ตอนที่ 361 สหายเก่าของบิดา
หลินเป่ยเฉินก็เห็นชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นเช่นกัน
พวกเขาสวมใส่ชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ขุนนาง
และเนื่องจากใส่ชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่จากเมืองหลวงของมณฑลอย่างเป็นทางการ จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าระดับพลังและวิทยายุทธ์ของพวกเขา ย่อมสูงส่งกว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ในเมืองหยุนเมิ่งแน่นอน
ผู้ที่เดินนำหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นเข้ามาเป็นชายชราคิ้วขาวเคราขาว อายุไม่น่าต่ำกว่า 80 ปี แต่ผิวหนังเต่งตึงราวกับเด็กทารก ร่างกายของชายชราสูงใหญ่แต่กลับสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง เลือดลมยังคงสูบฉีดอย่างแข็งแรง ชุดเสื้อคลุมสีดำที่สวมใส่ ยิ่งขับเน้นเน้นถึงความน่าเกรงขามของเขามากขึ้น
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย
เนื่องจากเขาจำได้ว่าชุดเสื้อคลุมแบบนี้มันเป็นแบบเดียวกับที่ถังกู่จินสวมใส่ไม่มีผิด
นอกจากนั้น ยังมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเดินเคียงข้างอยู่ข้างกายชายชรา
ชายหนุ่มคนนั้นมีอายุ 30 กว่าปี รูปร่างผอม สูงชะลูดถึง 9 เซี๊ยะ สวมใส่ชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่มือปราบ จมูกงองุ้มดั่งตะขอ ดวงตาแดงก่ำ สีหน้าเครียดคล้ำเหมือนมีเรื่องให้วิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา แต่ระดับพลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขานั้นสามารถขับไล่สัตว์อสูรให้วิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัวได้อย่างง่ายดาย
พวกเขาทั้งสองเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงสุดในกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้
เพราะชายฉกรรจ์คนที่เหลือต้องเดินตามหลัง
และในกลุ่มคนเหล่านั้นก็มีผู้ที่หลินเป่ยเฉินรู้จักอยู่ด้วย
อย่างเช่น หลี่สงฟู่ เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่ง
ใต้เท้าหลี่รับหน้าที่นำทางให้แก่บุคคลเหล่านี้
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว
เมื่อมีคนมาที่ตำหนักไม้ไผ่ ก็คงต้องมาหาเขาไม่ผิดแน่
หรือว่าจะมาคุยเรื่องที่เขาสังหารถังกู่จิน
ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็…
ต้องหาทางเอาตัวรอดอีกแล้วสิ
เด็กหนุ่มยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว
เมื่อหวังจงเห็นลักษณะท่าทีของนายน้อย เขาก็เงียบงันไปทันที
ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มเจ้าหน้าที่หลายสิบนายก็มาปรากฏตัวอยู่ที่สนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่
หลินเป่ยเฉินนึกว่าตนเองกำลังเห็นภาพหลอน
เพราะแววตาที่คนกลุ่มนี้จ้องมองเขา มันคือสายตาที่พวกเฒ่าราคะใช้จ้องมองสาวงามชัดๆ
สงสัยคงไม่ได้มาคุยเรื่องคดีฆาตกรรมแล้วล่ะ
หลินเป่ยเฉินมองไม่เห็นแววตาคาดโทษจากกลุ่มเจ้าหน้าที่เหล่านี้เลย
“ฮ่าฮ่า คุณชายหลิน นี่คือเจ้าหน้าที่จากนครหลวง พวกเขาอยากมาเยี่ยมเยียนเจ้าสักหน่อย” หลี่สงฟู่เดินเข้ามาแนะนำตัวช่วยคลี่คลายข้อสงสัยของหลินเป่ยเฉิน
คำว่าเยี่ยมเยียนก็ออกจะชัดเจนอยู่แล้ว
คงไม่น่ามีปัญหาอะไรละมั้ง
หัวคิ้วที่กำลังขมวดมุ่นของหลินเป่ยเฉินพลันค่อยๆ คลายตัวออกอย่างแช่มช้า
“นี่คือผู้ตรวจการมณฑลคนใหม่จากกระทรวงบริหารภายใน มีนามว่าใต้เท้าเหลียวหวังซู” หลี่สงฟู่ผายมือไปยังชายชราร่างกายสูงใหญ่ ก่อนจะรับหน้าที่แนะนำตัวชายหนุ่มจมูกงองุ้มเป็นคนต่อไป “ส่วนองครักษ์ท่านนี้เป็นหัวหน้าหน่วยมือปราบจากนครหลวง มีนามว่าองครักษ์หยิงอู๋จี”
ที่แท้ชายชราร่างกายสูงใหญ่ก็เป็นคนที่มารับตำแหน่งผู้ตรวจการมณฑลต่อจากถังกู่จินนี่เอง
หลี่สงฟู่แนะนำตัวเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ คนจนครบถ้วน พวกเขาต่างก็เป็นเจ้าหน้าที่มือปราบจากนครหลวงเจาฮุย ซึ่งเป็นเมืองหลวงประจํามณฑล ทุกคนต่างมีสถานะสูงส่งและระดับพลังสูงล้ำ
“ผู้น้อยขอคารวะทุกท่าน”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มประสานมือค้อมศีรษะด้วยความอ่อนน้อม
“หึหึ พวกเราเป็นคนกันเองทั้งนั้น หลานเป่ยเฉินอย่าได้มากพิธี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เจ้าสร้างชื่อเสียงระบือไกล เปรียบเสมือนมังกรในกลุ่มผู้คน ผู้ลุงเห็นเจ้ามาตั้งแต่อายุ 3 ขวบระหว่างมาเยี่ยมบิดาของเจ้าที่จวนสกุลหลิน เวลาผ่านไปเพียงพริบตาเดียว คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเติบโตถึงเพียงนี้แล้ว”
เหลียวหวังซูยิ้มแย้มด้วยแววตาโล่งใจ
หืม?
เพื่อนพ่อเหรอวะเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาในทันที
เหลียวหวังซูผายมือไปทางหยิงอู๋จีที่ยืนอยู่ข้างกาย “นี่คือท่านอาหยิงของเจ้า เขาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่บิดาเจ้าในทุกๆ สมรภูมิ ไม่ว่าจะเป็นศึกเล็กศึกใหญ่ ล้วนแต่เคยฝ่าฟันกันมาแล้ว เขาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเช่นกัน”
หยิงอู๋จีพยักหน้าทักทายหลินเป่ยเฉินเล็กน้อย
ชายหนุ่มเหมือนถูกต้องคำสาปไม่ให้ยิ้มแย้ม รอยยิ้มที่แสนจืดจางจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างผิดธรรมชาติ ดูน่าตลกขบขันเป็นอย่างยิ่ง
“ส่วนมือปราบเหล่านี้ก็เป็นอดีตลูกน้องเก่าของบิดาเจ้าทั้งนั้น… ครั้งนี้เรามาลงพื้นที่สืบสวนคดีที่ว่าถังกู่จินเป็นสาวกปีศาจ จึงถือโอกาสเหมาะแวะมาเยี่ยมเยียนเจ้าสักหน่อย”
เหลียวหวังซูจบประโยคพร้อมกับยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
“สวัสดีท่านอาทุกท่าน…” หลินเป่ยเฉินยิ้มตอบกลับไป
แต่ลึกๆ ในใจแล้วเขาก็ว่ามันแปลกประหลาดชอบกล
บิดาของเขามีเพื่อนเก่าอยู่มากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าเป็นเพื่อนกันจริง ก่อนหน้านี้ตอนที่หลินเป่ยเฉินเกือบจะถูกจับตัวไปประหารชีวิต ทำไมไม่เห็นใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลยสักคน?
นับจากวันที่คฤหาสน์ประจำตำแหน่งขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ถูกยึดจวบจนถึงวันนี้ มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่บุคคลกลุ่มนี้กลับไม่เคยปรากฏตัวเลยสักครั้ง
แต่พอได้ข่าวว่าเขากำลังได้ดิบได้ดี ก็พร้อมใจเสนอหน้ากันมาอย่างพร้อมเพรียงเลยเชียวนะ
แต่อีกฝ่ายมีความอาวุโสมากกว่า หลินเป่ยเฉินจึงไม่สามารถทำตัวหยาบคายได้
หลินเป่ยเฉินกำลังจะเอ่ยปากเชิญผู้ตรวจการมณฑลคนใหม่และองครักษ์ประจำตัวเข้าไปด้านในตำหนักไม้ไผ่
ทว่าในทันใดนั้น หวังจงที่ยืนเงียบมาตลอดก็พูดขึ้นว่า “กราบเรียนใต้เท้าทั้งหลาย นายน้อยเพิ่งจัดงานเลี้ยงเสร็จลงไปขอรับ ข้าวของเครื่องใช้ในที่พักยังเก็บไม่เรียบร้อย บัดนี้คงไม่สะดวกที่จะต้อนรับแขก”
หลินเป่ยเฉินหันขวับไปมองหน้าหวังจงด้วยความประหลาดใจ
ตาเฒ่านี่ พูดออกมาแบบนี้ มีเจตนาไล่แขกแน่นอน
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอก ที่ข้ามาหาในวันนี้ ก็แค่มาเยี่ยมลูกเยี่ยมหลานตามประสาญาติผู้ใหญ่เท่านั้นเอง เห็นว่าไหนๆ ก็มาทำธุระในเมืองหยุนเมิ่งทั้งที จะไม่มาเยี่ยมหาเลยก็น่าเสียดายเกินไปหน่อย อีกอย่าง ผู้ลุงกับท่านอาหยิงของเจ้าได้เตรียมของขวัญมาให้ด้วย หวังว่าหลานเป่ยเฉินคงไม่ปฏิเสธ”
สีหน้าของเหลียวหวังซูบอกชัดถึงความจริงใจ
หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาวขึ้นมาในทันที
ของขวัญอย่างนั้นหรือ?
ไม่เอาของขวัญ แต่ขอเป็นเงินแทนได้ไหมเนี่ย?
แต่ว่าพวกขุนนางตำแหน่งสูงส่งเหล่านี้ คงต้องมอบของขวัญมูลค่าไม่ต่ำต้อยแน่ๆ บางที เขาก็น่าจะเอาของขวัญพวกนั้นไปขายแลกเป็นเงินมาได้เช่นกัน
“เชิญท่านลุงกับท่านอาทุกท่านเข้าด้านในก่อนขอรับ”
หลินเป่ยเฉินผายมือและออกเดินนำทาง
หวังจงร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้
ภายในห้องรับแขก
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินนำน้ำชามาบริการแขกด้วยความชดช้อย
“นอกจากเป็นผู้ชนะการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองแล้ว หลานเป่ยเฉินยังสามารถฉีกหน้ากากถังกู่จินให้ทุกคนได้เห็นธาตุแท้ของมันผู้นั้นอีกด้วย เรื่องนี้โด่งดังระบือไกลไปถึงนครหลวงเจาฮุย ทุกคนกำลังชื่นชมเจ้ายิ่งนัก”
เหลียวหวังซูยกน้ำชาขึ้นจิบและพูดด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจ “บิดาของเจ้าถูกใส่ความ ยังไม่ทันได้มีโอกาสแก้ต่างให้แก่ตนเองก็ต้องหลบหนีไปก่อน หากวาสนาของเขายังไม่สิ้น เมื่อรู้ว่าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนกลายเป็นยอดฝีมือถึงขั้นนี้ เขาคงต้องดีใจมากแน่ๆ”
หลินเป่ยเฉินรีบหัวเราะด้วยความถ่อมตัว “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกขอรับ”
ตาลุงยักษ์นี่ ไหนบอกว่ามีของขวัญมาให้กันไง รีบๆ เอาออกมาสักทีสิว้อย
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้ลุงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของบิดาเจ้าให้ได้ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีหลักฐานหนาแน่นเพียงพอ และเราก็ไม่มีบิดาเจ้าอยู่สู้คดี นี่คือยุคที่มีแต่ผู้คนชั่วช้ายึดครองอำนาจ… เฮ้อ พูดไปแล้วมันก็น่าเศร้าเหลือเกิน”
เหลียวหวังซูพูดได้เพียงเท่านั้นก็ส่ายหน้าด้วยความละอายใจ
หยิงอู๋จีกล่าวว่า “หลังจากที่เจ้าสั่งประหารถังกู่จิน ก็มีขุนนางในวังหลวงจำนวนไม่น้อยรู้สึกโกรธแค้นกับเรื่องนี้ และเพราะเห็นแก่ความปลอดภัยของเจ้า ใต้เท้าเหลียวจึงอาสารับตำแหน่งผู้ตรวจการมณฑลต่อจากถังกู่จิน และรีบเร่งมาที่เมืองหยุนเมิ่งพร้อมกับเจ้าหน้าที่มือปราบฝีมือดีจำนวนมาก เพราะอยากจะแน่ใจว่าไม่มีใครสามารถทำอะไรเจ้าได้”
“ถูกต้องแล้ว นับจากที่บิดาเจ้าหายตัวไป เจ้าก็ตกอยู่ในอันตรายจากรอบทิศทาง”
“ในอดีตมีมากมายหลายเหตุผลที่ทำให้พวกเราไม่สามารถมายังเมืองแห่งนี้ เพราะมันจะทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย มิฉะนั้นแล้ว ใต้เท้าเหลียวก็คงจะต้องรับเจ้าไปเลี้ยงดูแน่นอน…”
“หลานเป่ยเฉิน ที่ผ่านมาเจ้าคงต้องลำบากมากเลยสินะ”
บรรดาเจ้าหน้าที่มือปราบคนอื่นๆ เริ่มส่งเสียงพูดออกมาบ้าง
“เพียงท่านอาแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน หลานก็รู้สึกดีใจแล้วขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างเอียงอาย ก่อนจะคิดหาวิธีวกเข้าประเด็นอย่างสุภาพนุ่มนวลที่สุด “แต่อันที่จริงแล้วนั้น หลานไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใดเลยนอกจากเงินทอง ถ้าหากพวกท่านจะบริจาคเงินให้แก่หลานสักคนละหลายแสนเหรียญทองคำ ก็จะถือเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงเชียวขอรับ…”
กลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบเหล่านั้นขมวดคิ้วหน้ายุ่งขึ้นมาทันที
พวกเขาล้วนเคยได้ยินมานานแล้วว่าบุตรชายของขุนนางนักรบแห่งสวรรค์มักพูดในสิ่งที่หลายคนคิดไม่ถึงเสมอ แต่เมื่อได้มาพบเจอตัวจริง อาการของเด็กหนุ่มดูจะหนักกว่าในข่าวลือหลายเท่า
เงินหลายแสนเหรียญทองคำไม่ใช่พืชผักสวนครัวที่จะสามารถเด็ดมาได้ง่ายๆ สักหน่อย
“แหม หลานเป่ยเฉินช่างมีอารมณ์ขันนัก”
เหลียวหวังซูยิ้มเล็กน้อยและพูดต่อ “สถานะของพวกเราก็เหมือนบิดาเจ้าก่อนหน้านี้นั่นแหละ เป็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่ อยู่กันอย่างสมถะและมีความสุข ไม่เคยคดโกงผู้ใดเหมือนถังกู่จิน แล้วพวกเราจะไปเอาเงินเป็นแสนเหรียญพวกนั้นมาจากไหนกัน? ของขวัญที่ผู้ลุงนำมามอบให้เจ้าในวันนี้ ล้วนแต่เป็นของดีขึ้นชื่อจากหลากหลายเมืองในมณฑลเฟิงอวี่ อย่างเช่นอาหารและเสื้อผ้า ผู้ลุงเชื่อว่ามันจะต้องมีประโยชน์กับหลานอย่างแน่นอน…”
ว่าไงนะ?
เฮ้ย?
ไม่มีเงินอย่างนั้นหรือ?
สีหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปทันที
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้ค้นพบว่าของขวัญที่ขุนนางและเจ้าหน้าที่มือปราบกลุ่มนี้นำมาให้ ล้วนแต่เป็นอาหารและเสื้อผ้า กับภาพวาดคัดลายมืออีกสองสามแผ่นเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกไปทันที