บทที่ 359 งานเลี้ยงแสนรื่นเริง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 359 งานเลี้ยงแสนรื่นเริง

 

 

“แต่จะไปโทษพวกเขาก็ไม่ได้หรอกนะ ในเมื่อเราเป็นคนขออยู่ในเมืองหยุนเมิ่งต่อเองนี่นา” หลินเป่ยเฉินพูดรำพึงรำพันในขณะที่เดินกลับเข้าสู่ตำหนักไม้ไผ่ของสถานศึกษากระบี่ที่สาม

 

 

นี่นับเป็นวันแรกที่เขาเดินทางกลับจากวิหารเทพกระบี่มายังสถานศึกษาแห่งนี้ ใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นต้อนรับตั้งแต่หน้าประตูรั้ว ไม่ว่าจะเป็นคณะอาจารย์หรือลูกศิษย์ร่วมสถาบัน มีหลายคนที่หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองไม่รู้จักแน่ๆ แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือขนาดพวกของหวังซินอวี่ คังซานเสว่และอัจฉริยะจากสถานศึกษาอื่นๆ ก็ยังมารอต้อนรับและนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มามอบให้เขาด้วยเช่นกัน

 

 

ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ทุกคนล้วนประหลาดใจในเรื่องที่หลินเป่ยเฉินไม่ได้รับการติดต่อจากสำนักศึกษากระบี่ชื่อดังเลยสักที่

 

 

เดือดร้อนหลินเป่ยเฉินต้องรีบอธิบายว่า

 

 

ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสนใจ

 

 

แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่อยากไปเองต่างหาก

 

 

ถ้าเกิดหลินเป่ยเฉินไม่อยู่สักคน แล้วบรรดาสาวกของเขาในเมืองหยุนเมิ่งจะคิดถึงเขาขนาดไหน เฉียนเหมยกับเฉียนเจินสาวรับใช้จะต้องอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเพียงใด เจ้าหนูอากวงจะรับประทานอาหารลงหรือไม่ แล้วหมาป่าน้ำแข็งที่ตั้งครรภ์อยู่นั้นอีกเล่า ใครจะเป็นคนดูแลมันตอนออกลูก?

 

 

“นี่อาการทางสมองของเจ้ากำเริบอีกแล้วใช่ไหม?”

 

 

ฉู่เหินพูดด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ “เจ้าปฏิเสธโอกาสที่ครั้งเดียวในชีวิตจะมีมาอย่างนี้ได้อย่างไร?”

 

 

เฮ้อ

 

 

ได้เวลาทำการแสดงอีกแล้วสิ

 

 

หลินเป่ยเฉินกระแอมไอและบอกเหตุผลเดียวกับที่เขาได้แจ้งต่อท่านนักพรตใหญ่

 

 

ภายในตำหนักไม้ไผ่เงียบกริบทันที

 

 

บรรดาอาจารย์อาวุโสของเขาตกตะลึงด้วยความซาบซึ้งใจ

 

 

ทำไมหลินเป่ยเฉินถึงได้เป็นคนที่มีจิตใจดีงามเช่นนี้?

 

 

ภายใต้สีหน้าที่ยิ้มแย้มเจ้าเล่ห์นั้นได้ปิดบังหัวใจที่โอบอ้อมอารี และมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อทุกคนอย่างแท้จริง

 

 

ทำเอาเหล่าอัจฉริยะหลายคนที่รับข้อเสนอจากสำนักศึกษากระบี่ชื่อดังรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที

 

 

“นับว่าคุณชายหลินมีจิตใจแสนประเสริฐนัก”

 

 

หวังซินอวี่อุทานออกมา

 

 

คังซานเสว่กล่าวขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้พวกเรามองคุณชายหลินผิดไปจริงๆ นับดูในกลุ่มพวกเรา ไม่มีใครคู่ควรกับคำว่ามือกระบี่มากกว่าท่านอีกแล้ว”

 

 

