ตอนที่ 210 วิญญาณหลุดจากร่างแล้วหรือ
แม้เฝิงเยี่ยไป๋จะอยู่เมืองหลวง แต่การค้าที่เมืองหรู่หนานนั่น เรื่องสำคัญก็ยังต้องให้เขาตัดสินใจ จะให้เขาตัดสินใจก็ต้องให้คนส่งจดหมายวิ่งไปมาระหว่างสองที่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเสียเวลาแถมยังถูกจับผิดได้ง่าย ในใจจึงคิดจะทำการค้าที่เมืองหลวง เช่นนั้นแล้วก็จะมีเรื่องวุ่นวายน้อยลงและก็สะดวกขึ้น เพียงแต่การทำการค้าขายนั้นเขาก็ยังไม่สามารถทำเองได้ เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้จะเห็นเขามีอำนาจมากขึ้นโดยไม่สนใจและเข้ามายุ่ง ถึงตอนนั้นเกรงว่าร้านยังไม่ทันได้เปิด ก็ต้องปิดก่อนแล้ว
เรื่องนี้จะให้เหลียงอู๋เย่ว์ทำก็คงไม่ได้ เกรงว่าเขาก็คงถูกฮ่องเต้ส่งคนเฝ้าจับตาไว้แล้ว คนใดที่เกี่ยวข้องกับเขาล้วนใช้ไม่ได้ อย่างไรเสียก็ต้องหาคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา มือสังหารที่เขาซื้อกลับมาเหล่านั้น คิดว่าก็คงไม่ใช่คนที่จะมีความสามารถในการทำการค้าได้ หากจะต้องจัดการจริงๆ ก็คงมีแต่ตัวเอง จึงได้แต่ให้พวกเขาช่วยหาร้านค้า แล้วค่อยหาผู้ดูแลร้าน วันหลังบัญชีรายละเอียดต่างๆ ก็ต้องส่งมาให้เขาตรวจสอบตามเวลา อาจจะยุ่งยากไปสักหน่อย แต่อย่างไรเสียก็ดีกว่าวิ่งไปมาระหว่างเมืองหรู่หนานกับเมืองหลวง
ตอนที่ผู้ดูแลเคาะประตูนั้น เขากำลังคิดจะเรียกคนไปสั่งของเข้าร้านที่เมืองหหรู่หนาน เขาบอกให้เข้ามา แล้วเก็บสมุดบัญชีเข้าไปในลิ้นชักอย่างไม่รีบร้อน บนโต๊ะได้เปิดวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรแล้วถามเขาว่ามีเรื่องใด
ผู้ดูแลเหลือบมองบนโต๊ะของเขา แล้วพูดโดยไม่แสดงพิรุธว่า “พระชายากลับมาแล้ว ยังมีท่านหญิงและจวิ้นหม่า ตอนนี้รอท่านอยู่ที่โถงหน้าอยู่”
เฝิงเยี่ยไป๋ได้ยิน ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมา ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าจะเรียนระเบียบให้ดีอยู่เลย ต้องอดทนไม่เจอเขาตั้งเดือนหนึ่ง ไฉนถึงได้กลับมาเร็วเช่นนี้ ในใจเขาร้อนรนเหมือนปลาที่ดิ้นไปมา แต่พอคิดย้อนกลับมา ไฉนเว่ยหมิ่นและเหลียงอู๋เย่ว์ก็อยู่ คาดว่าคงเป็นเว่ยหมิ่นนั่นเข้าวังพาคนออกมา ไม่เช่นนั้น เฉินยางยังดีๆ อยู่ ไทเฮาจะปล่อยนางออกมาได้อย่างไร
ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่ครั้งนี้เจอเว่ยหมิ่นแล้วต้องชมนางเสียหน่อย เขากำลังคิดถึงภรรยาอยู่เลย นี่ก็ส่งมาให้เขาแล้ว ช่างเป็นแม่นางที่รู้ใจเสียจริง
หากเหลียงอู๋เย่ว์ไม่ถือว่าผ่านผู้หญิงมามากมายก็เป็นชายเจ้าชู้ที่ขึ้นชื่อแห่งเมืองหรู่หนาน หยอกเล่นกับแม่นางไม่เคยหน้าแดงเลย จูบแก้มอะไรนั่นไม่ต้องพูดถึง ยิ่งกว่านั้นเขาก็เคยทำมาแล้ว เพียงแต่เป็นเว่ยหมิ่นก็ไม่เหมือนกันเสียแล้ว ลูกผู้ชายบิดตัวไปมาเหมือนดั่งแม่นางเช่นนั้น แก้มข้างหนึ่งที่ถูกเว่ยหมิ่นจูบตอนเช้านั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังแดงไม่หาย เฉินยางเห็นแล้วก็ยังรู้สึกอายแทน
พวกเขาไม่พูด เฉินยางก็พอเดาได้บ้าง เพียงแค่รู้สึกประหลาดใจ เฝิงเยี่ยไป๋และเหลียงอู๋เย่ว์ไม่ใช่หลิวเซี่ยฮุ่ย[1]ที่สงบใจได้ โดยเฉพาะที่เมืองหรู่หนานนั้นก็มีชื่อเสียงนัก ข้างกายไม่เคยขาดผู้หญิง อย่างไรก็ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้เลย
บรรยากาศที่ห้องโถงนั้นประหลาดยิ่งนัก ตอนที่เฝิงเยี่ยไป๋มาถึง เฉินยางนั่งนิ่งสายตาสังเกตรอบๆ ทำท่าไม่สนเรื่องอื่น กลับมาดูที่เว่ยหมิ่นและเหลียงอู๋เย่ว์ ทั้งๆ ที่นั่งติดกัน แต่คนหนึ่งมองฟ้าอีกคนมองดิน ไม่เหมือนกับทะเลาะกัน แต่ก็อึดอัดน่าดู
น่าแปลกแล้ว วันนี้เกิดอะไรขึ้นหรือ
“พวกเขาสองคนเป็นอะไรหรือ” เขาขึ้นไปกุมมือเฉินยาง แล้วดึงนางมาอยู่ข้างๆ “วิญญาณหลุดจากร่างแล้วหรือ”
เฉินยางส่ายหน้าแล้วความงุนงง “ไม่รู้ ตั้งแต่ที่เจอกันก็หน้าแดง และก็ไม่ได้พูดอะไรเลย”
เฝิงเยี่ยไป๋รู้จักเหลียงอู๋เย่ว์เป็นอย่างดี เขาเป็นคนแสร้งเอาหน้า ไม่ชอบอยู่ในบ้าน ไม่มีอะไรก็ชอบไปที่หอนางโลม ไปหาแม่นาง ถึงกับค้างคืนที่หอนางโลมอยู่บ่อยๆ วันๆ ไม่อยู่บ้าน คนนอกดูแล้ว ก็คือคนที่ไม่เอาไหน จนถึงตอนหลัง บ้านของแม่นางได้ยินว่าเป็นเขาที่มาขอแต่งงานก็ปิดประตูแม้แต่แม่สื่อก็ไม่ให้เข้า
——
[1] หลิวเซี่ยฮุ่ย ชายในประวัติศาสตร์จีน เป็นที่กล่าวขานในเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษ กล่าวกันว่าสามารถควบคุมตัวเองได้แม้จะมีหญิงนั่งอยู่ในอ้อมกอด