ตอนที่ 358 ข่าวดี

 

 

เด็กหนุ่มเลือกหยิบคัมภีร์ ‘ประกาศิตเทพีกระบี่’ ขึ้นมาเปิดอ่านเป็นเล่มแรก

 

 

นักพรตหญิงชินขมวดคิ้ว

 

 

แต่ก็ไม่ได้ขัดจังหวะ

 

 

วูบ!

 

 

หลินเป่ยเฉินพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว

 

 

นิ้วมือของเขามีความเรียวยาวสวยงามไม่ต่างไปจากนิ้วมือสตรี มันขยับเขยื้อนพลิกหน้ากระดาษด้วยความแผ่วเบาแต่คล่องแคล่ว

 

 

คัมภีร์เล่มหนา หลินเป่ยเฉินใช้เวลาอ่านเพียงชงน้ำชา 1 ถ้วยเท่านั้น

 

 

“เฮ้อ.. .”

 

 

เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดและยืดตัวบิดขี้เกียจ ก่อนพูดว่า “เล่มนี้อ่านจบแล้วขอรับ”

 

 

“เจ้าจำเนื้อหาได้มากแค่ไหน?”

 

 

นักพรตหญิงชินไต่ถาม

 

 

หลินเป่ยเฉินยิ้มด้วยความมั่นใจและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จำได้ทั้งหมดขอรับ”

 

 

นักพรตหญิงชินหยิบคัมภีร์ประกาศิตเทพีกระบี่ขึ้นไปอ่านและถามว่า “หน้าที่ 130 ไปจนถึงหน้าที่ 140 มีคำประกาศิตรวมทั้งหมดกี่ข้อ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินแกล้งทำเป็นคิดเล็กน้อย แต่ความจริงคัมภีร์เล่มนี้ถูกสแกนลงในโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เด็กหนุ่มต้องทำก็แค่เปิดดูข้อมูลในโทรศัพท์เท่านั้นเอง “3 ข้อขอรับ ว่าด้วยเรื่องการดูแลจักรวรรดิเป่ยไห่ของเทพีกระบี่ ในฤดูหนาวปีที่ 136 ของการก่อตั้งจักรวรรดิ ได้มีคำประกาศิตปรากฏขึ้น ณ วิหารเทพกระบี่แห่งหนึ่ง รวมถึงยังได้มีการเผยแพร่กระบวนท่าหนึ่งกระบี่ดับสูญอีกด้วยขอรับ”

 

 

นักพรตหญิงชินพยักหน้า “แล้วเนื้อหาในหน้าที่ 34 กล่าวถึงสิ่งใด?”

 

 

หลินเป่ยเฉินหยุดเล็กน้อย ก่อนตอบ “กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 25 ปีหลังการก่อตั้งจักรวรรดิเป่ยไห่ คำประกาศิตได้ปรากฏขึ้นที่มหาวิหารหลวง และเป็นเนื้อหาที่อยู่ในบทคนต้มสุราขอรับ”

 

 

นั่นแหละ

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าตัวจริงของเทพีกระบี่ต้องเป็นพวกหมกมุ่นในการดื่มสุราแน่ๆ เพราะคำบัญญัติและคำประกาศิตหลายร้อยข้อที่อยู่ในคัมภีร์เล่มนี้ มีการกล่าวถึงการต้มสุราหลายบททีเดียว

 

 

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็สามารถตอบคำถามได้อย่างฉะฉาน

 

 

นักพรตหญิงชินพยายามสุ่มถามจากเนื้อหาในคัมภีร์หลายๆ หน้า

 

 

แต่เด็กหนุ่มก็ตอบได้หมด

 

 

เขาภูมิใจในโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ถ้าไม่ติดที่ว่าตอนนี้เขายังใช้พลังลมปราณไม่ได้ หลินเป่ยเฉินก็คงจัดการแปลงคัมภีร์เหล่านี้เป็นแอปพลิเคชันซึ่งสามารถรันข้อมูลได้ไวกว่านี้หลายเท่าไปแล้ว

 

 

นักพรตหญิงชินวางคัมภีร์ลงและมองหน้าหลินเป่ยเฉิน พูดด้วยความประหลาดใจไม่น้อย “เจ้าสามารถจดจำได้ตลอดเลยหรือ?”

