ลั่วเซ่าเชินลากคุณแม่ลั่วออกมาจากห้องพักผู้ป่วย เมื่อเธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเอาแต่เดินตรงไปข้างหน้า เธอจึงร้องเสียงดังลั่นว่า “อาเชิน ปล่อยแม่เดี๋ยวนี้นะ! แม่เจ็บมือไปหมดแล้ว ลูกมีอะไรก็พูดมาเถอะ แม่รอฟังอยู่” 

 

 

เธอสลัดเท่าไรก็สลัดไม่หลุด ในที่สุดลั่วเซ่าเชินก็ปล่อยมือ และคุณแม่ลั่วก็เป็นอิสระจากกรงเล็บปีศาจของเขา 

 

 

คุณแม่ลั่วลูบข้อมือข้างที่ขึ้นรอยช้ำ ก่อนจะพูดด้วยความโมโหว่า “อาเชิน นี่ลูกทำบ้าอะไร ลูกยังคิดว่าแม่เป็นแม่ของลูกอยู่หรือเปล่า แม่จะเอ็ดจะว่าเธอไม่ได้เลยเหรอ” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินรู้สึกรำคาญใจที่เห็นว่าคุณแม่ลั่วเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของถังโจวโจว “แม่ครับ แม่อย่าพูดแบบนั้นอีกนะครับ แม่ไม่รู้สึกเหรอครับว่ามันน่าอายมากแค่ไหน” 

 

 

“น่าอายตรงไหน ก็เธอเป็นคนทำทุกอย่างพังเอง ทำไมแม่ถึงจะต่อว่าเธอไม่ได้” คุณแม่ลั่วไม่ได้รู้สึกว่าเธอทำผิดตรงไหน มันเป็นความรับผิดชอบของถังโจวโจวที่ดูแลรักษาลูกในท้องของตัวเองไม่ดี ทำไมตอนนี้เธอจะต่อว่าถังโจวโจวไม่ได้ ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ลั่วไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าเธอพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นแค่ไหน ซ้ำยังจะกล่าวหาว่าถังโจวโจวตั้งใจแท้งลูกอีก เขาพยายามเกลี้ยกล่อมต่อ “แม่ครับ โจวโจวเพิ่งแท้งลูก แค่นี้เธอก็เสียใจมากพอแล้ว นี่แม่กำลังสาดเกลือลงบนแผลของเธอนะครับ” 

 

 

คุณแม่ลั่วยังไม่ทันได้ตอกกลับ ลั่วเซ่าเชินก็พูดต่อ “คนธรรมดาเขาถือว่าเรื่องนี้มันสะเทือนใจมากนะครับ แล้วนี่แม่เป็นถึงแม่สามีของเธอ แต่ทำไมเธอถึงถูกต่อว่ารุนแรงยิ่งกว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเสียอีก” 

 

 

สิ่งที่ลั่วเซ่าเชินพูดมาทำให้คุณแม่ลั่วโกรธ เธอเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีมากที่สุด เธอจะปล่อยให้คำพูด ของลั่วเซ่าเชินมามีอิทธิพลเหนือเธอได้อย่างไร “เซ่าเชิน ลูกว่าอะไรนะ ลูกไม่เข้าข้างแม่ก็ช่าง แต่นี่ยังจะไปช่วยยายถังโจวโจวมาต่อว่าแม่อีก” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะเถียงกับคุณแม่ของเขาอีก ตอนนี้คุณแม่ลั่วเชื่อมั่นอย่างนั้นไปแล้ว แม้ว่าเขาจะพูดอีกสักเท่าไร เธอก็คงไม่ฟังอยู่ดี สู้เก็บน้ำลายเอาไว้ดีกว่า 

 

 

“เอาละ แม่ครับ ผมขี้เกียจพูดกับแม่แล้ว แม่จะคิดยังไงก็คิดไปเถอะ ตอนนี้เด็กก็ไม่อยู่แล้ว แม่พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ แม่กลับไปก่อนเถอะครับ” ลั่วเซ่าเชินนวดขมับที่ปวดตุบๆ และหันตัวเดินกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย 

 

 

คุณแม่ลั่วขยับปากบ่น เมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะสนทนากับเธออีกแม้แต่ประโยคเดียว “นี่เห็นได้ชัดเลยว่าลูกมีเมียแล้วลืมแม่! ดีจริงๆ ยายถังโจวโจว” คุณแม่ลั่วออกไปจากโรงพยาบาลด้วยความโกรธ 

 

 

เมื่อถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอก็รู้เลยว่าเขาทะเลาะกับคุณแม่ลั่วมาอีกแล้ว “เซ่าเชิน คุณแม่ล่ะคะ” 

 

 

“กลับไปแล้ว คุณยังกินข้าวไม่เสร็จเลย รีบกินต่อเถอะ ลั่วอิง แล้วลูกกินข้าวมาหรือยังครับ” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นสองแม่ลูก เขาก็ทิ้งเรื่องที่เขาทะเลาะกับคุณแม่ลั่วเอาไว้ข้างหลัง 

 

 

ลั่วอิงส่ายหน้า “คุณย่าพาหนูออกมาทั้งๆ ที่หนูยังไม่ได้ทานข้าวเลยค่ะ คุณพ่อ คุณพ่อขา หนูหิวมากเลยค่ะ” 

 

 

ทันทีที่ถังโจวโจวได้ยินว่าลั่วอิงหิว เธอก็รีบพูดกับลั่วเซ่าเชินว่า “คุณพาเธอออกไปทานข้าวเถอะค่ะ ฉันอยู่คนเดียวได้” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินฉุกคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบตกลง เขากำชับว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าเพิ่งลงจากเตียงล่ะ” 

 

 

“ค่ะ ถ้าฉันอยากได้อะไร ฉันจะรอจนกว่าคุณจะกลับมา” เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินทำราวกับว่าเธอเป็นเด็ก แจงทุกขั้นตอนอย่างละเอียด เธอก็พูดออกมาอย่างติดตลก 

 

 

ลั่วเซ่าเชินไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิด กันไว้ดีกว่าแก้ แล้วก็เหมือนว่าถังโจวโจวจะความจำสั้น เขากลัวว่าคุณแม่ลั่วจะกลับมาอีก ถึงตอนนั้นเธออาจจะต้องเสียใจมากกว่านี้ ลั่วเซ่าเชินไม่สามารถทำอะไรแม่ของเขาได้มากกว่านี้ เขาจึงได้แต่คอยประคับประคองทั้งสองฝ่ายอยู่ตรงกลางเท่านั้น 

 

 

แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณแม่ลั่วก็ไม่ยอมรับถังโจวโจวเสียที คุณแม่ลั่วมักจะมองเธอด้วยความอคติ ในขณะที่คุณพ่อลั่วเองก็อยู่ฝ่ายเดียวกับคุณแม่ลั่ว มันจึงเกิดปัญหาระหว่างแม่ผัวและลูกสะใภ้ขึ้นมา 

 

 

การที่ถังโจวโจวตั้งท้องในครั้งนี้ เปรียบเสมือนกาวใจที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอทั้งสองคน แต่เมื่อเด็กจากไปแล้ว ความขัดแย้งก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ลั่วเซ่าเชินดูออกว่าการที่คุณแม่ลั่วทักทายถังโจวโจวด้วยความห่วงใย นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอเห็นแก่เด็กที่อยู่ในท้องของถังโจวโจว 

 

 

ตอนนี้ในเมื่อเด็กไม่อยู่แล้ว เธอก็ไม่แม้แต่จะยับยั้งชั่งใจ แล้วยังโยนความผิดไปให้ถังโจวโจวอีกด้วย แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ชอบใจในสิ่งที่คุณแม่ลั่วทำ แต่เขาก็พูดอะไรไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่เพียงพาถังโจวโจวหนีไปให้ไกลจากคุณแม่ลั่วเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ทุกๆ ฝ่ายจะได้สบายใจขึ้น 

 

 

หลังจากลั่วเซ่าเชินพาลั่วอิงออกไปกินข้าว เพียงไม่นานคุณแม่ถังก็ถือกระติกเก็บความร้อนมาเยี่ยมถังโจวโจว เดิมทีคุณแม่ถังเอ่ยปากว่าจะขอดูแลถังโจวโจวเอง แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ยินยอม เขาบอกว่าเขาจะขอเป็นคนดูแลถังโจวโจวเอง เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าลูกสาวของเธอก็เห็นด้วย เธอจึงไม่ได้รบเร้าอะไรอีก 

 

 

แต่เมื่อคุณแม่ถังมีเวลาว่างก็มักจะนำอาหารที่ตั้งใจทำมาให้ถังโจวโจวกินบำรุงร่างกาย คราวนี้ถังโจวโจวได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเป็นอย่างมาก คุณแม่ถังกลัวว่าถังโจวโจวจะเก็บปมนี้ไว้ในใจ เธอก็เลยมาให้กำลังใจเป็นครั้งเป็นคราว จิตใจของถังโจวโจวจะได้รู้สึกปลอดโปร่ง 

 

 

เมื่อคุณแม่ถังเดินเข้ามา เธอก็พบว่ามีแค่ถังโจวโจวที่อยู่ในห้อง เธอวางของเอาไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เซ่าเชินล่ะ ทำไมเขาถึงไม่อยู่เป็นเพื่อนลูก” 

 

 

คุณแม่ถังหยิบชามน้ำซุปที่เธอตักเอาไว้แล้วออกมา จากนั้นเธอก็เลื่อนไปตรงหน้าถังโจวโจว 

 

 

“วันนี้แม่ตุ๋นซุปมาให้ลูกนะ รีบชิมสิ” 

 

 

“เซ่าเชินพาลั่วอิงออกไปกินข้าวค่ะ แม่คะ ป้าหลิวแกมาส่งข้าวให้หนูทุกวัน แม่ไม่ต้องลำบากทำมาหรอก หนูกินได้ไม่เท่าไรเอง” แม้ว่าถังโจวโจวจะพูดอย่างนี้ แต่เธอก็ยังตักน้ำซุปขึ้นมากินอยู่ดี 

 

 

“ป้าหลิวทำได้เหมือนแม่เหรอ” คุณแม่ถังรู้สึกว่าพอเด็กคนนี้มีสามีคอยให้ท้าย เธอก็ไม่ต้องการคุณแม่ของเธอเลย อีกทั้งยังหยิ่งผยองขึ้นมาอีก 

 

 

เมื่อถังโจวโจวเห็นท่าทางโกรธเคืองของคุณแม่ถัง แม้ในใจจะรู้ดีกว่าคุณแม่ถังไม่ได้ตำหนิเธอจริงจัง แต่เธอก็ยังควงแขนของคุณแม่ถังและแกว่งไปมา “หนูพูดเล่นค่ะแม่ แม่อย่าเก็บเอาไปคิดเลยนะ” 

 

 

“เอาละๆ รีบทานซุปเถอะ แม่จะโกรธลูกได้ยังไง แม่เป็นห่วงต่างหาก” คุณแม่ถังยอมทำทุกๆ อย่างเพื่อให้ลูกสาวของเธออยู่ดีมีความสุข 

 

 

เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าคุณแม่ถังกลับมายิ้มแย้มได้อีกครั้ง เธอก็ยิ้มให้คุณแม่ของเธออีกครั้ง ก่อนจะยกชามน้ำซุปขึ้นมาซด หลังจากที่ถังโจวโจวกินจนหมด เธอก็กินอะไรไม่ลงอีก คุณแม่ถังไม่ได้บังคับให้เธอกินต่ออีก ก่อนจะนำฝามาปิดให้เรียบร้อย และเตรียมรอกำชับให้ถังโจวโจวกินเข้าไปอีกในตอนบ่าย 

 

 

คุณแม่ถังให้ถังโจวโจวนั่งอยู่บนเตียง ก่อนจะไปขยับเก้าอี้มา และเอ่ยถามว่า “แล้วจู่ๆ ลั่วอิงมาได้ยังไงน่ะ” 

 

 

ถังโจวโจวถ่ายทอดเรื่องคุณแม่ลั่วให้เธอฟัง คุณแม่ถังโกรธจนตัวสั่น “นี่เธอคิดจะทำอะไร สภาพลูกตอนนี้ก็เป็นถึงขนาดนี้ เธอยังจะมาด่าลูกทำไมอีก นี่เธอยังเป็นแม่สามีของลูกอยู่หรือเปล่า ลูกสาวฉันทรมานจนตายแน่ที่แต่งเข้าตระกูลนี้” 

 

 

เมื่อก่อนด้วยเหตุผลของถังโจวโจว คุณแม่ถังจึงไม่อยากจะปะทะกับคุณแม่ลั่วโดยตรง แต่สิ่งที่คุณแม่ลั่วพูดมานั้นทำร้ายจิตใจกันมากเกินไป เธอใช้เพียงอารมณ์ตัดสินเท่านั้นหรอกหรือ พอโจวโจวท้อง เธอก็ยกให้เป็นลูกสะใภ้แสนรัก แต่พอแท้งลูก เธอก็ตราหน้าโจวโจวว่าเป็นนักโทษ อย่างนั้นใช่ไหม? 

 

 

โจวโจวไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตัวเองแท้งลูกสักหน่อย ทำไมถึงไม่ปลอบเธอเลยสักนิด แล้วยังจะมาโทษโจวโจวอีก ยายแก่คนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าพอเธอเล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ถังฟัง คุณแม่ถังก็ยิ่งเดือดดาล เธอจึงนึกเสียใจ ถ้าเธอรู้ว่าแม่จะเป็นแบบนี้ เธอไม่พูดมันออกมาหรอก เธอพลอยทำให้แม่กังวลใจไปด้วย “แม่อย่าโกรธไปเลยค่ะ หนูไม่ได้เก็บเอามาคิด หนูรู้ดีว่าแม่สามีของหนูเป็นคนยังไง ขอแค่เซ่าเชินยังดีกับหนูอยู่ก็พอ” 

 

 

ถังโจวโจวไม่ได้ขออะไรมาก ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินก็คิดถึงแต่เธอ ส่วนเธอกับลั่วอิงก็เข้ากันได้ดี แทบจะเหมือนแม่ลูกกันแท้ๆ แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว 

 

 

คุณแม่ถังรู้สึกว่าคุณแม่ลั่วชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ จริงอยู่ที่ตระกูลลั่วมีฐานะมากกว่าบ้านของเธอ แต่จะมาดูถูกคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร “โจวโจว ที่แม่ยอมทนได้ขนาดนี้ เพราะแม่เห็นแก่ลั่วเซ่าเชินที่ดีกับลูกนะ ไม่อย่างนั้นแม่ก็คงเอาเรื่องไปนานแล้ว” 

 

 

“แม่คะ แม่จะโมโหทำไมขนาดนั้น แม่ก็คิดซะว่าแม่ไม่ได้ยินก็แล้วกัน เธอเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ยังไงเราก็ทำอะไรเธอไม่ได้” ตอนนี้ถังโจวโจวย้ายออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลลั่วแล้ว เธอรู้สึกว่ามันดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน 

 

 

แต่เมื่อคิดดูให้ดี ความจริงแล้วความเจ็บปวดของคุณแม่ลั่วก็คงไม่น้อยไปกว่าเธอ เธอเฝ้ารอมาตั้งนานแสนนาน จู่ๆ ก็มาบอกว่าเด็กไม่อยู่แล้ว แน่นอนว่าเธอก็ต้องรู้สึกเศร้าใจ เพียงแต่ปฏิกิริยาของเธอที่แสดงออกมามันอาจจะรุนแรงเกินไปสักหน่อย ซึ่งถังโจวโจวก็สามารถเข้าใจได้ 

 

 

           เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าถังโจวโจวไม่ใส่ใจเอาความ เธอเองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก “โจวโจว แค่แม่เห็นว่าลูกยังอยู่ดีก็พอแล้ว” คุณแม่ถังกุมมือถังโจวโจว เธอรู้สึกได้ว่าลูกสาวดูผอมลงกว่าตอนที่เธอยังไม่ได้แต่งงานเสียอีก 

 

 

“หนูรู้ค่ะแม่ แม่ไม่ต้องกังวลนะคะ ตอนนี้หนูโอเคดี” ถังโจวโจวอยู่ดีมีความสุข อีกทั้งยังมีคนอีกมากมายที่เป็นห่วงเป็นใยเธอ เธอจึงไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยสักนิด 

 

 

ลั่วเซ่าเชินพาลั่วอิงกลับมาในไม่ช้า แล้วเขาก็เห็นว่าคุณแม่ถังนั่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วย “แม่ครับ มาแล้วเหรอครับ” ลั่วเซ่าเชินที่ได้พบกับคุณแม่ถังและคุณแม่ลั่วในวันนี้ น้ำเสียงของเขาก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คุณแม่ถังเป็นคนอ่อนโยนและอบอุ่น เธอมักจะปฏิบัติกับลั่วเซ่าเชินเช่นเดียวกันกับคนในครอบครัวของเธอเอง เธอไม่เคยทำให้เขาไม่สบายใจเลยสักครั้ง 

