรแล้วขอรับอาจารย์ฉู่ บัดนี้กำลังอยู่ในระยะพักฟื้นตัว นอกจากเรื่องที่ไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้ชั่วคราวแล้ว ก็มีเพียงอาการอ่อนเพลียเล็กน้อยเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินอธิบายอาการของตนเองตามความเป็นจริง
ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เจ้าไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้ชั่วคราวอย่างนั้นหรือ?”
หยางเฉินโจวพูดเสียงดังด้วยใบหน้าวิตกกังวล “เกรงว่าเจ้าจะมีปัญหาใหญ่เสียแล้วสิ”
เจ้าแกะดำของทุกคนเลิกคิ้วขึ้นสูง “พี่หยางหมายความว่าอย่างไร?”
“เด็กหนุ่มที่ชื่อเว่ยหมิงเฉินนั่นแหละที่จะเป็นตัวปัญหาของเจ้า” หยางเฉินโจวให้คำตอบ
เว่ยหมิงเฉิน?
ทำไมชื่อนี้คุ้นหูเขาชอบกลจัง
หลังจากลองนึกดูอยู่หลายรอบ สุดท้ายหลินเป่ยเฉินก็นึกออกว่านี่เป็นชื่อของมือกระบี่อัจฉริยะจากเมืองไป๋หยุน นอกจากเป็นลูกศิษย์ของไป๋ไห่ชินแล้ว ก็ยังเป็นคู่หมั้นของหลิงเฉินอีกด้วย
หมอนั่นเดินทางมาถึงเมืองหยุนเมิ่งแล้วหรือ?
“มีคนมากมายคิดเป็นศัตรูกับข้า เพิ่มเขาอีกสักคนจะเป็นอะไรไป”
หลินเป่ยเฉินตอบอย่างไม่สนใจ
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาอาจจะกลัวอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้…
หลินเป่ยเฉินไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เพราะเขามีสถานะเป็นถึงหัวหน้านักบวชประจำวิหารในเมืองหยุนเมิ่งเชียวนะ แถมยังเป็นร่างทรงเทพเจ้า และเป็นบุคคลที่อยู่ภายใต้การดูแลของนักพรตใหญ่อีกด้วย
ไม่มีอะไรที่หลินเป่ยเฉินต้องกลัวอีกต่อไป
ลองให้เว่ยหมิงเฉินมาหาเรื่องเขาดูสิ เดี๋ยวนักพรตหญิงชินก็จะเป็นคนที่สั่งสอนหมอนั่นเอง
“ว่าแต่ว่า ระหว่างที่ข้าสลบไปหลายวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง?” หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง “ความผิดที่พวกถังกู่จินพยายามใส่ร้ายเรา ได้รับการสะสางหมดแล้วหรือไม่?”
“ยิ่งกว่าสะสางอีก”
พานเว่ยหมินยิ้มแย้มด้วยความกระตือรือร้น
เยว่หงเซียงอธิบายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้วเจ้าค่ะ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่และนักบวชจากเมืองเจาฮุยมาสืบสวนคดีนี้ด้วยตนเอง ถังกู่จินจึงถูกระบุตัวว่าเป็นคนร้ายในทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น และนอกจากนั้น ท่านเจ้าเมืองหลิงยังได้สรุปผลการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองออกมาแล้ว เมื่อพี่หลินหายดีเมื่อไหร่ พิธีมอบรางวัลก็จะจัดขึ้นอีกครั้ง”
พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของทุกคนก็สดใสขึ้นมาทันตา
เพราะสถานศึกษากระบี่ที่สามเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุด
ความสำเร็จที่หลินเป่ยเฉินนำมาให้ ช่วยฉุดดึงพวกเขาจากนรกขึ้นมาอยู่บนสวรรค์ เจ้าแกะดำกลายเป็นวีรบุรุษประจำใจชาวเมืองหยุนเมิ่ง ขณะนี้ ถ้าเขาเดินออกไปข้างนอก ก็จะต้องได้รับการต้อนรับทุกหนทุกแห่งแน่นอน
