ตอนที่ 362 พวกท่านหายหัวไปอยู่ที่ไหนกัน?
ดูเหมือนว่าของขวัญที่มีค่ามากที่สุดก็คงจะเป็นคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ระดับ 3 หรือ 4 ดาวที่มีอยู่ไม่กี่เล่ม แต่เขาไม่แน่ใจว่ามันจะมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เพราะตอนนี้ยังใช้พลังลมปราณไม่ได้เหมือนเดิม
คนพวกนี้เห็นเขาเป็นเด็กน้อยหรือยังไงกันนะ
“โอ๊ย อยู่ดีๆ หลานก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาแล้วขอรับ สงสัยเมื่อสักครู่นี้คงรับประทานมากเกินไป ร่างกายยังย่อยอาหารได้ไม่เต็มที่ หลานอยากพักผ่อน…”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาแตะขมับของตนเองแกล้งทำเป็นเวียนหัว “หวังจง ไอ้แก่หวังจง เจ้าหายหัวไปไหน? ยังไม่รีบมาส่งแขกอีก”
หวังจงปรากฏตัวขึ้นทันทีเหมือนวิญญาณไร้ตัวตน เขายืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่พูดออกมา “กราบเรียนแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน นายน้อยรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอเชิญกลับกันไปได้แล้วขอรับ”
เหลียวหวังซู หยิงอู๋จีและคนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว
นี่มันอะไรกัน?
เมื่อสักครู่นี้หลินเป่ยเฉินยังเป็นปกติดีอยู่เลย
นี่มันเสแสร้งแกล้งดัดชัดๆ
“หลานชายคงล้อเล่นแล้ว”
เหลียวหวังซูมีสีหน้าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
“ใครล้อเล่นกับท่านไม่ทราบ?” หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าแข็งกระด้างขึ้นมาในฉับพลัน “ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าถูกขับไล่ให้ออกไปจากเมืองนี้ พวกท่านหายหัวไปอยู่ที่ไหนกัน? ไม่เห็นมีใครเคยมาเยี่ยมเยียนข้าเลยสักคนเดียว?… โดยเฉพาะท่านนะ ผู้เฒ่าเคราขาว ดูจากสง่าราศีของท่านแล้วน่าจะมีตำแหน่งสูงส่งไม่ใช่น้อย เพราะเหตุใดถึงไม่รับข้าไปเลี้ยงดู? เห็นแก่ความปลอดภัยของข้าอย่างนั้นหรือ? ไม่ฟังดูแปลกประหลาดเกิดไปหน่อยหรือไร ท่านกลัวว่าข้าจะไม่ปลอดภัยหรือกลัวว่าตนเองจะต้องมีภาระเพิ่มขึ้นมากันแน่? ฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อพูดดีๆ ไม่ชอบ ก็คงต้องขอพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้วกันนะ ที่นี่ไม่ต้อนรับทุกท่านอีกต่อไป เชิญไสหัวกลับไปได้”
เด็กหนุ่มกล่าวประโยคทั้งหมดนี้ด้วยวาจาเผ็ดร้อน
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาอยากอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งต่อไป
เพราะเมื่อเหตุการณ์ฆาตกรรมถังกู่จินจบสิ้นลง หลินเป่ยเฉินก็รู้ชะตากรรมของตนเองทันทีว่าลูกน้องเก่าของผู้สังเกตการณ์มณฑลร่างผอมบางคนนั้นต้องอาฆาตแค้นเขาอย่างแน่นอน และคงไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยมากกว่าเมืองหยุนเมิ่งอีกแล้ว
ย้อนกลับไปที่ชะตากรรมของถังกู่จิน แน่นอนว่าผู้ตรวจการมณฑลร่างผอมไม่ได้หวังคร่าชีวิตเพียงหลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้น แต่เขาตั้งใจใส่ร้ายมือกระบี่รุ่นเยาว์อีกหลายคนให้เป็นสาวกปีศาจ เพื่อใช้ความดีความชอบทั้งหมดนี้เป็นบันไดไต่เต้าขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงมากกว่าเก่า
สำหรับในสายตาของถังกู่จิน หลินเป่ยเฉินไม่ต่างไปจากมดปลวกตัวเล็กตัวน้อยที่เขาจะเหยียบให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้
เพียงแต่ผู้ตรวจการมณฑลร่างผอมคงคิดไม่ถึงว่าตนเองจะโชคร้ายมากเกินไป ปรากฏว่าสิ่งที่เขาเหยียบย่ำไม่ใช่มดปลวก แต่กลับเป็นก้อนหินแหลมคมที่ทิ่มแทงเท้าของเขาจนถึงแก่ชีวิต…
หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าลูกน้องของถังกู่จินคงไม่ยอมปล่อยวางความแค้นได้ง่ายๆ
และเมื่อพูดถึงความยากลำบากในอดีตที่เด็กหนุ่มต้องพบเจอ
ขุนนางและเจ้าหน้าที่มือปราบซึ่งกำลังอยู่ในห้องรับแขกของตำหนักไม้ไผ่ในขณะนี้ ไม่เคยปรากฏตัวช่วยเหลือเขาเลยสักครั้ง
แม้แต่จดหมายสักฉบับก็ไม่มี
ทว่า พอถังกู่จินสิ้นชีวิต ทุกคนกลับปรากฏตัวขึ้นอย่างกระตือรือร้น มิหนำซ้ำยังเรียกขานเขาเป็นหลานรักที่ไม่ได้พบเจอกันนานอีกด้วย… ไม่ทราบว่าถ้าถังกู่จินยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะกล้าพูดแบบนี้หรือไม่
ขุนนางและเจ้าหน้าที่เหล่านี้มาเพื่อเยี่ยมเยียนเขาจริงๆ งั้นหรือ? หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า
หลินเป่ยเฉินเคยดูภาพยนตร์แนวจีนย้อนยุคมาแล้วหลายเรื่อง ยังไม่รวมถึงละครโทรทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับขุนนางวังหลวงอีกนับไม่ถ้วน เขารู้ว่าคนดีไม่เคยได้กินตำแหน่งเป็นขุนนางสูงส่งเลยสักคน เพราะคนดีไม่รู้จักการฉกฉวยผลประโยชน์ ไม่เหมือนกลุ่มคนที่กำลังปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้
แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าตั้งใจมาประจบประแจงเอาใจเขาชัดๆ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกรังเกียจบุคคลเหล่านี้อย่างที่สุด ถ้าทำได้ก็อยากรักษาระยะห่างให้อยู่ไกลมากที่สุด ไม่อยากจะเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยเลยแม้แต่น้อย
เขาอาจจะถูกมองว่าเป็นคนโง่
แต่เด็กหนุ่มไม่อยากเป็นเครื่องมือให้ใครใช้แสวงหาผลประโยชน์
ถึงแม้ว่าเหลียวหวังซูและพรรคพวกจะแสดงความรักและเอ็นดูต่อหลินเป่ยเฉิน แต่เขาไม่ได้ต้องการความรักเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
แค่นี้ชีวิตของเขาก็สุขสบายดีแล้ว
ขอแค่หลังจากนี้อย่ามีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นก็พอ
แผนการร้ายของถังกู่จินจบสิ้นลงไปแล้ว
ในมุมมองของหลินเป่ยเฉิน เหลียวหวังซูและพวกพ้องก็ไม่ได้ดีไปกว่าถังกู่จินสักเท่าไหร่ สุดท้ายพวกเขาก็เป็นเพียงขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่ต่างกัน
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงพูดออกมาโดยไม่เกรงใจอีกแล้ว
“หลานชายคงไม่เข้าใจว่าพวกเรามีอำนาจขนาดไหน ยิ่งมีพวกเราอยู่ข้างกาย เจ้าก็ยิ่งปลอดภัยมากกว่าเดิม”
เหลียวหวังซูไม่แสดงความโกรธ แต่กลับยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีและอธิบายด้วยความใจเย็นว่า “ความจริงแล้ว ที่ผู้ลุงมาที่นี่ก็เพราะว่ามีเรื่องหนึ่งอยากจะพูดคุยกับเจ้า พวกเราเคยเป็นลูกน้องเก่าของบิดาเจ้ามาก่อน แต่วันนี้น่าเสียดายที่บิดาเจ้าไม่อยู่แล้ว ขอเพียงเขาปรากฏตัวออกมาเท่านั้น สถานการณ์ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลงไปจากนี้…”
หลินเป่ยเฉินขัดขึ้นโดยไม่สนใจรักษามารยาท “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าไม่ทราบ?”