ซูเสี่ยวหยานเยินยอเขาว่า “คุณชายหลินคือสุภาพบุรุษมือกระบี่ตัวจริง”

 

 

จุนเมิงฮั่นกล่าวว่า “ข้ารู้ตัวแล้วว่านอกจากระดับพลังต่ำต้อยกว่าคุณชายหลิน แม้แต่ความเข้าใจต่อการดำเนินชีวิตก็ยังเป็นรองคุณชายหลินอยู่หลายส่วน”

 

 

กลุ่มผู้เข้าแข่งขันในรอบชิงธงส่วนใหญ่จะกลายมาเป็นมิตรสหายกับหลินเป่ยเฉินเกือบทุกคน…

 

 

ในยุคสมัยนี้ เด็กหนุ่มเด็กสาวมือกระบี่รุ่นใหม่ของเมืองหยุนเมิ่งจำนวนมาก ต่างก็ยินดีใช้เส้นสายเพื่อนำพาตนเองเข้าไปศึกษาต่อในสำนักกระบี่ชื่อดังต่างเมือง แม้ว่านั่นอาจจะต้องทำให้เสียเงินจนครอบครัวล้มละลาย ทางบ้านพวกเขาก็ยินยอมแต่โดยดี

 

 

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนคาดไม่ถึงว่าหลินเป่ยเฉินจะละทิ้งโอกาสดีงามเช่นนี้ไปเสียเฉยๆ

 

 

เพียงเพราะเขาอยากจะใช้เวลาอยู่พัฒนาสถานศึกษากระบี่ที่สามต่ออีก 1 ปี

 

 

ฉู่เหินพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าลูกเต่า ไม่เห็นต้องเสียสละถึงขนาดนี้ก็ได้…”

 

 

ไป๋ชินหยุนที่นั่งกอดอกอยู่ตลอดเวลาพลันโพล่งออกมาว่า “บอกความจริงทุกคนมาดีกว่าน่า บัดนี้เจ้าไม่สามารถใช้พลังยุทธ์ได้ชั่วคราวเพราะมีพลังเทพเจ้าอยู่ในตัว เจ้าก็เลยไม่กล้าออกไปเผชิญโลกกว้างใช่ไหมเล่า เจ้าก็เลยใช้เรื่องทดแทนบุญคุณสถานศึกษา เป็นข้ออ้างที่จะไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น”

 

 

หลินเป่ยเฉินปากกระตุกด้วยความเดือดดาล

 

 

“หวังจง เจ้าไม่ได้เฝ้าประตูอยู่หรือไง? ทำไมถึงปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามานั่งอยู่ตรงนี้ได้?”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือชี้ไปที่ไป๋ชินหยุนและออกคำสั่งกับพ่อบ้านชรา “ยังไม่รีบลากตัวนางออกไปอีก ข้าไม่รู้ว่านางเป็นใคร อย่าปล่อยให้นางเข้ามาที่บ้านพักของข้าอีกเด็ดขาด”

 

 

ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน

 

 

บรรยากาศที่เดิมทีมีแต่ความเคร่งเครียดสลายหายไปเพราะเสียงหัวเราะเหล่านั้น

 

 

รอยยิ้มที่แสนผ่อนคลายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคนอีกครั้ง

 

 

แน่นอนว่ามีหลายคนไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหลินเป่ยเฉิน แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรนอกจากเสแสร้งแกล้งทำเป็นเรื่องตลกด้วยเคารพในการตัดสินใจของเด็กหนุ่ม

 

 

มีเพียงเซียวปิงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่พูดไม่คุยกับใคร เขาใช้เวลาที่ผ่านไปทั้งหมดรับประทานอาหารและดื่มกินเหมือนคนอดอยากปากแห้ง

 

 

นอกจากพวกของเฉาพั่วเถียน หลินอี้ ตงฟางจัน กับเจิ้งโจวที่เสียชีวิตไปแล้ว รวมถึงเยว่เว่ยหยางที่ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในวิหารเทพกระบี่ กล่าวได้ว่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงธงทุกคนได้มารวมตัวกันอยู่ที่ตำหนักไม้ไผ่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา…

 

 

นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง

 

 

การที่ยอดอัจฉริยะประจำเมืองกลุ่มนี้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ย่อมหมายความว่าพวกเขายืนอยู่เคียงข้างหลินเป่ยเฉิน

 

 

ไป๋ชินหยุนเป็นคนเสนอความคิดว่าพวกเขาควรออกมาจัดงานเลี้ยงที่บริเวณสนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่

 

 

เด็กสาวหน้าอกใหญ่แสดงให้เห็นถึงฐานะทางบ้านที่ร่ำรวยอีกครั้ง นางโยนบัตรเก็บเงินสีดำทมิฬใส่หน้าหลินเป่ยเฉินพร้อมกับกล่าวว่า “เอาเงินพวกนี้ไปสั่งอาหารชั้นดีมาจากโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งซะ บอกพวกเขาด้วยว่าให้มาส่งในอีก 2 เค่อ ห้ามนานไปมากกว่านั้นเด็ดขาด…”

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่เกรงใจอีกแล้ว เขาส่งบัตรเก็บเงินให้แก่หวังจงและขยิบตาส่งสัญญาณให้พ่อบ้านชราเลือกสั่งแต่อาหารที่แพงที่สุดมาเท่านั้น

 

 

เมื่อฉู่เหินที่ควรจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเห็นว่าไป๋ชินหยุนมีความเต็มใจที่จะยินดีจ่ายค่าอาหาร เขาก็ไม่ได้แสดงความขัดข้องแต่อย่างใด

 

 

หลังจากนั้น ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ต่างก็ช่วยกันจัดโต๊ะที่นั่งบริเวณสนามหญ้า เมื่ออาหารจากโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งมาส่งในอีก 1 เค่อต่อมา ทั่วทั้งอาณาเขตของตำหนักไม้ไผ่ก็มีกลิ่นสุราเลิศรสและกลิ่นของอาหารหอมฉุยลอยตลบอบอวลในอากาศ

 

 

ทุกคนดื่มกินรับประทานอาหารอย่างมีความสุข

 

 

ในไม่ช้า พวกเขาก็เริ่มเมามาย

 

 

เฉียนเหมยและเฉียนเจินคอยทำหน้าที่เติมอาหารและสุราให้บรรดาแขกเหรื่ออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

 

 

แม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะไม่ใช่สิ่งที่พวกนางถูกฝึกฝนมาโดยตรงในหอนางโลม แต่รอยยิ้มบนใบหน้างดงามของหญิงสาวทั้งสองก็ไม่เคยจางหายไป

 

 

ดวงตาคู่งามเป็นประกายระยิบระยับ ดูเย้ายวนใจชวนให้ลุ่มหลง

 

 

แต่โชคดีที่แขกผู้ร่วมงานในวันนี้ไม่ใช่พวกหื่นกาม ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคุณชายหน้าตาหล่อเหลา มีความเป็นสุภาพบุรุษภาพลักษณ์ดีเลิศ แต่ใครจะดีเท่าหลินเป่ยเฉินผู้เป็นนายท่านของพวกนาง เด็กหนุ่มดูแลเฉียนเหมยกับเฉียนเจินเหมือนคนในครอบครัวของตนเอง ชีวิตของพวกนางสุขสบาย แตกต่างจากตอนที่เป็นนางคณิกาฝึกหัดอยู่ในหอนางโลม เฉียนเหมยกับเฉียนเจินต้องถูกทุบตีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ของขวัญสักชิ้นยังไม่เคยได้ นับประสาอะไรจะมีรอยยิ้มจากหัวใจอยู่บนใบหน้า

 

 

ดังนั้น แม้หน้าที่จัดเตรียมอาหารจะดูต่ำต้อย แต่พวกนางก็ทำด้วยความภูมิใจและมีความสุขเปี่ยมล้น

 

 

แล้วจะมีนางคณิกาที่ไหนบ้างที่จะไม่อิจฉาพวกนาง?

 

 

ในเวลาเดียวกันนี้ อากวงนั่งถือกระดานชนวนร่วมอยู่ในวงอาหารด้วยเช่นกัน

 

 

หลังเกิดการกลายพันธุ์ อดีตราชันย์หนูอสูรก็มีร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์มากขึ้น เส้นขนสีขาวของมันยาวสลวยเหมือนเส้นไหม และด้วยความน่ารักน่าชังนี้เองมันจึงสามารถเอาชนะใจบรรดาเด็กสาวได้อย่างง่ายดาย และมักจะถูกพวกนางอุ้มขึ้นไปกอดรัดด้วยความหมั่นเขี้ยวเสมอ

 

 

ส่วนหวังจงก็คอยสร้างความรื่นเริงให้แก่งานเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้ตัวอีกทีงานเลี้ยงก็ดำเนินมาถึงช่วงการแสดงพรสวรรค์พิเศษประจำตัวแล้ว

 

 

สาวงามอย่างคังซานเสว่ที่ปกติเย็นชายิ่งกว่าเจ้าหญิงน้ำแข็ง พร้อมด้วยหวังซินอวี่ก้าวออกไปข้างหน้าและเริ่มต้นบรรเลงบทเพลงบูชาเทพีกระบี่ด้วยเครื่องดนตรีอย่างผีผาและขลุ่ยไม้ไผ่ ทำให้งานเลี้ยงมีบรรยากาศที่แสนคึกคักมากยิ่งกว่าเดิม!

 

 

ทุกคนปรบมือด้วยความชื่นชมชอบใจ

 

 

แม้แต่ฮันปู้ฟู่ซึ่งเป็นคนเงียบขรึมก็ยังออกมาแสดงความสามารถพิเศษด้วยเช่นกัน

 

 

เด็กหนุ่มชักกระบี่ออกมาเต้นรำอย่างพริ้วไหว

 

 

ระหว่างที่เต้นรำอยู่นั้น เขาก็เปล่งเสียงร้องที่ไม่แน่ใจว่าจะนับเป็นการร้องเพลงได้หรือไม่ออกมาว่า “สวมใส่ชุดเกราะเหล็ก เผด็จศึกแดนเหนือ กระบี่แห่งความเชื่อ หลั่งเลือดย้อมหัวใจ ข้าไม่กลัวหรอกทะเลทราย เฉิดฉายพราวชีวัน เงาสะท้อนของขุนเขา บนผืนน้ำและดารานับพัน เปล่งประกายนั้นบนสมรภูมิ…”

 

 

เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ร่วมงานเลี้ยงพร้อมใจกันชักกระบี่ออกมาอวดประกายวูบวาบเมื่อได้ยินถึงท่อนนี้

 

 

เสียงเคาะกระบี่ดังขึ้นทั่วสนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่

 

 

ฮันปู้ฟู่ปฏิเสธคำเชิญจากสำนักกระบี่ชื่อดังมากมายและตัดสินใจเข้าร่วมกับกองทัพ ทั้งที่ในตอนแรกเด็กหนุ่มคิดปฏิเสธ แต่สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนใจ ส่งผลให้ฮันปู้ฟู่ได้รับความเคารพจากผู้คนจำนวนมาก

 

 

ในจักรวรรดิเป่ยไห่ ไม่มีผู้ใดจะมีเกียรติมากไปกว่านายทหารผู้เป็นรั้วของชาติอีกแล้ว

 

 

โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่ได้ทำงานกับกองทัพ จะนับเป็นเกียรติประวัติสูงสุดในชีวิตของพวกเขา

 

 

ด้วยเหตุนี้ ฮันปู้ฟู่จึงกลายเป็นขวัญใจชาวเมืองรองลงมาจากหลินเป่ยเฉิน!