โดยเฉพาะบรรดาพ่อค้าวาณิชและร้านค้าต่างๆ ที่เคยทำการโฆษณากับหลินเป่ยเฉิน สินค้าของพวกเขาขายหมดในทุกวัน เพราะชาวเมืองตั้งใจอุดหนุนผู้ที่สนับสนุนวีรบุรุษยามยากลำบากเสมอ
แต่ผู้ที่น่าสงสารที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าของสวนแตงโมอู๋เฟิ่งกู เกิดข่าวลือว่าเขาถูกภรรยาลงโทษที่จับได้ว่าแอบมีลูกนอกสมรส จึงถูกสั่งกักบริเวณห้ามออกมาพบหน้าผู้คนเป็นเวลา 1 ปี แม้แต่พิธีมอบรางวัลให้หลินเป่ยเฉินซึ่งจะจัดขึ้นใหม่อีกครั้ง ชายชราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม
“อู๋เฟิ่งกูถึงกับร้องไห้ตัดพ้อโชคชะตาว่าทุกคนได้ไปร่วมพิธีมอบรางวัล แล้วเหตุไฉนเขาถึงไม่ได้ไปอยู่คนเดียว” ฮันปู้ฟู่เป็นคนอธิบายปิดท้าย
หลินเป่ยเฉินไม่รู้จะพูดอะไรดี
เรื่องนั้นมันไม่ใช่ความผิดของเขาสักหน่อย
ก็ใครใช้ให้เถ้าแก่สวนแตงโมนั่นไปแอบมีบ้านเล็กบ้านน้อยกันล่ะ
“จริงด้วยสิ ถ้าจำไม่ผิด ศิษย์พี่ลงนามเข้าร่วมกับกองทัพแล้วใช่ไหมขอรับ?” หลินเป่ยเฉินนึกขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน “ไม่ทราบว่าท่านจะออกเดินทางเมื่อไหร่หรือ?”
ฮันปู้ฟู่ตอบว่า “รอให้เจ้าหายดีก่อน พวกเราจะขึ้นไปรับรางวัลด้วยกัน”
หลิวฉีไห่ที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดออกมาด้วยความภูมิใจ “อันที่จริงฮันปู้ฟู่สมควรออกเดินทางไปตั้งนานแล้ว ทางกองทัพส่งจดหมายมาตามตัวเขาหลายฉบับ แต่ฮันปู้ฟู่ก็เลือกที่จะอยู่รอจนกว่าเจ้าจะฟื้นขึ้นมา ข้าได้ยินมาว่าแม่ทัพใหญ่ในกองทัพโมโหมากทีเดียว แต่สุดท้ายเขาก็ยินยอมให้ฮันปู้ฟู่อยู่ต่อได้ชั่วคราว…”
ฮันปู้ฟู่ยิ้มแย้มออกมาโดยไม่พูดคำใด
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือไปตบไหล่หนุ่มรุ่นพี่
พี่ชาย นับว่าท่านเป็นเพื่อนแท้ของข้าจริงๆ
“แล้วนี่เสี่ยวไป๋หายหัวไปไหนขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินไม่เห็นหน้าไป๋ชินหยุนจึงรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
เมื่อทุกคนได้ยินคำถามของเขาก็พร้อมใจกันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“เสี่ยวไป๋เกือบจะถูกที่บ้านตีตายเพราะเอาแต่มานั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องพักของเจ้าเนี่ยแหละ ได้ข่าวว่านางถูกบิดาจับโบยจนก้นลายไปหมด บัดนี้กำลังพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน” ฉู่เหินพูดพลางหัวเราะ
หลิวฉีไห่อดกล่าวเสริมไม่ได้ว่า “แต่คิดไม่ถึงจริงๆ นะว่าเสี่ยวไป๋จะเป็นหลานสาวเจ้าของสำนักฝากเงินจากแคว้นไห่อัน จึงไม่น่าแปลกใจอีกแล้วที่นางจะพกเงินติดตัวมากมายขนาดนั้น ได้ยินมาว่าตอนอยู่ที่บ้านเกิดนางเที่ยวเล่นซุกซนมากเกินไป ก่อความวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน ทางตระกูลไป๋จึงส่งมาดัดนิสัยให้อยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง… ผลสุดท้ายก็อย่างที่เห็น นางก็ยังก่อเรื่องให้ที่บ้านปวดหัวได้อยู่ดี”
เดี๋ยวก่อนนะ?
