บทที่ 360 พรสวรรค์ด้านดนตรีของหลินเป่ยเฉิน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 360 พรสวรรค์ด้านดนตรีของหลินเป่ยเฉิน

 

 

เมื่อได้ดื่มสุราเข้าไป ฮันปู้ฟู่ก็สามารถขับร้องบทเพลงและเต้นรำไปพร้อมกับกระบี่ได้อย่างไม่เขินอาย

 

 

นอกจากจะทำให้เด็กสาวหลายนางประทับใจแล้ว

 

 

หลินเป่ยเฉินก็ประทับใจเช่นกัน

 

 

หลังจากนี้ไป สิ่งที่ฮันปู้ฟู่กำลังจะต้องพบเจอ ไม่ใช่มือกระบี่ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกแล้ว แต่เป็นศัตรูที่หมายมั่นจะเอาชีวิตทหารฝ่ายตรงข้ามให้ได้

 

 

อีกหลายร้อยปีต่อจากนี้ ถ้าจะมีใครสักคนเปิดดูบันทึกประวัติศาสตร์ประจำเมืองหยุนเมิ่ง บุคคลผู้นั้นก็จะได้พบว่าชะตาชีวิตของมือกระบี่ชื่อดังจำนวนมาก เกิดความเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เมื่อพวกเขาเดินทางกลับออกไปจากตำหนักไม้ไผ่ในวันนี้

 

 

“คุณชายหลิน ถึงตาของท่านแล้วนะ”

 

 

“ฮ่าฮ่า เป่ยเฉิน เจ้าสามารถเต้นรำหรือว่าเป่าขลุ่ยได้หรือไม่?”

 

 

“เร็วๆ สิ จะมัวเขินอายอยู่ทำไม”

 

 

ไป๋ชินหยุนตะโกนเร่งเร้าด้วยความเมามาย และสายตาของทุกคนก็หันมาจ้องมองอยู่ที่หลินเป่ยเฉินเป็นจุดเดียว

 

 

หลินเป่ยเฉินยกจอกสุราขึ้นดื่ม พยายามดับความตื่นเต้นในหัวใจ

 

 

ขนาดฮันปู้ฟู่ยังทำได้ แล้วทำไมเขาจะทำไม่ได้

 

 

ฮันปู้ฟู่ไม่เห็นจะห่วงภาพลักษณ์ที่ต้องไปเป็นนายทหารผู้เคร่งขรึมสักนิด เหตุไฉนหลินเป่ยเฉินยังจะต้องห่วงอีก?

 

 

และวันนี้ผู้ที่รวมตัวกันอยู่ในงานเลี้ยงก็มีแต่เด็กหนุ่มเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันเท่านั้น หลินเป่ยเฉินจึงรู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้น เขานึกย้อนไปถึงชีวิตสมัยที่อยู่บนโลกมนุษย์ ตนเองเป็นเด็กขี้อายไม่กล้าแสดงออก เคยใฝ่ฝันที่จะทำกิจกรรมนี้มาเนิ่นนาน แต่ก็ไม่มีความกล้ามากพอเลยสักครั้ง

 

 

นี่แหละโอกาสของเขามาถึงแล้ว

 

 

พรึ่บ!

 

 

เด็กหนุ่มตบดินปิดฝาไหสุราบนโต๊ะออกหนึ่งไห จากนั้นเขาก็ยกไหสุราขึ้นดื่มด้วยความหิวกระหาย น้ำสุราที่หมักจากผลไม้ชั้นดีของโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งไหลราดลดลงไปตามเสื้อผ้าของเด็กหนุ่ม

 

 

ภายใต้แสงตะวันฉาย ผิวหนังของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายระยิบระยับจากการเคลือบของเครื่องดื่มน้ำเมา

 

 

ดวงตามากมายหลายคู่จ้องมองมาที่เขาด้วยความตื่นเต้น

 

 

“ข้ามีบทเพลงจะร้องให้ทุกคนฟัง”

 

 

หลังดื่มสุราจนหมดไห หลินเป่ยเฉินก็ยกมือปาดริมฝีปากและยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย “นี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง เพราะทุกครั้งที่ข้าร้องเพลง คนฟังก็เหมือนจะตกอยู่ในมนต์สะกดเสมอ”

 

 

ทุกคนรอฟังอย่างตั้งใจมากกว่าเดิม

 

 

หลินเป่ยเฉินวางไหสุรากลับคืนลงไปบนโต๊ะตรงหน้า ก่อนที่เขาจะหยิบตะเกียบขึ้นมาและใช้มันเคาะไหเป็นจังหวะให้เสียงดนตรี

 

 

ตอนแรกฟังดูไม่ค่อยเป็นเสียงดนตรีสักเท่าไหร่

 

 

แต่เมื่อเริ่มจับจังหวะได้ทุกอย่างก็ดีขึ้น

 

 

ไม่มีใครสามารถละสายตาไปจากหลินเป่ยเฉินได้แล้วจริงๆ

 

 

หลินเป่ยเฉินยามนี้อยู่ในสภาพเมามาย เขาขับร้องบทเพลงที่ทุกคนไม่เคยได้ยินมาก่อน ตอนแรก พวกเขาก็คิดว่านี่เป็นเนื้อเพลงที่แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความมึนเมาหรืออะไรบางอย่าง สุดท้ายทุกคนก็รู้สึกว่าบทเพลงที่หลินเป่ยเฉินขับร้องออกมาค่อนข้างสนุกสนานมากทีเดียว

 

 

หลินเป่ยเฉินร้องเมดเลย์อยู่หลายเพลงตามแต่ที่เขาจะนึกขึ้นมาได้

 

 

“กุชชี่เบลต์ อ๊ะ มีงูเลื้อยมาอยู่ที่เอ้ววว…”

 

 

“โอเคนะคะ นะคะ เจอกันสักแป๊ปนึง…”

 

 

“ผมอาจจะไม่เฟี้ยวแต่ทำให้แฟนคุณเลี้ยวได้อ่ะ…”

 

 

“ไก่จ๋า ได้ยินไหมว่าเสียงใคร มันเหมือนเสียงคนร้องไห้ แต่คล้ายชายเจ้าน้ำตา…”

 

 

“ถ้าจะรักยืนเฉยๆ เขาก็ร้าก…”

 

 

“มีวาฬตัวหนึ่งลอยว่ายน้ำมา ดูเจ็บช้ำทรวงอุรากว่าที่เคย มันพยายามตามรักทรามเชย แต่สุดท้ายดันมาเกยตื้นน้ำตาย…”

 

 

“แค่อยากจะรู้ว่าตรงที่เธอยืนนั้นมีฝนตกไหม สบายดีไหม เธอกลัวฟ้าร้องหรือเปล่า…”

 

 

หลินเป่ยเฉินใช้ตะเกียบเคาะไหสุราอย่างเมามันในจังหวะของตนเอง เขาลืมเลือนทุกคนที่อยู่รอบข้างไปโดยสิ้นเชิง ชีวิตตอนอยู่บนโลกมนุษย์เขาเป็นพวกขี้อายไม่กล้าแสดงออก และปรารถนาที่จะได้แหกปากร้องเพลงอย่างที่กำลังทำอยู่ตอนนี้เสมอ

 

 

ตอนแรก พวกของฮันปู้ฟู่ก็ดูจะไม่ค่อยเข้าใจเนื้อเพลงสักเท่าไหร่

 

 

แต่ไม่นานต่อมา หลินเป่ยเฉินที่ปล่อยผมยาวสยาย เนื้อตัวเปียกโชกด้วยสุราที่ราดรดลำตัว และแหกปากร้องเพลงอย่างไม่สนใจโลก กลับกลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเขาไปเสียอย่างนั้น หลินเป่ยเฉินตกอยู่ในสภาวะที่ถ้าให้เขาร้องเพลงไปจนโลกสลาย เด็กหนุ่มก็ไม่มีทางปฏิเสธอีกแล้ว

 

 

“สุดท้ายแล้วเธอไม่โกหก แต่ลืมบอกกันว่าไม่รัก ฉันโดนหลอก เธอบอกกันเธอใจร้าย…”

 

 

“กล้ากลับไปหาเขาหรือเปล่า ไปกับฉัน กลับไปหาเขาและบอก บอกว่าเรารักกัน ทำได้ม๊ายยย…”

 

 

“ก็อย่ามาจิ๊จ๊ะให้มันมากไป มันจะเป็นบ้า เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่!”

 

 

หลินเป่ยเฉินยิ่งร้องก็ยิ่งมีความมั่นใจในตนเอง ยิ่งร้องเขาก็ยิ่งมัน อารมณ์ของเด็กหนุ่มตอนนี้ปั่นป่วนยิ่งกว่าพายุที่โหมกระหน่ำใส่ชายหาดเสียอีก

 

 

เหล่ามือกระบี่รุ่นเยาว์หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

 

 

พวกเขาไม่เคยได้ยินบทเพลงเหล่านี้มาก่อนเลยสักเพลง

 

 

แต่ฟังไปแล้วก็ไพเราะดีเหมือนกัน

 

 

แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจเลยว่าเนื้อเพลงกล่าวถึงอะไรก็ตาม

 

 

แต่ปัญหาก็คือขณะนี้หลินเป่ยเฉินไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เขาปรารถนาที่อยากจะหาทางกลับบ้าน แต่เมื่อเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง เด็กหนุ่มก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้รับความสนใจมาจากทุกทิศทุกทาง และสุดท้าย ตนเองก็ต้องกลายเป็นหัวหน้านักบวชอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

 

น้ำเสียงที่ร้องเพลงออกมาจึงแฝงความเศร้าเอาไว้อยู่หลายส่วน

 

 

ฮันปู้ฟู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

แต่เขาก็ไม่ได้ขัดจังหวะหลินเป่ยเฉิน

 

 

บรรดามือกระบี่เด็กหนุ่มเด็กสาวเริ่มมีสีหน้าประหลาดพิกล

 

 

เซียวปิงไม่สามารถทนฟังเพลงได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนและคว้าอาหารเดินหนีไปนั่งกินในที่ห่างไกลอยู่เงียบๆ คนเดียว

 

 

เด็กสาวหลายนางมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป

 

 

นี่เขาอาการทางสมองกำเริบอีกแล้วใช่หรือไม่?

 

 

หวังจงยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหาร คอยรับคำสั่งอย่างซื่อสัตย์

 

 

บัดนี้ ในป่าไผ่ด้านข้างสนามหญ้า มีคนสองคนซ่อนตัวอยู่ในความมืดและกำลังรับฟังบทเพลงของหลินเป่ยเฉินด้วยความตั้งใจ

 

 

พวกเขามีพลังระดับยอดปรมาจารย์ มีประสบการณ์ผ่านโลกมาแล้วอย่างโชกโชน แต่ก็ยังไม่เคยได้รับฟังบทเพลงเหล่านี้มาก่อน พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นเพลงที่สื่อสารถึงอะไร ความรู้สึกเดียวที่ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนมีก็คือหลินเป่ยเฉินอาจมีพรสวรรค์ในเรื่องของการฝึกกระบี่ แต่เด็กหนุ่มไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องการร้องเพลงเลยสักนิด

 

 

ห่างออกไปในห้องประชุมของคณะอาจารย์ประจำสถานศึกษากระบี่ที่สาม เจ้าหน้าที่ของทางวังหลวงหลายสิบชีวิตก็ได้ยินเสียงขับขานของเด็กหนุ่มเช่นกัน หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาเป็นชายชราหนวดยาวคนหนึ่งซึ่งทันทีที่ได้ยินบทเพลงของหลินเป่ยเฉิน เขาก็ถึงกับหยุดพูด หรี่ตาลงและรับฟังอย่างตั้งใจ

 

 

ผู้คนในห้องประชุมไม่มีใครกล้าพูดคำใดออกมา พวกเขาได้แต่นิ่งเงียบอยู่ดังเดิม

 

 

กลับไปที่ตำหนักไม้ไผ่

 

 

ในที่สุด งานเลี้ยงก็ต้องเลิกราเมื่อหลินเป่ยเฉินไม่มีเสียงร้องเพลงอีกแล้ว

 

 

เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ต่างก็มีสภาพเมามายกันอย่างถ้วนหน้า หลายคนต้องกลับบ้านด้วยวิธีให้คนรับใช้แบกหามกลับไปส่ง

 

 

หลินเป่ยเฉินยืนโบกมืออำลาเพื่อนทุกคนอยู่ที่หน้าประตูรั้วตำหนักไม้ไผ่

 

 

แล้วที่พักของเขาก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

 

 

“หวังจง จำหน้าเจ้าเด็กอ้วนคนนั้นให้ดีเลยนะ”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือชี้ไปที่เซียวปิง ซึ่งข้ารับใช้ของตระกูลเซียวกำลังแบกเขากลับบ้าน “อย่าปล่อยให้มันได้เข้ามาที่นี่อีกเด็ดขาด”

 

 

หวังจงเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ

 

 

ก็ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในงานเลี้ยง นายน้อยเรียกขานเด็กอ้วนคนนั้นอย่างสนิทสนมว่าน้องชายตลอดเวลา

 

 

แล้วทำไมถึงได้ออกคำสั่งเช่นนี้เล่า?

 

 

ชายชราสอบถามด้วยความสงสัย “ขอสอบถามได้ไหมขอรับนายน้อย คุณชายอ้วนผู้นั้นอาจเป็นศัตรูกับนายน้อยในอนาคตใช่ไหมขอรับ?”

 

 

“ไม่ใช่”

 

 

หลินเป่ยเฉินส่ายหน้า “เจ้าอ้วนนั่นกินเยอะเกินไป ขืนมันมากินข้าวที่นี่บ่อยๆ ข้าคงต้องสิ้นเนื้อประดาตัวแน่ๆ”

 

 

หวังจงพยักหน้าเล็กน้อย เขาเองก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน

 

 

ทันใดนั้น ชายชราหันขวับไปทางป่าไผ่ที่ตั้งอยู่ด้านข้าง

 

 

แล้วชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาอย่างแช่มช้า