คุณแม่ลั่วให้คนขับรถหยุดรถที่โรงพยาบาลกลาง เธอพาลั่วอิงลงไปและกำชับกับลั่วอิงว่า “หนูอย่าเพิ่งพูดอะไรนะลูก”

 

 

“ทำไมล่ะคะคุณย่า” ลั่วอิงไม่เข้าใจ ทำไมถึงไม่อนุญาตให้เธอพูด นี่คุณย่ากำลังสะกดรอยตามป้าหลิวอยู่เหรอ? แต่ประโยคหลังนี้ เธอไม่ได้พูดมันออกไป เดี๋ยวคุณแม่ลั่วจะพานโกรธเธอเอาได้

 

 

ตอนนี้คุณแม่ลั่วไม่มีเวลาอธิบายให้ลั่วอิงฟัง “เชื่อย่านะลูก เดี๋ยวย่าค่อยบอกหนูทีหลัง”

 

 

“ค่ะ” ลั่วอิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย แม้เธอจะไม่เข้าใจ แต่เธอก็อยากรู้ว่าตกลงแล้วคุณแม่ลั่วกำลังทำอะไรกันแน่ คุณแม่ลั่วจูงมือพาลั่วอิงเดินเข้าไปในโรงพยาบาล

 

 

เมื่อเห็นหวังหวาและป้าหลิวเดินเข้าไปในลิฟต์ คุณแม่ลั่วก็ไม่ได้รีบตามเข้าไป และพอเธอเห็นว่าลิฟต์หยุดอยู่ที่ชั้นสาม เธอถึงค่อยตามขึ้นไป

 

 

เมื่อเธอขึ้นมาถึงชั้นสาม เธอก็ไม่เห็นใครแล้ว แต่เธอก็ไม่กังวล หวังหวายังอยู่ที่ชั้นนี้ เธอค่อยๆ หาไปก็ได้ ต้องหาเจอจนได้แหละน่า

 

 

คุณแม่ลั่วตัดสินใจไม่โทรหาลั่วเซ่าเชิน เธออยากจะรู้ว่าพวกเขากำลังเล่นอะไรอยู่ เพราะโดยปกติแล้วลั่วเซ่าเชินก็จะมาส่งลั่วอิงไว้ที่บ้านของเธอ ดังนั้นคุณแม่ลั่วจึงไม่ได้เอะใจอะไรมากนัก แต่คราวนี้คำพูดของเมิ่งชิงซีทำให้เธอคิดตาม ‘ใช่ ธุระอะไร ต้องทำตั้งวันสองวัน แล้วไหนจะยังให้แม่บ้านมาส่งข้าวส่งน้ำถึงที่นี่อีก’

 

 

พวกเขาต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน คุณแม่ลั่วไม่แน่ใจว่าใครประสบอุบัติเหตุ แต่เธอจะไม่ยอมให้ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวรวมหัวกันปิดบังเธอ เธอจะต้องรู้ให้ได้ ดังนั้นมันจึงเกิดการสะกดรอยตามในครั้งนี้ขึ้น

 

 

คุณแม่ลั่วเดินผ่านหน้าห้องพักผู้ป่วยทีละห้อง เมื่อใดที่เธอเกิดความสงสัย เธอก็จะหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักผู้ป่วยครู่หนึ่ง โชคดีที่ตอนนี้ตรงโถงทางเดินไม่มีคน ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของคุณแม่ลั่ว

 

 

ลั่วอิงมองดูท่าทางแปลกๆ ของคุณแม่ลั่ว “คุณย่าจะทำอะไรกันแน่คะ” เป็นเพราะก่อนหน้านี้คุณแม่ลั่วบอกให้เธออยู่เงียบๆ ดังนั้นเสียงของลั่วอิงจึงไม่ได้ดังมาก แต่คุณแม่ลั่วก็ยังสะดุ้งตกใจจนถึงกับหวาดผวา

 

 

คุณแม่ลั่วตบอกเล็กน้อย ก่อนจะพาลั่วอิงมาที่ด้านข้างและตำหนิเธอ “ย่าเพิ่งห้ามไม่ให้หนูพูดไม่ใช่เหรอ ทำไมหนูถึงไม่ฟังย่าล่ะ”

 

 

ลั่วอิงรู้สึกน้อยใจ “คุณย่าจะทำอะไรล่ะคะ คุณย่าบอกหนูก็ได้ หนูจะช่วยคุณย่าเอง!”

 

 

คุณแม่ลั่วคิดว่าเธอยังเด็กอยู่ แม้ว่าจะพูดอะไรไป เธอก็คงไม่เข้าใจ คุณแม่ลั่วก็เลยไม่พูดกับเธอดีกว่า ปล่อยให้เธอเดินตามมาก็พอแล้ว ถ้ารู้ว่าลั่วอิงจะไม่เชื่อฟังแบบนี้ รู้อย่างนี้ให้เธอรออยู่ในรถดีกว่า

 

 

ทันใดนั้น ลั่วอิงก็พูดขัดจังหวะความคิดของคุณแม่ลั่ว “คุณย่ากำลังตามหาป้าหลิวอยู่เหรอคะ ป้าหลิวก็อยู่ตรงนั้นไงคะ” ลั่วอิงชี้ไปที่ห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังของคุณแม่ลั่ว เมื่อคุณแม่ลั่วหันกลับไป เธอก็เห็นว่าป้าหลิวเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยห้องนั้นพอดี

 

 

คุณแม่ลั่วพาลั่วอิงไปหลบตรงทางเลี้ยว เธอจำห้องที่ป้าหลิวเพิ่งเดินออกมาและรอคอยอย่างเงียบๆ เพื่อดูว่าลั่วเซ่าเชินอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า

 

 

หลังจากป้าหลิวออกมาได้ไม่นาน หวังหวาก็ตามออกมาด้วย จากนั้นก็ไม่มีใครออกมาแล้ว ลั่วอิงรอจนทนไม่ไหว “คุณย่าขา เราจะได้ทานข้าวกันเมื่อไรคะ”

 

 

คุณแม่ลั่วพาลั่วอิงออกมาโดยที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย และตอนนี้มันก็เป็นเวลากินข้าวแล้ว ท้องของลั่วอิงเริ่มประท้วง แต่เห็นได้ชัดว่าความสนใจของคุณแม่ลั่วยังอยู่ที่อื่น เธอจึงไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย

 

 

เมื่อมองดูหลานสาวที่ยืนหน้าบึ้งไม่สบอารมณ์อยู่ตรงนี้ คุณแม่ลั่วก็ตัดสินใจว่า ไม่ว่าลั่วเซ่าเชินจะอยู่ในนั้นหรือไม่ เธอก็จะเดินเข้าไปดู แล้วเธอก็จะได้รู้ทุกอย่างเสียที!

 

 

“หนูหิวแล้วเหรอ เดี๋ยวคุณย่าพาหนูไปดูก่อนว่าคุณพ่อคุณแม่อยู่แถวนี้ไหม แล้วเดี๋ยวคุณย่าจะพาหนูไปกินข้าวนะคะ”

 

 

“ค่ะ คุณย่า ทำไมคุณย่าถึงพูดว่าคุณพ่อกับคุณแม่อยู่ที่นี่ พวกเขาไม่ได้ป่วยนี่คะ” ลั่วอิงไม่เข้าใจ ในมุมมองของเธอ โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่อยู่ของผู้ป่วย ลั่วเซ่าเชินกับถังโจวโจวก็ไม่ได้ป่วยนี่ พวกเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

 

 

คุณแม่ลั่วขี้คร้านจะอธิบายให้ฟัง “เดี๋ยวเข้าไปดูก็รู้แล้วค่ะ” เธอจูงมือลั่วอิง คุณแม่ลั่วเดินเข้าไปใกล้กับห้องพักผู้ป่วยที่ป้าหลิวเพิ่งเดินออกมา ก่อนจะเปิดประตูและก้าวเข้าไปโดยที่ไม่ลังเลใจเลยสักนิด

 

 

ภายในห้องพักผู้ป่วยสีขาว ถังโจวโจวนั่งอยู่บนเตียงในชุดลายทางสีฟ้าสลับขาวของโรงพยาบาล บนเตียงมีโต๊ะง่ายๆ ตั้งอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะนั้นมีกระติกเก็บความร้อนและอาหารอีกสองสามอย่างวางอยู่ ในขณะที่คุณแม่ลั่วเดินเข้ามา ถังโจวโจวก็กำลังทานซุปอยู่

 

 

ส่วนลั่วเซ่าเชิน เขานั่งอยู่บนโซฟา ด้านหน้าของเขามีโต๊ะตัวเล็กๆ วางอยู่ บนโต๊ะนั้นก็มีอาหารวางอยู่หลายจาน วินาทีแรกที่ลั่วเซ่าเชินสังเกตเห็นว่าประตูห้องถูกเปิดออก เขาก็คิดว่าเป็นป้าหลิวที่เดินกลับเข้ามา แต่เมื่อเขาหันไปมองและตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็เห็นคุณแม่ลั่วกับลั่วอิง

 

 

 “แม่ครับ แม่มาได้ยังไง!” เมื่อถังโจวโจวได้ยินว่าคุณแม่ลั่วมา เธอก็ตกใจจนเผลอปล่อยช้อนที่อยู่ในมือ เมื่อเธอหันไปมอง เธอก็เห็นว่าเป็นคุณแม่ลั่วจริงๆ ซ้ำยังจับมือของลั่วอิงอยู่ด้วย ถังโจวโจวเอ่ยทักด้วยเสียงอ่อนแรง “คุณแม่ ลั่วอิง”

 

 

เมื่อลั่วอิงเห็นถังโจวโจวสวมชุดผู้ป่วย เธอก็สะบัดมือของคุณแม่ลั่วและวิ่งไปหาถังโจวโจวที่ข้างเตียง เธอจับมือของถังโจวโจวและพูดว่า “แม่โจวโจวขา คุณแม่ป่วยเหรอคะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ”

 

 

เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าถังโจวโจวหลบสายตา ความสงสัยที่มีอยู่ในใจก็ทะลักล้นออกมา คงไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกนะ

 

 

คุณแม่ลั่วยังไม่กระโตกกระตาก ก่อนจะยิ้มและเดินเข้าไปหาเธอ “โจวโจว ทำไมหนูไม่บอกแม่ว่าหนูป่วย ตอนนี้หนูอุ้มท้องอยู่นะ อาเชินนี่ก็จริงๆ เลย ไม่ยอมบอกแม่สักคำ” ถังโจวโจวไม่รู้จะตอบยังไง ถ้าคุณแม่ลั่วรู้ว่าเธอแท้งลูก ไม่รู้ว่าจะโกรธเธอขนาดไหน

 

 

ลั่วเซ่าเชินลุกขึ้นและพาคุณแม่ลั่วไปนั่งที่โซฟา “แม่ครับ ทำไมจู่ๆ แม่ถึงมาที่นี่ได้ แล้วก็ไม่บอกผมก่อน ผมจะได้ให้หวังหวาไปรับ”

 

 

ลั่วเซ่าเชินอยากจะเอาใจคุณแม่ลั่วก่อน เมื่อเขาเห็นท่าทางสบายๆ ของคุณแม่ลั่วแล้ว เขาก็คิดว่าเธอน่าจะยังไม่รู้ว่าถังโจวโจวแท้งลูก

 

 

คุณแม่ลั่วส่งเสียง ‘ฮึ!’ ออกมาเบาๆ “แม่น่ะเหรอ แม่ก็จะพาลั่วอิงกลับไปดูที่บ้านน่ะสิว่าพวกลูกเป็นอะไรกัน ใครจะไปรู้ล่ะว่าพอแม่ไปถึงหน้าบ้านของพวกลูก แม่ก็เห็นแม่บ้านของพวกลูกเดินออกมา จากนั้นแม่ก็สงสัยว่าหล่อนจะหอบหิ้วข้าวของไปไหนกัน ในเมื่อมันถึงเวลากินข้าวแล้ว แม่ก็เลยตามเธอมา นึกไม่ถึงเลยว่า…”

 

 

ลั่วเซ่าเชินไม่คิดเลยว่านั่นจะเป็นสาเหตุ ต้องโทษเขาเองที่คิดไม่รอบคอบ ใครจะไปรู้ล่ะว่าจู่ๆ คุณแม่ลั่วก็จะพาลั่วอิงกลับไปที่บ้าน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องนี้ เขาจะต้องคิดให้ได้ก่อนว่าเขาจะทำให้คุณแม่ลั่วออกไปจากที่นี่ก่อนได้อย่างไร

 

 

“แล้วนี่โจวโจวเป็นอะไร ทำไมถึงเข้าโรงพยาบาลล่ะ ลูกนี่ก็ไม่บอกแม่เลยนะ รู้อย่างนี้แม่จะได้ให้แม่นมจ้าวมาเฝ้าโจวโจว” สายตารักใคร่เอ็นดูของคุณแม่ลั่วทำเอาถังโจวโจวรู้สึกทนไม่ไหว เธอจึงทำได้แค่หัวเราะอย่างขมขื่น

 

 

“แม่ครับ โจวโจวเป็นหวัดเฉยๆ ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ผมอยู่ดูแลเธอก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกแม่นมจ้าวมาหรอก มันวุ่นวายเกินไปครับ” ลั่วเซ่าเชินปฏิเสธทันควัน คุณแม่ลั่วมองดูท่าทางที่อ่อนเพลียของถังโจวโจว จากนั้นก็มองดูลักษณะอาการอื่นๆ อีก เธอไม่เชื่อว่าถังโจวโจวจะเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา

 

 

“อาเชิน บอกแม่มาตามตรง โจวโจวเป็นอะไร”

 

 

เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วเซ่าเชินหลอกเธอ เธอก็เริ่มมีสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้น วันนี้เธอต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วคุณแม่ลั่วนึกถึงคำพูดลอยๆ ของเมิ่งชิงซี

 

 

“โจวโจวแท้งลูกแล้วใช่ไหม” ทันทีที่คุณแม่ลั่วพูดจบ และลั่วเซ่าเชินก็ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร ถังโจวโจวก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ เพียงเท่านี้คุณแม่ลั่วก็มั่นใจแล้ว “เด็กไม่อยู่แล้วจริงๆ เหรอ?!”

 

 

ลั่วเซ่าเชินได้แต่พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น เมื่อเขาเห็นว่าเรื่องนี้ปิดเอาไว้ไม่อยู่แล้ว “วันก่อนโจวโจวล้มที่ห้างสรรพสินค้า เธอก็เลยแท้งลูกครับ”

 

 

“อะไรนะ เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวานซืน? แต่ลูกกลับปิดแม่เอาไว้ตลอด อาเชิน แม่ยังเป็นแม่ของลูกอยู่หรือเปล่า” เมื่อคุณแม่ลั่วคิดว่าเด็กไม่อยู่แล้ว เธอก็รู้สึกเสียใจมาก อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเธอก็จะได้อุ้มหลานแล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับไม่เหลืออะไรเลย

 

 

คุณแม่ลั่วไม่สนใจด้วยซ้ำว่าถังโจวโจวไปทำอีท่าไหนถึงได้แท้งลูก เธอรู้แค่เพียงว่าหลานของเธอจากไปแล้ว เธอตะคอกใส่ถังโจวโจวเสียงดังว่า “เธอทำอะไรของเธอน่ะ! เด็กอยู่ในท้องของเธอแท้ๆ ทำไมเธอถึงต้องออกไปเดินที่ห้างฯ ด้วย”

 

 

เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ลั่วยิ่งพูดนานเข้าก็ยิ่งไม่น่าฟัง เขาจึงหยุดห้ามปรามเธอในทันที “แม่ครับ ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย โจวโจวเสียใจมามากแล้ว แม่ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ให้เธอได้พักก่อน”

 

 

คุณแม่ลั่วไม่สามารถสงบอารมณ์ลงได้ เมื่อเธอเห็นว่าถังโจวโจวไม่ตอบ เธอก็ยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้น “ถังโจวโจว เธอคิดจะทำอะไรกันแน่ กว่าจะตั้งท้องเด็กได้คนหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ นี่เพิ่งจะผ่านมากี่เดือนเอง เธอก็แท้งลูกซะแล้ว เธอตั้งใจจะทำให้ตระกูลลั่วของพวกเราไม่มีทายาทใช่ไหม!”

 

 

“แม่ครับ แม่กำลังพูดเหลวไหลอะไรอยู่” ลั่วเซ่าเชินมองดูคุณแม่ลั่วด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ถังโจวโจวเต็มใจให้ลูกจากไปอย่างนั้นเหรอ? นี่แม่กำลังพล่ามอะไรอยู่ จากคำพูดนั้นเขาคิดว่าคงไม่มีใครทนไหวได้หรอก

 

 

ถังโจวโจวเห็นว่าคุณแม่ลั่วโมโหมาก และคำพูดนั้นทำให้นึกถึงลูกที่เธอเพิ่งสูญเสียไป เธอก็ยิ่งเศร้าใจมากขึ้น เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าทางด้านนี้โกรธจนหน้าแดงก่ำ ทางด้านนั้นก็น้ำตาพรั่งพรู เขาจึงตัดสินใจลากคุณแม่ลั่วออกไปจากห้องพักผู้ป่วย

 

 

คุณแม่ลั่วยังไม่สาแก่ใจ แต่พละกำลังของเธอก็สู้ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ การขัดขืนจึงไม่เกิดผล เธอยังถูกลั่วเซ่าเชินลากออกไปจากห้องพักผู้ป่วยอยู่ดี

 

 

ลั่วอิงเห็นถังโจวโจวร้องไห้อย่างหนัก เมื่อครู่นี้เธอได้ยินจากคุณแม่ลั่วหมดแล้ว “แม่โจวโจวขา น้องที่อยู่ในท้องของคุณแม่ เขาไม่อยู่แล้วเหรอคะ”

 

 

ถังโจวโจวเห็นลั่วอิงจ้องเธอไม่วางตา รอคอยคำตอบของเธอ ถังโจวโจวสะอึกสะอื้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยายามสงบสติแล้วตอบออกมาว่า “ลั่วอิง เป็นเพราะแม่โจวโจวดูแลน้องไม่ดี น้องถึงได้จากเราไป”

 

 

ลั่วอิงก้มหน้าคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับถังโจวโจวว่า “แม่โจวโจวอย่าเสียใจไปเลยนะคะ ไม่มีน้องชายก็ยังมีหนูนะ หนูจะอยู่กับคุณแม่เอง”

 

 

เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วอิงเข้าใจง่ายแบบนี้ เธอก็ทั้งหัวเราะและร้องไห้ ชั่วขณะหนึ่ง เธอไม่รู้ว่าควรพูดอะไรถึงจะดี “ขอแค่ลั่วอิงเป็นเด็กดีแบบนี้ แม่โจวโจวก็ไม่เสียใจแล้วค่ะ”

 

 

ลั่วอิงเช็ดน้ำตาให้ถังโจวโจว มือเล็กๆ ของเธอจับมือของถังโจวโจวไว้แน่น ราวกับว่าเธอกำลังให้คำมั่นสัญญา “แม่โจวโจววางใจได้เลยนะคะ น้องจะต้องกลับมาหาเราอย่างแน่นอน”

 

 

คำพูดของเธอทำให้ถังโจวโจวประหลาดใจ ถังโจวโจวจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “หนูรู้ได้ยังไงคะว่าน้องจะกลับมา”

 

 

ลั่วอิงสับสนอยู่กับคำถามนี้ เธอฉุกคิดนิดหน่อย ก่อนจะตอบว่า “หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่ครอบครัวของเพื่อนหนูคนหนึ่งก็เป็นแบบนี้ เธอบอกว่าคุณแม่ของเธอป่วยและต้องอยู่ที่โรงพยาบาลสักพักหนึ่ง แล้วเธอก็ได้ยินว่าน้องของเธอไม่อยู่แล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นาน คุณแม่ของเธอก็มีน้องชายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”

 

 

เมื่อถังโจวโจวได้ฟังลั่วอิงพูดจนจบ เธอก็รู้ว่าลั่วอิงหมายถึงอะไร แต่เธอก็รู้อยู่แก่ใจ แม้ว่าหลังจากนี้เธอจะมีลูกอีกกี่คน ลูกๆ เหล่านั้นก็จะไม่ใช่ลูกคนนี้ที่เธอเพิ่งสูญเสียไป

 

 

“ใช่ค่ะ มันเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นตอนนี้แม่โจวโจวจะไม่เศร้าแล้ว แม่จะรอให้น้องกลับมาอยู่ในท้องของแม่อีกครั้งนะ” ถังโจวโจวเฝ้ารอจากก้นบึ้งของหัวใจว่าลูกจะกลับมาอีกครั้ง