ยัยเด็กไป๋ชินหยุนนั่นมีครอบครัวร่ำรวยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ต่อไปในอนาคตยัยเด็กนี่ก็ต้องเป็นเศรษฐีนีแล้วล่ะสิ
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความประหลาดใจ และในเวลาเดียวกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะย้ำเตือนตนเองว่า นับจากนี้ไปเขาต้องกระโดดเกาะติดไป๋ชินหยุนไม่ปล่อย เพราะจะได้หลอกเงินนาง… ไม่ใช่สิ เพราะจะได้ขอยืมเงินนางเวลาเขาเข้าตาจนต่างหาก
หลังจากพูดคุยกันอยู่อีกพักใหญ่ นักบวชสาวในชุดเกราะเหล็กหน้าประตูก็เริ่มปล่อยพลังลมปราณเข้ามา เป็นสัญญาณเตือนว่าพวกเขาควรกลับไปได้แล้ว
อีก 2 วันต่อจากนั้น หลินเป่ยเฉินต้องรับประทานอาหารอยู่ในห้องพักแห่งนี้
แต่โชคดีที่มันเป็นห้องติดทะเล อีกทั้งลานโล่งทางด้านหลังติดกับหน้าผา หลินเป่ยเฉินจึงสามารถเดินออกมารับชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามได้ยามเบื่อหน่าย
เขาพยายามฝึกการโคจรพลังลมปราณอย่างหนักหน่วง และพลังลมปราณในร่างกายของเขาก็เพิ่มมากขึ้นอย่างน่าพอใจ
นั่นทำให้เด็กหนุ่มสงสัยว่าเขาอาจไม่ต้องรอเวลานานถึงครึ่งปี ก็น่าจะสามารถมีพลังลมปราณมากพอที่จะสร้างวงแหวนวารีขึ้นมารักษาตนเองได้แล้วกระมัง?
เข้าสู่วันที่สาม
นักพรตหญิงชินผู้สวมใส่เสื้อคลุมสีขาวที่เป็นเครื่องแบบของนักบวชในวิหาร เดินเข้ามาแจ้งรายละเอียดการเรียนวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าให้เด็กหนุ่มได้รับทราบ
“นี่คือ…ทั้งหมดที่ข้าน้อยต้องเรียนหรือขอรับ?”
เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นกองคัมภีร์ที่นักพรตหญิงชินนำออกมาจากแหวนเก็บของ เขาก็อดถามออกมาไม่ได้
นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือไง
อย่างเช่นคัมภีร์ ‘กฎระเบียบและจุดมุ่งหมายในการเป็นร่างทรงเทพเจ้า’ เพียงเล่มเดียว ก็มีความหนาเท่ากับหนังสือเทววิทยาของโลกมนุษย์หลายเล่มรวมกันแล้ว
“การศึกษาวิชาเหล่านี้จะช่วยทำให้เจ้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างของพลังลมปราณทั่วไปกับพลังปราณศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น และก่อนที่เจ้าจะเลื่อนระดับขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงกว่านี้ เจ้าก็ต้องอ่านคัมภีร์ทั้ง 26 เล่มนี้ให้จบเสียก่อน ท่านนักพรตใหญ่เป็นคนเลือกคัมภีร์ทุกเล่มให้แก่เจ้าด้วยตนเอง เพราะฉะนั้น เจ้าสมควรตั้งใจฝึกฝนและศึกษาวิชาเหล่านี้อย่าได้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”
นักพรตหญิงชินพูดโดยไม่ต้องหยุดหายใจ เสียงของนางฟังดูนุ่มนวลและอ่อนโยนอย่างอธิบายไม่ถูก
ไม่รู้หลินเป่ยเฉินคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกได้ว่านักพรตหญิงชินมีแววตาอ่อนโยนมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อมองหน้าเขาในวันนี้
แต่กองคัมภีร์พวกนี้มัน…
ใครก็ได้ช่วยที
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในนรกที่เรียกว่าช่วงเวลาแห่งการเตรียมสอบอีกครั้ง
ฝันร้ายกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสินะ
ต่อให้เป็นนักเรียนบนโลกมนุษย์ ก็ยังไม่ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบมากมายขนาดนี้เลย
หลินเป่ยเฉินต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าเมื่อเห็นแววตาคาดหวังจากนักพรตหญิงชิน
เขานำโทรศัพท์มือถือออกมาโดยไม่รอช้า
และแกล้งทำเป็นเริ่มอ่านคัมภีร์ด้วยความตั้งอกตั้งใจ