“จิ่นซี… ”
เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีเขย่า ใบหน้าแสดงความร้อนใจเล็กน้อย
“เป็นข้าที่ทำผิดต่อเจ้า เชื่อข้า เรื่องในอดีตที่ติดค้างเจ้า แต่นี้ต่อไปข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าให้ดียิ่งขึ้น และจะจัดพิธีสมรสให้เจ้าอย่างสมเกียรติ”
จัดพิธีสมรสอย่างสมเกียรติ?
ในเวลานี้ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดจัดพิธีสมรสอย่างสมเกียรติจากปากเยี่ยโยวเหยา มันจะเป็นพิธีสมรสที่อลังการเพียงใด ถึงเวลานั้น… นางก็จะเข้าใจเอง พิธีสมรสที่สมเกียรตินั้น ใต้หล้านี้คงมีเพียงเยี่ยโยวเหยาผู้เดียวที่สามารถทำได้ และสิ่งที่นางจะได้รับก็คือพิธีสมรสที่อลังการที่สุดในใต้หล้า
“เยี่ยโยวเหยา แท้จริงแล้วหม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น ท่านอ๋อง… อย่าได้นำมาใส่พระทัยเลยเพคะ” ซูจิ่นซีพูดปลอบเยี่ยโยวเหยา
“พอเถิด ตรวจชีพจรให้ข้าหน่อย! ”เยี่ยโยวเหยาลูบผมซูจิ่นซีด้วยความรักใคร่อีกครั้ง “ข้าเชื่อมั่นในวิชาแพทย์ของเจ้า”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “หม่อมฉันคิดว่าเรียกหมอเทวดาหวามาจะปลอดภัยกว่าเพคะ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยเช่นกัน ใบหน้าแสดงออกอย่างอับจนปัญญา “จิ่นซี หากวันนี้เปลี่ยนเป็นผู้อื่น เจ้าจะทำเช่นไร? ”
“ผู้อื่น? ”
“ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง? ”
“…”
“เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้ากลายเป็นคนขาดความมั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ” เยี่ยโยวเหยาพูดพลางยื่นมือให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีไม่ได้ตรวจชีพจรให้เยี่ยโยวเหยาในทันที นางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของนางพลันสงบนิ่ง
ใช่ นางไม่มั่นใจในตนเองจริงๆ !
เพราะเป็นท่าน เยี่ยโยวเหยา! ทำให้ซูจิ่นซีไม่กล้าทำเรื่องเสี่ยงอันใด
“จิ่นซี ในอดีต วิชาแพทย์และวิชาพิษล้วนมาจากแขนงเดียวกัน แท้จริงแล้ว วิชาแพทย์ของเจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าหมอเทวดาหวาเลย! ”
ในแววตาซูจิ่นซีปรากฏความประหม่า
วันนี้หากเขาเป็นผู้อื่น ซูจิ่นซีจะเข้าไปตรวจดูอาการโดยไม่รีรอแม้แต่น้อย หลังจากนั้นก็เขียนเทียบยาทันที เช่นในอดีตที่นางเคยตรวจพระอาการให้ฮองเฮาจงเหมยจวงและเยี่ยเซิน ทั้งยังตรวจอาการป่วยให้มารดาของอาชีเมื่อหลายวันก่อน
ทว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าคือเยี่ยโยวเหยา เขาทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกว่านางไม่ได้มีความสามารถเท่าไรนัก ทั้งยังทำให้นางมักรู้สึกว่าตนเองเชี่ยวชาญวิชาพิษ สำหรับวิชาแพทย์นั้นกลับไม่กล้าทำอันใดโดยไม่ไตร่ตรอง
เยี่ยโยวเหยาส่งสายตาเป็นกำลังใจให้ซูจิ่นซี ซูจิ่นซีจึงค่อยๆ ยกมือขึ้นตรวจชีพจรให้เยี่ยโยวเหยา
หลังจากนั้นไม่นาน แววตาของซูจิ่นซีพลันเคร่งขรึม น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อย
“เยี่ยโยวเหยา ต่อไปหม่อมฉันขอห้ามไม่ให้ท่านออกแรงเดินกำลังภายในนะเพคะ”
เมื่อซูจิ่นซีแสดงท่าทีเช่นนี้ ทำให้เยี่ยโยวเหยาได้เห็นแววตาที่จริงจังกับการรักษาผู้ป่วย และท่าทางเคร่งขรึมที่ไม่ชอบให้ใครมารบกวนเมื่อนางทำการรักษา ซึ่งเป็นสิ่งที่เยี่ยโยวเหยาเคยเห็นมาหลายครั้ง
เยี่ยโยวเหยาจ้องมองซูจิ่นซีด้วยแววตาลึกซึ้ง และตอบกลับอย่างแผ่วเบา “ตกลง… ”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอย่างน้อยเจ็ดวัน ห้ามท่านอ๋องเดินออกจากตำหนักฝูอวิ๋นแม้แต่ก้าวเดียว”
“ตกลง… ”
“หม่อมฉันจะจัดยาให้ท่านอ๋อง ท่านอ๋องต้องดื่มยาให้ตรงเวลานะเพคะ”
“ตกลง… ”
“ยังมี… ”
ซูจิ่นซีตรวจชีพจรให้เยี่ยโยวเหยาอย่างจริงจัง นางสนใจอยู่กับอาการบาดเจ็บของเยี่ยโยวเหยา ก้มหน้าก้มตาด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง โดยไม่ได้สนใจสีหน้าของเยี่ยโยวเหยาว่าเป็นเช่นไร ทันทีที่ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นจึงพบว่าในเวลานี้ ดวงตาดำขลับเย็นชาของเขากำลังมองนางด้วยความลึกซึ้ง
เขาจ้องมองนางอย่างเงียบงัน ทว่านัยน์ตากลับหนักแน่นดั่งหินผา จ้องอยู่เช่นนั้นโดยไม่ละสายตา
เมื่อซูจิ่นซีสบตาเข้ากับใบหน้าของเขา ภายในใจพลันเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด บริเวณแก้มไปจนถึงลำคอขาวนวลของนางกลายเป็นสีแดงระเรื่อ
เยี่ยโยวเหยารั้งซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง
ซูจิ่นซีรู้สึกประหม่า นางรีบผลักเยี่ยโยวเหยาและพูดว่า “เยี่ยโยวเหยา เวลานี้ก็ดึกมาแล้ว หม่อมฉัน… ทูลลาเพคะ”
“อยู่กับข้าก่อน! ”
ซูจิ่นซีตกตะลึง
“ท่านอ๋องบาดเจ็บ ทั้งยังมีหมุดกร่อนรักที่ยังไม่… ”
“ร่างกายของข้า ข้าย่อมเข้าใจดี! ”
“ไม่ได้เพคะ! ” ซูจิ่นซีรีบปฏิเสธ พลางใช้สองมือผลักอกเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาผ่อนลมหายใจหนักหน่วง ก่อนจะใช้น้ำเสียงอ่อนโยนพูดข้างหูซูจิ่นซี “ทว่า… ข้าแทบจะทนรอไม่ไหวแล้ว ”
ซูจิ่นซีสั่นเทาด้วยความตกใจ แก้มของนางแดงยิ่งกว่าสีปูต้มสุก ทั้งยังเขินอายอย่างมาก นางใช้แรงผลักเยี่ยโยวเหยา พยายามจะลุกขึ้นจากการโอบกอดของเขา
ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่มีทางให้โอกาสนั้นกับซูจิ่นซี
เขาออกแรงทั้งสองมือ โอบกอดและพลิกร่างของนางขึ้นบนเตียง จากนั้นจึงดันนางเข้าไปด้านใน
“อ๋า… ”
ซูจิ่นซีตกใจยิ่งนัก ทว่าออกเสียงได้เพียงครึ่งเดียว ดวงตาของนางพลันเบิกตากว้างและเม้มริมฝีปากแน่น
เนื่องจากตอนนี้นางกับเยี่ยโยวเหยากำลังเผชิญหน้ากันอย่างใกล้ชิด จมูกแทบชนกัน ริมฝีปากห่างกันเพียงนิดเดียว หากไม่ระวังนางคงจุมพิตเยี่ยโยวเหยาแน่นอน
เดิมทีทั้งอากัปกิริยาและระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ดูล่อแหลมอยู่แล้ว ในเวลานี้ยิ่งล่อแหลมมากขึ้นไปอีก ซูจิ่นซีไม่กล้าอวดดีอีกต่อไป
แต่ไหนแต่ไรมา ซูจิ่นซีไม่เคยแนบชิดกับเยี่ยโยวเหยาเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่เคยมองเยี่ยโยวเหยาอย่างใกล้ชิดภายใต้อารมณ์พลุ่งพล่านเช่นนี้ หัวใจของนางเต้นรัวจนแทบจะกลั้นหายใจ
ซูจิ่นซีหลับตาปี๋ด้วยสัญชาตญาณ
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาพลันยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นนั่งและถอดรองเท้าให้ซูจิ่นซีด้วยความระมัดระวัง
ทันทีที่มือของเยี่ยโยวเหยาสัมผัสโดนขาซูจิ่นซี ร่างกายของซูจิ่นซีพลันสั่นเทาเล็กน้อย นางกลั้นลมหายใจ นอนตัวแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้
รอจนเยี่ยโยวเหยาถอดรองเท้าของนางเรียบร้อยแล้ว ซูจิ่นซีก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะขยับเขยื้อน ยิ่งไม่กล้าลืมตา ทำเพียงครุ่นคิดว่าควรรับมืออย่างไรกับการกระทำลำดับถัดไปของเยี่ยโยวเหยา ทว่าเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ได้ทำอันใด
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีรู้สึกว่าเยี่ยโยวเหยาห่มผ้าให้นาง ทั้งยังลงมานอนที่ข้างกาย ทำให้ร่างกายของนางสั่นเทาอีกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้
จากนั้นจึงมีเสียงหัวเราะแผ่วเบาและน้ำเสียงอ่อนโยนแกมอับจนหนทางของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้นที่ข้างหู “ซีซี… ท่าทางพลอดรักของเจ้า… ช่าง… มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสียจริง”
อะไรนะ?
ซูจิ่นซีลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าสิ่งที่เห็นคือรอยยิ้มยียวนของเยี่ยโยวเหยา นางจึงขยับตัวลงไปนอนบนเตียงและหลับตาวางมาดราวกับว่า ‘อย่ามายุ่งเชียว มิฉะนั้นท่านต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ที่ตามมา’
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วจนเป็นเกลียว ทว่าสุดท้ายนางกลับแอบทอดถอนใจอย่างอับจนหนทาง พลางยอมรับเคราะห์ ‘เฝ้ารอการพลอดรักจากท่านอ๋อง’
นางเข้าใจดี ในเวลานี้ร่างกายของเยี่ยโยวเหยาเปรียบดั่งไฟลุกโชน หากนางหยดน้ำมันลงไปเพียงหยดเดียว เกรงว่านางคงต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมา
ดังนั้นซูจิ่นซีจึงขยับร่างกายด้วยความระมัดระวัง ให้ตัวของนางแนบชิดผนังเตียงด้านใน เพื่อสร้างระยะห่างระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยา ก่อนจะนอนหลับตาลงอีกครั้ง
ภายใต้แสงจันทร์และดวงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า แสงเทียนในตำหนักพลิ้วไหวไปมา ซูจิ่นซีค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทราจนลมหายใจสงบราบเรียบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาลืมตาขึ้นและพลิกตัวอย่างระมัดระวัง เขามองใบหน้าซูจิ่นซีพลางยกยิ้มมุมปากด้วยความสุขใจ