หยิงอู๋จีตอบว่า “พวกเราอยากให้เจ้าช่วยลงนามในจดหมายร้องขอการตามหาบิดาเจ้าอย่างเป็นทางการ เจ้าเป็นบุตรชายของเขา เรื่องนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากทางวังหลวงแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า “ตกลงว่าพวกท่านเห็นข้าเป็นเครื่องมือที่จะใช้ตามล่าบิดาสินะ… ช่างดูถูกกันเกินไปแล้ว”
ไม่ต้องพูดถึงว่าหลินเป่ยเฉินไม่มีความรู้สึกผูกพันอะไรเลยกับบิดา หรือต่อให้เขามีความรู้สึกจริง ก็ไม่มีทางปฏิบัติตามแผนการของเหลียวหวังซูเด็ดขาด
“พวกเราเลิกพูดจาเหลวไหลกันดีกว่า ข้าเหนื่อยแล้วอยากพักผ่อน ขอเชิญกลับกันไปได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินออกปากไล่แขกอีกครั้ง
สีหน้าของเหลียวหวังซูและพรรคพวกมิค่อยสู้ดีนัก
หยิงอู๋จีเลิกคิ้วขึ้นสูงและชักสีหน้าด้วยความเดือดดาล “เป่ยเฉิน เจ้าเป็นบุตรชายของเขา บัดนี้ก็เติบใหญ่จนมีอายุ 14 ปีแล้ว เหตุไฉนถึงไม่คิดปกป้องชื่อเสียงบิดาของเจ้าบ้าง? ไม่รู้หรืออย่างไรว่าบิดาเจ้าหายสาบสูญ ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร พวกเรามีเจตนาตามหาบิดาเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ให้ความร่วมมือ…”
เหลียวหวังซูยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้หยิงอู๋จีหยุดพูด
ชายชรารับหน้าที่กล่าวต่อพร้อมกับฝืนยิ้มเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าหลานเป่ยเฉินคงจะโกรธที่ก่อนหน้านี้พวกเราไม่เคยมาดูแลเจ้าเลย นับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้… วันนี้เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่เถิด พวกผู้ลุงไม่รบกวนแล้ว เมื่อเจ้าอารมณ์เย็นลงมากกว่านี้ สามารถไปตามหาผู้ลุงได้ที่สำนักงานบริหารภายในตลอดเวลา ก่อนที่จะมีการแข่งขันจตุรมิตรในเมืองหยุนเมิ่ง ผู้ลุงจะรอฟังข่าวจากเจ้าก็แล้วกัน”
พูดจบ เหลียวหวังซูก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตู
หยิงอู๋จีส่ายศีรษะ หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินอีกครั้งและเดินตามชายชราไป
“หลานชาย พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆ นะ”
“บิดาของเจ้ากำลังลำบาก ได้โปรดลองคิดดูให้ดีเถิด”
“ที่พวกอาทำแบบนี้ก็เพราะผลดีต่อตัวเจ้าเอง”
เมื่อเจ้าหน้าที่มือปราบคนอื่นๆ เห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่คิด พวกเขาก็มีสีหน้าหมดหวังและสลดหดหู่ ได้แต่วางห่อของขวัญทิ้งไว้บนโต๊ะและเดินออกไปในที่สุด
“อ่อ มีอีกอย่างที่ผู้ลุงลืมบอกเจ้า” เหลียวหวังซูเดินไปถึงประตูแล้วนึกขึ้นมาได้ จึงหันกลับมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ครั้งนี้เจ้าสังหารถังกู่จินกับไป๋ไห่ชิน ทำให้เหล่าคนใหญ่คนโตในวังหลวงรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่ผู้ลุงก็สั่งให้พวกเขายุติการสืบคดีทุกอย่างแล้ว รวมถึงเรื่องที่พบแท่นบูชาปีศาจในห้องใต้ดินจวนสกุลหลินด้วย แต่สำหรับกับความตายของไป๋ไห่ชิน เมืองไป๋หยุนโกรธแค้นเป็นอย่างมาก พวกเขาถึงกับส่งลูกศิษย์ฝีมือดีนามว่าเว่ยหมิงเฉินออกเดินทางมาเมื่อครึ่งเดือนก่อน ยิ่งเขารู้ข่าวการเสียชีวิตของอาจารย์ เขาก็ฝากคำพูดมาบอกแก่เจ้าว่า เจ้าตายแน่…”
หลินเป่ยเฉินได้รับฟังดังนั้น หัวใจกลับยังคงเยือกเย็นได้อย่างน่าประหลาด
เขาลงมือสังหารคนใหญ่คนโตขนาดนั้น ถ้าไม่เกิดผลกระทบตามมาเลยสิถึงจะแปลก
นี่คือเรื่องที่เด็กหนุ่มเตรียมตัวเตรียมใจรอรับอยู่แล้ว
แต่เขาก็ได้ยินเหลียวหวังซูพูดต่อไปว่า “หลานชายคงไม่เข้าใจความน่ากลัวของเว่ยหมิงเฉิน นอกจากเขาจะเป็นลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุนแล้ว ยังมีพรสวรรค์และระดับพลังสูงล้ำจนน่ากลัว ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขามีฝีมือเป็นรองเพียงพี่สาวเจ้าคนเดียวเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาเจตนาไม่แสดงพลังให้เกินหน้าเกินตาไป๋ไห่ชินผู้เป็นอาจารย์ต่างหาก ถ้าปล่อยให้เว่ยหมิงเฉินระเบิดพลังที่แท้จริงออกมา ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
หลินเป่ยเฉินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม
เขามีวิหารเทพกระบี่คอยหนุนหลังอยู่อย่างนี้ ดูซิว่าเว่ยหมิงเฉินจะกล้ามาหาเรื่องหรือไม่?
แต่ดูเหมือนเหลียวหวังซูจะอ่านใจเด็กหนุ่มได้จึงให้ข้อมูลเพิ่มเติม “แต่สถานะพิเศษของเว่ยหมิงเฉินก็คือ เขาเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ให้เป็นร่างทรงเทพเจ้าเช่นกัน เกรงว่าเรื่องนี้แม้แต่วิหารเทพกระบี่ประจำเมือง ก็คงช่วยเหลืออะไรเจ้าไม่ได้มากนัก”
พูดจบ ชายชราและผู้ติดตามก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ทิ้งให้หลินเป่ยเฉินยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น
กลืนน้ำลายเอื๊อก
เว่ยหมิงเฉินมีฝีมือแข็งแกร่งกว่าไป๋ไห่ชินและเป็นผู้ที่ถูกเลือกเหมือนกันอย่างนั้นหรือ?
เทพีกระบี่สมองเลอะเลือนหรืออย่างไร?
หรือเห็นใครหล่อไม่ได้ เป็นต้องยกตำแหน่งผู้ถูกที่เลือกให้หมด?
เฮ้อ
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า
ท่าทางชีวิตของเขาจะมีปัญหาอีกแล้วสิ
เว่ยหมิงเฉินเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา มีชาติกำเนิดสูงส่ง ระดับฝีมือสูงล้ำ ระดับพลังทัดเทียมฟ้าดิน เป็นอัจฉริยะในทุกด้าน และยังเป็นร่างทรงเทพเจ้าที่เทพีกระบี่เลือกมาด้วยตนเองอีกด้วย
นี่มันคุณสมบัติของพระเอกในนิยายไม่ใช่หรือไง?
หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อเลยว่าตนเองกำลังจะต้องเป็นศัตรูกับพระเอกที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้หายหัวไปอยู่ที่ไหนกัน