 

 

เมื่อเห็นว่าในที่สุดนักพรตหญิงชินก็เริ่มแสดงสีหน้าเหมือนคนปกติออกมาบ้าง หลินเป่ยเฉินจึงยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า “จำได้ตลอดเลยขอรับ แต่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญใด ถ้าเทียบกับการที่ข้าน้อยเป็นร่างทรงเทพเจ้าแล้ว ความสามารถเพียงเท่านี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนัก อิอิ”

 

 

นักพรตหญิงชินพยักหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงใช้ความคิด “มิผิด เจ้ามีพรสวรรค์ที่ทำให้ข้าประหลาดใจได้จริงๆ จงอย่าทำให้มันสูญเปล่า ดูเหมือนว่าข้าคงต้องเพิ่มการบ้านให้เจ้าแล้วสินะ”

 

 

หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุก

 

 

เดี๋ยวก่อนสิ

 

 

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

 

 

เมื่อสักครู่นี้ เขาเพิ่งตอบคำถามอย่างตั้งใจ เพื่อให้ตนเองได้การบ้านเพิ่มเนี่ยนะ?

 

 

หลินเป่ยเฉินแค่อยากทำให้นักพรตหญิงชินประทับใจ และยิ้มแย้มออกมาบ้างเท่านั้นเอง

 

 

“เอาล่ะ วันนี้การอ่านตำราพอแค่นี้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวข้าจะสอนเจ้าโคจรพลังปราณธาตุด้วยวิธีของเทพีกระบี่ มันเรียกว่าวิชา ‘ลมปราณนพเก้า’ เป็นวิชาลับเฉพาะของนักบวช ถูกสอนเพื่อใช้โคจรพลังปราณศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ”

 

 

นักพรตหญิงชินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

หลินเป่ยเฉินถามกลับไปทันทีว่า “แล้วสามารถปรับใช้กับการโคจรพลังลมปราณทั่วไปได้ไหมขอรับ?”

 

 

“ไม่ได้ นี่เป็นวิชาที่เหมือนการทำสมาธิชนิดหนึ่ง มันจะช่วยทำให้เจ้ามีจิตใจสงบนิ่ง มีสมาธิมากกว่าเดิม… เจ้าลองดูลำดับการหายใจของข้าเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน”

 

 

นักพรตหญิงชินพูดจบก็หลับตาลงอย่างแช่มช้าและเริ่มต้นสูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ

 

 

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตทันที

 

 

ยุบหนอ

 

 

พองหนอ

 

 

ใหญ่เบิ้มจังเลยหนอ

 

 

โดยเฉพาะตอนที่สูดหายใจเข้าเต็มปอด อาภรณ์ที่นักพรตหญิงชินสวมใส่อยู่ก็แทบจะทนรับความเต่งตึงของสองเต้ากลมกลึงคู่นั้นไม่ไหวแล้ว

 

 

หลินเป่ยเฉินพยายามถอนสายตาของตนเองกลับมาและเริ่มต้นสังเกตลำดับลมหายใจของนางอย่างจริงจังอีกครั้ง

 

 

เขาพยายามไม่คิดลามก

 

 

พยายามไม่ปล่อยให้สายตาซุกซน

 

 

หลังจากนั้น พวกเขาก็ใช้เวลาอยู่ในห้องพักด้วยกันตลอดทั้งวัน

 

 

นอกจากสอนวิธีโคจรพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ด้วยวิชาลมปราณนพเก้าแล้ว นักพรตหญิงชินยังต้องรับหน้าที่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับใจความสำคัญของวิชานี้อีกครึ่งค่อนวัน

 

 

เพราะหลินเป่ยเฉินไม่มีพลังมากพอที่จะแปลงคัมภีร์เป็นแอปในมือถือ เขาจึงทำทุกอย่างได้เชื่องช้ายิ่ง

 

 

แต่โชคดีที่นักพรตหญิงชินมีความอดทนเป็นเลิศ สีหน้าไม่เคยแสดงออกถึงความสุขหรือความเศร้า เช่นเดียวกับความเหนื่อยล้าหรือความเบื่อหน่าย นางสอนเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความเต็มใจ จนสุดท้ายหลินเป่ยเฉินก็กลับกลายเป็นฝ่ายที่อับอายในความโง่ของตนเอง

 

 

เมื่อนักพรตหญิงชินกลับออกไปจากห้อง หลินเป่ยเฉินก็อยู่ในสภาพที่มีเหงื่อออกท่วมตัว

 

 

“ถ้าเกิดโทรศัพท์ใช้งานไม่ได้ขึ้นมา เรานี่มันก็เป็นแค่เศษขยะชิ้นนึงจริงๆ”

 

 

เขากระโดดกลับขึ้นไปทิ้งตัวนอนแผ่หราอยู่บนเตียง

 

 

และเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับบทเรียนวันพรุ่งนี้ หลินเป่ยเฉินจึงพักเพียงเล็กน้อยและลุกขึ้นมานั่งโคจรพลังด้วยวิชาลมปราณนพเก้าอีกครั้ง

 

 

บางทีอาจเป็นเพราะว่ายามที่มีนักพรตหญิงชินคอยนั่งมองอยู่ข้างกาย หลินเป่ยเฉินจึงรู้สึกกดดันมากเกินไป เขาถึงทำได้ไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อมีความกดดันน้อยลง ไม่แน่เขาอาจเริ่มต้นโคจรพลังขึ้นมาบ้างก็ได้

 

 

แต่นั่งพยายามอยู่นานสองนานก็ยังไม่สำเร็จผลอยู่ดี

 

 

หลินเป่ยเฉินพยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นระบบระเบียบ สังเกตการเคลื่อนไหวของลมหายใจที่เข้าสู่ร่างกายและไหลเวียนไปตามแขนขา ก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปสู่สมอง และระบายกลับออกมาทางรูจมูก…

 

 

เขานั่งฝึกอยู่จนถึงดึกดื่น

 

 

เมื่อหลินเป่ยเฉินลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้ง ความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

 

 

“แปลกแฮะ นักพรตหญิงชินบอกว่าเราไม่สามารถใช้วิชาลมปราณนพเก้าโคจรพลังลมปราณทั่วไปได้ไม่ใช่หรือไง แต่ทำไมเราถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเริ่มมีพลังลมปราณไหลเวียนในร่างกายอีกครั้งเลยหว่า แล้วที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือรู้สึกเหมือนว่าพลังปราณธาตุที่อยู่ในร่างกายตอนนี้ มันไม่ใช่พลังปราณธาตุน้ำอีกแล้วน่ะสิ…”

 

 

หลินเป่ยเฉินรีบบอกตนเองไม่ให้ตื่นเต้นมากเกินไป

 

 

แต่เมื่อลองโคจรพลังลมปราณดูอีกครั้ง เขาก็พบว่าพลังลมปราณสามารถไหลเวียนในร่างกายได้อย่างสะดวกสบาย

 

 

แม้ว่าระดับพลังจะไม่ได้สูงล้ำเหมือนก่อนหน้านี้ แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมาหลายร้อยเท่า

 

 

แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ

 

 

สิ่งสำคัญก็คือหลินเป่ยเฉินสามารถกลับมาใช้งานโทรศัพท์มือถือได้อีกครั้ง

 

 

เขารีบเปิดแอปวีแชทและส่งข้อความไปหาเทพีกระบี่หิมะไร้นาม

 

 

ตอนแรกนางไม่ยอมตอบ

 

 

แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินขู่ว่าจะใช้การติดต่อผ่านวิดีโอคอลล์ สุดท้ายเทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ยอมตอบข้อความของเขาจนได้

 

 

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ขอเพียงเจ้าจ่ายเงินเพิ่มเติมให้พี่สาวคนนี้ เดี๋ยวสถานการณ์ทุกอย่างก็จะคลี่คลายแน่นอน”

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามพิมพ์ข้อความส่งมาหน้าตาเฉย

 

 

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามสมควรเปลี่ยนชื่อเป็นเทพีกระบี่แห่งเงินตราจริงๆ

 

 

“ล้อเล่นน่า เอาเป็นว่าเพื่อให้พวกเราสามารถร่วมงานกันได้อีกในอนาคตอย่างมีความสุข ครั้งนี้พี่สาวจะไม่คิดค่าบริการเจ้าก็แล้วกัน”

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งข้อความใหม่ตามมา

 

 

หลังจากนั้น ก็มีข้อความแจ้งเตือนในแอปจิงตง มอลล์

 

 

“ท่านได้รับพัสดุชิ้นใหม่ กรุณาตรวจสอบ”

 

 

หลินเป่ยเฉินกดเปิดข้อความ และพบว่าร้านค้าของเทพีกระบี่หิมะไร้นามได้เตรียมจัดส่งสินค้าบางอย่างมาให้ ซึ่งมันจะเดินทางมาถึงมือเขาในอีก 10 วันข้างหน้า

 

 

“คิดจะเล่นลูกไม้อันใดอีก?”

 

 

หลินเป่ยเฉินพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างโกรธแค้น “ครั้งนี้ข้าไม่มีเงินค่าขนส่งให้ท่านอีกแล้วนะ”

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบกลับมาเร็วไว “เจ้าจะเชื่อใจข้าสักหน่อยไม่ได้หรือไง? บอกแล้วว่าครั้งนี้เจ้าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอันใดเลย พี่สาวจะเป็นคนออกให้เจ้าเองทั้งหมด แม้แต่ค่าขนส่งเจ้าก็ไม่ต้องออก น้องชายรอรับพัสดุด้วยความสบายใจได้เลย”

 

 

“พูดจริงนะ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินยังคงไม่อยากเชื่อ

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบว่า “เราเป็นคนอื่นคนไกลที่ไหนกัน ขนาดร่างเปลือยของข้า เจ้าก็เคยเห็นมาแล้ว เพราะฉะนั้น ข้ามีเหตุผลอันใดที่ต้องโกหกเจ้าด้วยหรือ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกแล้ว

 

 

สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่เรื่องนี้อยู่ดี

 

 

หลังตัดการเชื่อมต่อในแอปวีแชท หลินเป่ยเฉินก็ใช้พลังลมปราณที่ได้มาจากการโคจรพลังด้วยวิชาลมปราณนพเก้า สร้างแอปพลิเคชันของคัมภีร์เล่มนี้ขึ้นมา มันมีขนาดเพียง 20 MB เท่านั้น เป็นไปตามที่นักพรตหญิงชินบอกเอาไว้จริงๆ ด้วย วิชานี้คงไม่ได้มีค่าพลังสูงส่งสักเท่าไหร่ มิฉะนั้นแล้ว มันคงมีขนาดไฟล์ใหญ่มากกว่านี้ไม่รู้กี่ร้อยเท่า

 

 

แต่มันก็สามารถทำงานได้ดีไม่มีปัญหา

 

 

วันต่อมา นักพรตหญิงชินถึงกับตกตะลึงที่ผ่านไปเพียงคืนเดียว หลินเป่ยเฉินกลับสามารถโคจรพลังได้คืบหน้าเหมือนปาฏิหาริย์

 

 

“ข้าน้อยสามารถฝึกวิชาได้ระหว่างที่นอนหลับน่ะขอรับ”

 

 

หลินเป่ยเฉินอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

นักพรตหญิงชินดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ก่อนจะเริ่มต้นสอนวิธีการโคจรพลังในขั้นต่อไปให้เขาเรียนรู้

 

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

พลังลมปราณในตัวเด็กหนุ่มหนาแน่นมากขึ้น

 

 

หลินเป่ยเฉินมีสมาธิและจิตใจที่สงบมากขึ้น

 

 

ความปรารถนาที่จะกลับสู่โลกมนุษย์ของเขาเลือนหายไป ในหัวใจของเขาขณะนี้ หลงเหลือแต่เพียงความรู้สึกเงียบสงบเท่านั้น

 

 

เมื่อการศึกษาวิธีโคจรพลังปราณศักดิ์สิทธิ์เป็นไปด้วยดี หลินเป่ยเฉินจึงเริ่มต้นศึกษาคัมภีร์เทววิทยาอย่างจริงจัง

 

 

ในคัมภีร์เหล่านั้น มีเพียงตำราที่เป็นการรวบรวมหมายเหตุเทพเจ้า ชื่อว่าคัมภีร์หมายเหตุเทพีกระบี่ที่ออกจะมีเนื้อหาน่าเบื่ออยู่สักหน่อย แต่นอกจากนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์พิพากษาปราณศักดิ์สิทธิ์ คัมภีร์มนุษย์และทวยเทพ คัมภีร์ข้อมูลเทพเจ้าระดับสูง คัมภีร์ปรากฎการณ์ปราณศักดิ์สิทธิ์กำราบปีศาจ ล้วนแล้วแต่เป็นตำราที่มีเนื้อหาน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ดังนั้น เวลา 10 วันจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็สามารถบรรลุขั้นสูงสุดของวิชาลมปราณนพเก้าได้แล้ว

 

 

และเขาก็ได้รับทราบข่าวดีอีกหนึ่งเรื่อง

 

 

ทางวังหลวงได้ส่งคนไปเจรจากับวิหารเทพเจ้าแห่งธนูเรียบร้อยแล้ว

 

 

จะไม่มีมือสังหารถูกส่งมาตามล่าตัวหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป

 

 

เด็กหนุ่มได้รับอิสรภาพกลับคืนมาอีกครั้ง

 

 

เขาสามารถออกไปไหนก็ได้ตามที่ต้องการ

 

 

และก่อนที่นักพรตใหญ่จะเดินทางกลับมหาวิหาร นางก็ได้แวะมาเยี่ยมหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าเด็กหนุ่มได้รับการสอนอย่างถูกต้อง ดูเหมือนว่านางจะหวังกับหลินเป่ยเฉินเอาไว้มากเลยทีเดียว ถึงขั้นทิ้งกระบี่จันทราพิฆาตซึ่งเป็นอาวุธคู่กายเอาไว้ให้เขาใช้ป้องกันตัว

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจในความเมตตาของหญิงวัยกลางคนผู้นี้เหลือเกิน

 

 

เขาเดินออกมาส่งนักพรตใหญ่ที่ท่าเรือและยืนมองจนเรือของนางแล่นหายลับไปจากสายตา

 

 

เนื่องจากยังคงต้องศึกษาคัมภีร์ทั้ง 26 เล่มให้จบในวิหารเทพกระบี่ หลินเป่ยเฉินจึงยังไม่รีบร้อนที่จะกลับไปสถานศึกษากระบี่ที่สาม

 

 

บัดนี้ เมืองหยุนเมิ่งกลับมาอยู่ภายใต้ความสงบเรียบร้อยอีกครั้ง

 

 

มีข่าวดีเกิดขึ้นกับสถานศึกษาหลายแห่ง

 

 

หวังซินอวี่ โจวเค่อ ซูเสี่ยวหยาน มี่หรู่หยานและอัจฉริยะประจำเมืองคนอื่นๆ ที่ได้เข้าร่วมศึกชิงธง ต่างก็ได้รับการติดต่อจากสำนักกระบี่ระดับสามัญชื่อดังทั้งสิ้น

 

 

ในส่วนของสถานศึกษากระบี่ที่สาม นอกจากฮันปู้ฟู่จะได้เข้าร่วมกับกองทัพแล้ว เยว่หงเซียงยังได้รับการติดต่อจากสำนักกระบี่ระดับสามัญแห่งเมืองเจาฮุย ส่วนไป๋ชินหยุนก็ได้รับการติดต่อจากสำนักกระบี่ระดับสามัญหลายแห่งเช่นกัน แต่ญาติผู้ใหญ่ของนางก็ปฏิเสธไปหมดสิ้น ด้วยเหตุผลที่ว่าเด็กสาวยังอายุน้อยเกินไป และจำเป็นต้องอยู่ต่อที่สถานศึกษากระบี่ที่สามต่อไปเพื่อเรียนรู้ทุกอย่างทีละขั้นตอน ทว่า สิ่งที่ทุกคนสนใจที่สุดก็คือ หลินเป่ยเฉินได้รับการติดต่อจากสำนักศึกษาใดบ้างหรือไม่

 

 

ปรากฏว่าไม่รู้ท่านนักพรตใหญ่ไปตกลงบางอย่างล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วหรืออย่างไร หรือเป็นเพราะสำนักกระบี่พวกนั้นรู้ว่าผู้ที่เป็นร่างทรงเทพเจ้าจะต้องสูญเสียพลังยุทธ์ไปทั้งหมด… ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีสำนักศึกษาใดติดต่อมาที่หลินเป่ยเฉินเลยแม้แต่ที่เดียว

 

 

นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเกินไปจริงๆ!