เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าสว่างเล็กน้อย
“อ๋า… ”
ทันใดนั้น เสียงร้องดั่งหมูถูกเชือดก็ดังขึ้นที่ตำหนักฝูอวิ๋น
แม่นมฮวากับลวี่หลีที่กำลังยกอ่างล้างหน้าและเตรียมสางผมให้ซูจิ่นซี เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูและได้ยินเสียงนั้น ใบหน้าของพวกเขาพลันขาวซีด
ลวี่หลีมีท่าทีเป็นกังวล นางมองไปทางเสียงเมื่อครู่ที่ดังมาจากด้านในตำหนักฝูอวิ๋น
แม่นมฮวาตกตะลึงครู่หนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มที่มองเห็นไม่ชัดนัก ก่อนจะส่ายศีรษะด้วยสีหน้าจำยอม
“ท่านอ๋องนี่จริงๆ เลย ดื่มด่ำอยู่กับพระชายามาตั้งนานแล้ว ยัง… ไม่รู้จักผ่อนแรงเสียบ้าง”
“หา? ”
ลวี่หลีไม่ได้คิดเหมือนที่แม่นมฮวาคิด เมื่อได้ยินคำพูดของแม่นมฮวา จึงมองแม่นมฮวาด้วยใบหน้าซีดเผือดและถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แหะ แหะ! ”
แม่นมฮวาแย้มยิ้มให้ลวี่หลี จากนั้นจึงตบไหล่นางเบาๆ “เด็กน้อย เจ้ายังเล็กไร้เดียงสา ไม่เข้าใจอันใด รอเจ้าออกเรือนไปแล้วจะเข้าใจเอง แม่นมเคยผ่านมาก่อน… ใช่ เคยผ่านมาก่อน! ”
แม่นมฮวาพูดพลางหันหลังเดินไปทางเรือนอวิ๋นไค
ลวี่หลีเห็นแม่นมฮวาเดินไป ใบหน้าไร้เดียงสาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดจนหน้ามุ่ย
ทันใดนั้น แม่นมฮวาก็หันศีรษะกลับมาพูดกับลวี่หลีว่า “นางหนู ยืนบื้อทำอันใด? ยังไม่ตามมาอีก? ”
“ไป? ” ลวี่หลีตกตะลึง ก้มมองอ่างล้างหน้า “แต่ของพวกนี้… ”
แม้แม่นมฮวาจะพยายามปกปิดความรู้สึก ทว่าใบหน้าของนางไม่สามารถปกปิดความปลาบปลื้มในใจได้ “ไม่มีแต่ ท่านอ๋องกับพระชายาคงไม่ต้องใช้ของเหล่านี้ชั่วคราว อย่ามัวยืนโง่อยู่ตรงนั้น อาจทำให้ท่านอ๋องกับพระชายาเสียการใหญ่ได้! ”
“งานใหญ่? ” ใบหน้าลวี่หลียิ่งสับสน
“ยังมีพวกเจ้าอีก ยืนโง่ทำอันใด ยืนมาทั้งคืนแล้ว กลับไปได้แล้ว! ”
แม่นมฮวาออกคำสั่งกับองครักษ์จำนวนหนึ่งที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักฝูอวิ๋น
แม้แม่นมฮวาจะเป็นบ่าวรับใช้ ทว่าอำนาจของนางในเรือนชิงโยวและน้ำหนักของนางในใจเยี่ยโยวเหยากลับมีอยู่ไม่น้อย คำสั่งที่กล่าวออกมา เมื่อเหล่าองครักษ์ได้ยินแล้วต้องฟังอยู่บ้างตามสมควร อีกอย่าง เสียงที่ดังออกมาจากตำหนักฝูอวิ๋นเมื่อครู่ ไม่ได้เป็นเหมือนกับที่แม่นมฮวาคิด
ครู่เดียว คนทั้งหมดก็เดินออกไปทันที
แม่นมฮวาแย้มยิ้ม ในความคิดปรากฏภาพคนทั้งสองในตำหนักฝูอวิ๋นกำลังทำกิจกรรมกัน จากนั้นจึงเงยหน้ามองไปทางทิศตะวันออก นางมองดวงอาทิตย์ทอแสงในยามรุ่งอรุณ พลางพูดกับตนเองในใจ
‘ตามประสบการณ์ของนางที่ปรนนิบัติในวังหลวงมาหลายปี วิเคราะห์จากเสียงของพระชายาเมื่อครู่… เกรงว่าก่อนยามอู่ พระชายากับท่านอ๋องคงจะลุกไม่ไหวอย่างแน่นอน’
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ แม่นมฮวาก็ไม่สามารถปกปิดความดีใจบนใบหน้าได้ จากนั้นจึงรีบเดินไปทางโรงครัวทันที
นางต้องเตรียมน้ำแกงให้พระชายาบำรุงร่างกาย! ถือโอกาสตอนที่ท่านอ๋องกำลังพลอดรักอยู่กับพระชายาอย่างมีความสุข ทำให้พระชายาทรงพระครรภ์ถึงจะถูกต้อง
รอจนภายในเรือนเหลือลวี่หลีเพียงผู้เดียว ลวี่หลียังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ใบหน้าของนางซีดขาว จิตใจเป็นกังวล
เดิมทีลวี่หลีได้ยินเสียงเมื่อครู่ก็ตกใจจนเสียอาการไม่น้อย ทว่าไม่นานก็ตั้งสติได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อปล่อยให้แม่นมฮวาพูดพร่ำมากมาย ลวี่หลีที่ยังเป็นเด็กไร้เดียงสาจึงตกใจไม่น้อย
เช่นคำพูดที่ว่าท่านอ๋องพลอดรักกับพระชายาก็ดี รอจนกว่าเจ้าออกเรือนไปก็จะรู้เองก็ดี… เวลานี้เมื่อหวนนึกถึงเสียงร้องของพระชายา ลวี่หลีพลันขนลุกซู่
ออกเรือน???
ไม่เอาแล้ว! ไม่ออกเรือนอย่างแน่นอน!!!
ลวี่หลีฟังคำพูดของแม่นมฮวาจนหวาดกลัวการออกเรือนเสียแล้ว
แท้จริง ภายในตำหนักฝูอวิ๋นเกิดเหตุการณ์นี้…
เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าลอดผ่านม่านหน้าต่างที่บางดั่งปีกจักจั่นเข้ามาภายในตำหนักและตกกระทบลงบนใบหน้าของคนทั้งสอง ซูจิ่นซีค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาที่แนบชิดใบหน้านาง
เมื่อมองคนทั้งสองอย่างละเอียด พบว่าซูจิ่นซีนอนม้วนขดเป็นปลาหมึก ขาของนางพาดไปบนร่างของเยี่ยโยวเหยา มือทั้งสองยังกอดเกี่ยวลำคอของเขาอีกด้วย สองเท้าพันอยู่กับขาของเยี่ยโยวเหยา ร่างของทั้งสองแนบชิดติดกันจนไม่มีช่องว่าง
ทว่าสิ่งที่น่าตกตะลึงคือ เยี่ยโยวเหยาตื่นก่อนนาง เวลานี้ดวงตาดำขลับของเขากำลังจ้องมาที่นาง
เมื่อดวงตาทั้งสี่สบกัน ภายในใจของซูจิ่นซีรู้สึกราวกับถูกฟาดด้วยอสนีบาต
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็พูดว่า “ชายาที่รัก…เก่งมาก! ”
“อ๋า… ”
ซูจิ่นซีตกใจเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต แขนขาหมุนวนร้อยแปดสิบองศา เป็นท่วงท่าที่คนปกติไม่สามารถทำได้ นางล้มเกลือกกลิ้งกับพื้นหลายตลบจนกระแทกเข้ากับเสาต้นหนึ่งในห้องบรรทม
“ชายาที่รักคิดจะทำอันใด? ”
แววตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความรักใคร่และเอ็นดู เขานั่งบนเตียงมองซูจิ่นซีด้วยความสนใจ
เสื้อคลุมทำจากไหมแท้สีดำให้ความรู้สึกดีเมื่อสัมผัส เส้นผมดำยาวพลิ้วไหวอยู่ด้านหลังช่างดูนุ่มนวลยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใบหน้าหล่อเหลาคมสันนั้น
ซูจิ่นซีตกตะลึงไปชั่วครู่ ทันใดนั้นนางก็สบถด่าตนเองในใจ ‘นางบ้า’ เวลานี้ยังมัวหลงใหลในความหล่อเหลาอีกหรือ จากนั้นนางจึงตั้งสติรีบสำรวจเสื้อผ้าของตนด้วยท่าทีลนลาน
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเสื้อผ้าของนางกับเยี่ยโยวเหยายังคงอยู่เรียบร้อยปกติดี จึงวางใจมองเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “พระชายาที่รัก เจ้ากำลังทำอันใด? หรือว่า… รังเกียจที่เตียงของข้าเล็กเกินไป? ”
“แหะ แหะ!” ซูจิ่นซีฉีกยิ้มด้วยใบหน้าสดใส “ไม่… ไม่มีอันใดเพคะ หม่อมฉันเพียงฝันร้ายเท่านั้น”
“ฝันร้ายหรือ? เจ้านอนกับข้าอยู่ดีๆ เหตุใดถึงฝันร้ายได้? เช่นนั้น… เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ เมื่อพูดออกมา มันก็ไม่ใช่ฝันร้ายอีกต่อไป! ”
เยี่ยโยวเหยาพูดพลางตบที่นั่งด้านข้างตนเองเบาๆ ความหมายชัดเจนยิ่งนักว่าเขาต้องการให้ซูจิ่นซีไปนอนอีกครั้ง
แก้มของซูจิ่นซีแดงระเรื่อ ทันใดนั้นนางก็เหลือบไปมองแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาภายในห้อง “เยี่ยโยวเหยาสายมากแล้วเพคะ ท่านควรตื่นได้แล้ว จิ่วหรงยังรอท่านอยู่ที่เรือนรับรองด้านนอกเพื่อมาดูพระอาการของท่าน”
ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับแสดงท่าทีราวกับไม่ได้ยินคำพูดของซูจิ่นซี “ซูจิ่นซี เจ้ายังไม่เข้ามาอีก? ”
เข้า… เข้าไปหา?
ใครจะไปขึ้นเตียงนอนของบุรุษอีกครั้งกัน?
นางไม่มีทาง!
ซูจิ่นซีมองรองเท้าของตนที่วางอยู่ข้างเตียง พลางครุ่นคิดว่าจะนำมันกลับมาอย่างไรและจะรับมือกับเยี่ยโยวเหยาอย่างไร จากนั้นค่อยออกไปจากห้อง ทว่ายังไม่ทันได้ทำอันใด เยี่ยโยวเหยาก็ลุกจากเตียงเดินมาหานาง
“หากเจ้าไม่ต้องการมาหา ข้าจะไปหาเจ้าเอง! จิตใจของเราสองเป็นของกันและกันแล้ว จิ่นซี ข้าเป็นของเจ้าแล้ว เจ้ายังเขินอายที่ต้องนั่งบนเตียงนอนเดียวกับข้าอีกหรือ? ”
เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย เยี่ยโยวเหยาก็เดินมาถึงเบื้องหน้าของซูจิ่นซีแล้ว เข้าก้มหน้าลงมาหานาง
คำพูดที่ฟังรักใคร่สนิทสนมและลมหายใจที่เยือกเย็นนั้นปรากฏอยู่เบื้องหน้าของซูจิ่นซี
แก้มและใบหูของซูจิ่นซีแดงก่ำ นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร รู้สึกอับจนหนทางทำอันใดไม่ถูก
เมื่อเยี่ยโยวเหยาเห็นท่าทางเช่นนี้ของซูจิ่นซี มุมปากพลันยกยิ้มด้วยความรักใคร่เอ็นดู ก่อนจะอุ้มซูจิ่นซีขึ้นและเดินไปที่เตียง