 

 

ในขณะที่คุณแม่ลั่วมักจะหาเรื่องมาให้เขาอยู่ตลอด ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ลั่วเซ่าเชินก็ไม่รู้ว่าเขาจะทนกับพฤติกรรมแบบนี้ของคุณแม่ลั่วได้อีกนานแค่ไหน 

 

 

“เซ่าเชิน อย่ามัวแต่ดูแลโจวโจวนะ ยังไงก็ต้องดูแลตัวเองด้วยเหมือนกัน” 

 

 

คุณแม่ถังไม่ได้โกรธลั่วเซ่าเชิน เธอสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน คุณแม่ลั่วก็คือคุณแม่ลั่ว ลั่วเซ่าเชินก็คือลั่วเซ่าเชิน เธอไม่สามารถนำทั้งสองคนมารวมกันได้ เดิมทีเธอก็พอใจลั่วเซ่าเชินมาก ดังนั้น เธอและคุณพ่อถังจึงยินยอมให้ถังโจวโจวแต่งงานกับเขา 

 

 

ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินดูแลลูกสาวของเธอได้เป็นอย่างดี คุณแม่ถังรู้สึกวางใจเป็นอย่างมาก นี่เป็นความจริงใจอย่างหนึ่งที่ลั่วเซ่าเชินแสดงออกมาให้เธอและคุณพ่อถังเห็น 

 

 

คุณแม่ถังโบกมือให้ลั่วอิง “ลั่วอิง ลืมคุณยายไปหรือยังคะ ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย” 

 

 

ลั่วอิงวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาคุณแม่ถัง เธอพูดอย่างออดอ้อนว่า “ไม่ลืมค่ะ คุณยาย ลั่วอิงคิดถึงคุณยายมาก ไม่ได้เจอกันตั้งนานแน่ะ” 

 

 

ปากเล็กๆ ของลั่วอิงขยับไปมา คำพูดของเธอหวานจับใจคนฟังเอามากๆ อย่างน้อยตอนนี้คุณแม่ถังก็มีความสุข “ปากหวานจริงๆ เลยนะเด็กคนนี้ ไม่รู้ว่าเหมือนใคร” 

 

 

“ก็ต้องเหมือนแม่โจวโจวสิคะ” ลั่วอิงพูดอย่างไม่ลังเลใจ 

 

 

คุณแม่ถังบีบดวงหน้าเล็กๆ ของเธอและส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่เหมือนเลย ตอนเด็กๆ แม่โจวโจวไม่ได้ฉลาดเหมือนหนู” 

 

 

ถังโจวโจวอายจนหน้าแดงก่ำ ‘แม่คะ มันจะดีเหรอคะ ที่แม่พูดถึงหนูแบบเสียๆ หายๆ ต่อหน้าลั่วอิงแบบนี้’ 

 

 

ลั่วอิงได้ยินคุณแม่ถังบอกว่าเธอไม่เหมือนถังโจวโจว แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองพูดเก่ง นั่นก็ไม่เหมือนลั่วเซ่าเชินเหมือนกัน และในความคิดเห็นของเธอ ลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่ใช่คนปากหวาน  

 

 

ลั่วอิงเริ่มสับสน “คุณยายขา ถ้าหนูไม่เหมือนแม่โจวโจว แล้วหนูจะเหมือนใครได้อีกล่ะคะ” 

 

 

เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าลั่วอิงตัดสินใจถามจนถึงที่สุด เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก ถ้าลากคุณแม่แท้ๆ ของลั่วอิงเข้ามาเกี่ยวข้องมันก็คงจะไม่ดี เธอจึงพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “คุณยายผิดเองค่ะ หนูเหมือนแม่โจวโจวมากที่สุด ตอนเด็กๆ เธอทั้งซนและร่าเริงเหมือนหนูเลย” 

 

 

“คุณยายขา หนูไม่ซนนะคะ หนูเป็นเด็กดี” ลั่วอิงโต้กลับในทันที 

 

 

คุณแม่ถังเผลอหลุดหัวเราะออกมา “จ้ะ หนูเป็นเด็กดีที่สุดเลย” เด็กนี่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอดจริงๆ แต่เมื่อเห็นว่าตัวเองสามารถผ่านคำถามของลั่วอิงไปได้แล้ว คุณแม่ถังก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก