“เยี่ยโยวเหยา… ”
ซูจิ่นซีต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับส่งสายตาดุดันเย็นชา ซูจิ่นซีจึงปิดปากแต่โดยดี ยินยอมให้เยี่ยโยวเหยาวางนางลงบนเตียง
หลังจากนั้นเยี่ยโยวเหยาก็นอนลงข้างซูจิ่นซี เขารั้งตัวซูจิ่นซีเข้าหาอย่างแผ่วเบา ซูจิ่นซีก็ทำตัวฉลาดน่ารักเหมือนแมว ถูกดึงไปอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา
บุรุษผู้นี้คิดจะทำอันใด? นี่ก็สายมากแล้ว ยังไม่คิดจะตื่นนอนอีกหรือ?
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังสับสนอยู่นั้น เยี่ยโยวเหยาที่นอนหลับตาอยู่ก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “หากไม่ต้องการให้ทุกคนในจวนเข้าใจผิดที่เจ้าตะโกนออกมาเมื่อครู่นี้ ก็นอนเป็นเพื่อนข้าแต่โดยดี อาการบาดเจ็บของข้าเป็นหนักขึ้น วันนี้ยิ่งรู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยสบายนัก ตอนนี้ข้ายังไม่อยากตื่นนอน”
เข้าใจผิด?
เข้าใจผิดอันใด? ซูจิ่นซีไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้เลย!
อีกอย่าง หากนอนจนตื่นสายจะยิ่งทำให้คนอื่นเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ?
บุรุษผู้นี้คิดจะบิดเบือนอันใดกันแน่?
ทว่าข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าแม้ซูจิ่นซีจะฉลาดเพียงใด ทว่าสติปัญญาโดยพื้นฐานของสตรีที่มีต่อความรักนั้นเท่ากับศูนย์ ซูจิ่นซีก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน
นางมองไม่ออกจริงๆ ว่าเยี่ยโยวเหยาตั้งใจพูดเพื่อเป็นข้ออ้าง “ร่างกายของท่านไม่สบายหรือ? ไม่สบายที่ใด? ท่านอ๋องยังไม่ได้เสวยยาของวันนี้! เช่นนั้นให้หมอเทวดาหวามาดูสักหน่อยดีหรือไม่? ”
“…”
“เยี่ยโยวเหยา? ”
“…”
“เยี่ยโยวเหยา? ”
“…”
“เยี่ย… ”
“เจ้าเรียกข้าเช่นนี้ อยากให้ข้าทำอันใดหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยาพูดคำเหล่านี้ออกมาเพื่อหวังผลกับซูจิ่นซี ซูจิ่นซีจึงไม่กล้าพูดมากอีก
ครั้งนี้เยี่ยโยวเหยารั้งตัวซูจิ่นซีให้นอนด้วยกัน จนเวลาเที่ยงถึงได้ตื่นนอน
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่เยี่ยโยวเหยานอนหลับจนถึงเวลานี้
แม้แสงแดดในฤดูหนาวจะไม่แรงมากนัก ทว่ากลับร้อนผ่าว
เมื่อถึงเวลาเที่ยง ในที่สุดประตูตำหนักฝูอวิ๋นก็เปิดออก เยี่ยโยวเหยาเรียกลวี่หลีและแม่นมฮวาเข้ามาปรนนิบัติ
ที่ด้านนอกตำหนักฝูอวิ๋น เหล่าองครักษ์ที่ถูกแม่นมฮวาสั่งให้หลบซ่อนตัวในความมืดก็กลับมายืนในตำแหน่งของตน
หลายคนอดไม่ได้ต้องหันไปมองทางหน้าต่างของตำหนักฝูอวิ๋นด้วยความสงสัย
ทั้งยังอดถอนหายใจไม่ได้
ชังราตรีในฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเวลาที่หลับไหลจนกระทั่งท้องฟ้าสว่างสดใสช่างสั้นนัก นับแต่นั้นเป็นต้นมาท่านอ๋องก็ขาดการออกว่าราชกิจในช่วงเช้า
ความรักเป็นต้นตอของปัญหา…
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ผุดขึ้นในใจของพวกเขาอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเขาตกใจยิ่งนัก
แต่ละคนต่างรีบอุทาน ถุย ถุย ถุย ภายในใจ สตรีผู้นั้นเป็นนายหญิงของพวกเขาเชียวนะ!
อย่าว่าแต่ท่านอ๋องตื่นนอนตอนเที่ยงเพื่อนาง ต่อให้เลือดสาดกระเซ็น พวกเขาก็จะถือดาบร่วมต่อสู้กับท่านอ๋องอย่างไม่ลังเล จะพูดจาไม่ให้เกียรติเช่นนี้ได้อย่างไร?
ภายในห้อง ลวี่หลีคอยปรนนิบัติอยู่เงียบๆ ส่วนแม่นมฮวานั้น ไม่รู้ว่าดีใจที่เห็นเยี่ยโยวเหยารักใคร่ซูจิ่นซีหรือเห็นเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีเพิ่งตื่นนอน จากการคาดเดาของนางเมื่อครู่ ในจังหวะที่เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีมองไม่เห็น แม่นมฮวาจึงแย้มยิ้มไม่หยุด
ท่าทางเช่นนี้ ดูดีใจยิ่งกว่าบุตรของตนเองแต่งงานหรือมีลูกเสียอีก
หลังจากที่เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีล้างหน้าหวีผมเรียบร้อยแล้ว จึงรับประทานอาหารเที่ยง ทั้งยังดื่มชายามบ่ายอีกด้วย
เดิมทีซูจิ่นซีต้องการเสนอให้เยี่ยโยวเหยาเชิญจิ่วหรงมารักษาที่จวนโยวอ๋อง กลับคาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะเป็นฝ่ายเสนอว่าต้องการไปหาจิ่วหรงพร้อมซูจิ่นซี
ทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อรถม้าจวนโยวอ๋องจอดอยู่นอกเรือนรับรองของจิ่วหรง ประตูรั้วพลันเปิดออก ศิษย์ในชุดสีขาวของสำนักแพทย์เทียนอีจำนวนแปดคนจึงออกมาต้อนรับ
“คำนับโยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง”
“ลุกขึ้นเถิด! จิ่วหรงอยู่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีรู้ว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ต้องการรับมือ จึงแย่งพูดขึ้นก่อน
เหล่าศิษย์ต่างแปลกใจที่ซูจิ่นซีเรียกชื่อของจิ่วหรงโดยตรง ไม่ได้เรียกว่าอาจารย์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานะของนางคือพระชายาโยวอ๋อง ข้างกายยังมีเยี่ยโยวเหยา พวกเขาจึงไม่ถามอันใดให้มากความ
บุรุษชุดขาวผู้หนึ่งก้าวออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าสำนักอยู่ด้านใน เชิญโยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีเดินตามศิษย์ชุดขาวผู้นั้นเข้าไป
นึกไม่ถึงว่าซูอวี้จะมาถึงก่อนแล้ว ทั้งยังมาถึงก่อนเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีอีกด้วย เขากำลังเดินหมากรุกกับจิ่วหรงอยู่ด้านในห้อง
เมื่อเห็นซูจิ่นซี ซูอวี้จึงรีบยืนขึ้นคำนับ “พี่จิ่นซี”
แต่เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านหลังซูจิ่นซี ใบหน้าดีใจของซูอวี้ก็หายไปบางส่วน เขาแสดงความเคารพเยี่ยโยวเหยา “ซูอวี้คำนับท่านอ๋อง” จากนั้นจึงเดินไปยืนอีกด้านหนึ่ง
เมื่อจิ่วหรงเห็นเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี เขาไม่มีท่าทีเกรงใจหรือระมัดระวังอันใดมากนัก เพียงทำตัวไม่ต่างจากตอนที่อยู่สำนักแพทย์เทียนอี จิ่วหรงหันไปด้านข้างและนั่งลงข้างโต๊ะชงชา ก่อนจะรินชาให้ตนเอง
“เดิมทีข้าคิดว่า วันนี้เช้าพวกเจ้าจะมาให้ข้าตรวจอาการโยวอ๋อง จึงได้สั่งให้ศิษย์ในสำนักตื่นกันตั้งแต่ยามห้า เปิดประตูสำนักรอรับตั้งแต่ยามเฉิน กลับไม่คิดว่าท่านทั้งสองจะมาในเวลานี้ ดูเหมือนอาการป่วยของโยวอ๋องจะไม่เป็นปัญหาร้ายแรงใช่หรือไม่! ”
ซูจิ่นซีนึกถึงเรื่องที่นางถูกเยี่ยโยวเหยารั้งให้นอนต่อจึงมาถึงในเวลานี้ ทันใดนั้นแก้มของนางก็ร้อนผ่าว ทว่าเครื่องแต่งหน้ากลับปกปิดไว้อย่างดี
“จิ่วหรง ท่านอย่าได้พูดจาล้อเล่น หากอาการไม่สาหัส ข้าคงไม่ให้ฮูหยินปี้เดินทางนับพันลี้ไปยังสำนักแพทย์เทียนอีและเชิญท่านมาที่นี่ ในเมื่อท่านทราบอยู่แล้วว่าต้องตรวจอาการให้เยี่ยโยวเหยา เช่นนั้นก็อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย รีบตรวจชีพจรให้เขาก่อนเถิด! ดูว่าท่านจะมีวิธีใดกำจัดหมุดกร่อนรักนี้ได้บ้าง? ”
จิ่วหรงมีท่าทีสงบนิ่ง พลางหันไปมองเยี่ยโยวเหยา
ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยายังคงเย็นชา เขานั่งลงตรงข้ามจิ่วหรงและยื่นมือออกมาให้จิ่วหรงจับชีพจร
จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะทำการตรวจชีพจรให้เยี่ยโยวเหยา เขาเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยโยวเหยาครู่หนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากและเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ
ทุกคนต่างไม่เข้าใจ ท่าทางเช่นนั้นของจิ่วหรงหมายความว่าอย่างไรกันแน่
ซูจิ่นซีอดถามด้วยความกังวลใจไม่ได้ “จิ่วหรง ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ชีพจรเป็นอย่างไร? ท่านมีวิธีกำจัดหมุดกร่อนรักหรือไม่? ”
จิ่วหรงกวาดสายตามองใบหน้าของซูจิ่นซี จากนั้นจึงพูดกับเยี่ยโยวเหยาว่า “หากข้ามองไม่ผิด หมุดกร่อนรักนี้อยู่ในร่างกายของโยวอ๋องเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว หลายสิบปีที่ผ่านมามันอยู่ในร่างของโยวอ๋องอย่างปลอดภัย ทว่าเมื่อต้นปีที่แล้วกลับเกิดปฏิกิริยาขึ้นมาครั้งหนึ่ง ทว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดขึ้นจริงๆ คือเดือนเก้าปีที่แล้ว ”
ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีได้ฟังเรื่องราวของหมุดกร่อนรักจากหมอเทวดาหวาบ้างแล้ว เวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของหมุดกร่อนรักในร่างของเยี่ยโยวเหยาเป็นดั่งที่จิ่วหรงบอกมาทุกประการ
ซูจิ่นซีรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จิ่วหรงรู้เห็นดั่งตาทิพย์ เพียงตรวจชีพจรก็สามารถรับรู้ได้อย่างละเอียดถึงช่วงเวลาและการเปลี่ยนแปลงของหมุดกร่อนรักในร่างกายเยี่ยโยวเหยา นางจึงรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง
“จิ่วหรง ในเมื่อท่านทราบเวลาและการเปลี่ยนแปลงของหมุดกร่อนรักในร่างกายของเยี่ยโยวเหยา เช่นนั้นท่านรู้อันใดอีกหรือไม่? ท่านมีวิธีกำจัดหมุดกร่อนรักหรือไม่? รีบบอกมาอย่าอมพะนำไว้ผู้เดียว”
ซูจิ่นซีรู้สึกตื่นเต้น นางแทบจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่จิ่วหรง แต่คิดไม่ถึงว่าจิ่วหรงจะตอบกลับอย่างเย็นชา ทำให้หัวใจที่เบิกบานของซูจิ่นซีกลับคืนสู่สภาพเดิม
จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาจิบน้ำชาไปคำหนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่มี! ”
ไม่มี???