ตอนที่ 1601 มังกรวารีหน้ามนุษย์

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ทุกสายตาล้วนจ้องเขม็งไป ในที่สุดก็มองเห็นอย่างชัดเจน 

 

 

นั่นคือบุรุษวัยกลางคนสวมชุดสีเงิน นอกจากหน้าตาที่หมดจดคมคายแล้ว สีหน้าก็ดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง 

 

 

ในวิหารมีคนอยู่จำนวนมาก แต่หลังจากกวาดจิตสัมผัสไปบนร่างของบุรุษวัยกลางคน ต่างก็เอ่ยพึมพำกันขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

ไม่ว่าเผ่าเบื้องบนธรรมดาๆ หรือว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เมื่อจิตสัมผัสเข้าใกล้บุรุษผู้นี้ต่างถูกพลันต้องห้ามกลุ่มหนึ่งดีดกลับมา ไม่อาจคาดเดาพลังยุทธ์ของบุรุษผู้นี้ได้เลยสักกระผีก 

 

 

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าบุกเข้ามาอย่างไม่หวั่นเกรง ประวัติความเป็นมาย่อมต้องไม่ธรรมดา 

 

 

ยามนี้กลับมีไม่กี่คนที่สังเกตเห็นว่า หลังจากที่อสูรทารกสีม่วงตัวนั้นมองเห็นใบหน้าของบุรุษชัดเจน แววตาก็เผยสีหน้ายินดีอย่างบ้าคลั่งออกมา แค่ร่างกายที่ยังคงถูกโซ่สีทองเงินรัดเอาไว้ จนไม่อาจเคลื่อนไหวใดๆ ได้ 

 

 

“นายท่านคือใคร เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ผู้พิทักษ์ด้านนอกล่ะ?” เซียวปู้อีเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

“ข้าพาเขาเข้ามา ผู้พิทักษ์เหล่านั้นถูกข้าห้ามเอาไว้ มีอะไรหรือ?” ฉับพลันนั้นเสียงที่ไม่คุ้นเคยอีกเสียงก็ดังขึ้น จากนั้นด้านนอกประตูวิหารก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น อีกคนหนึ่งเดินเข้ามา 

 

 

นี่คือชายหนุ่มสวมชุดสีขาวสองเท้าเปลือยเปล่าคนหนึ่ง ท่าทางมีอายุเพียงยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี หน้าตาธรรมดาสามัญเป็นอย่างยิ่ง ดูแล้วไม่มีจุดที่พิเศษเลยสักนิด 

 

 

“ท่านอาวุโสเฟ่ย!” 

 

 

เมื่อเห็นชายหนุ่มคนใหม่ปรากฏตัว เซียวปู้อีที่เดิมมีสีหน้าราบเรียบอยู่บนเวทีพลันตกตะลึง ค้อมตัวคารวะชายหนุ่มอย่างรีบร้อน 

 

 

“คารวะท่านอาวุโส!” 

 

 

“คารวะท่านอาวุโสเฟ่ย!” 

 

 

ระดับศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ที่อยู่บนเวที รวมทั้งชายชราแซ่ลู่และชายชราก็รู้ประวัติความเป็นมาของชายหนุ่ม คารวะพร้อมกับหน้าถอดสีเช่นกัน ใบหน้าเต็มด้วยความระมัดระวัง  

 

 

ไม่ใช่แค่นั้น เผ่าศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากที่แต่เดิมแอบซ่อนตัวอยู่ในชั้นสามยามนี้ก็ทยอยกันบินออกมาจากห้อง คารวะพร้อมกันด้วยฐานะชนรุ่นหลัง  

 

 

หานลี่กวาดสายตาไปมองเห็นเชียนจีจื่อและต้วนเทียนเริ่นที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นสุดยอดทั้งสองคนก็ประสานมือคารวะท่ามกลางฝูงชนเช่นกัน ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัวออกมา 

 

 

“ระดับมหายาน!” 

 

 

ชั่วพริบตาในหัวของหานลี่พลันมีตัวอักษรฉายแวบผ่าน หลังจากกวาดสายตาไปทางชายหนุ่มอีกครั้ง ในที่สุดใบหน้าก็เผยสีหน้าตกตะลึงฉายแวบผ่านไป 

 

 

เมื่อเห็นเผ่าศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากคารวะคนคนหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง ชนต่างเผ่าคนอื่นๆ จะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของชายหนุ่มตรงหน้าได้อย่างไร คนจำนวนไม่น้อยล้วนกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่งตามความรู้สึก ตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบไปเช่นกัน 

 

 

แม้กระทั่งทั้งวิหารก็เงียบกริบไร้สุ้มเสียงไปอีกครั้ง 

 

 

“ท่านอาวุโสเฟ่ย ท่านกลับมาที่นี่ได้อย่างไร ท่านมิได้กักตนไปแล้วหรือ?” ผู้ถามไม่ใช่เซียวปู้อี แต่เป็นหนึ่งในคนประหลาดระดับผสานอินทรีย์ขั้นสุดยอดที่หานลี่ไม่รู้จักบนชั้นสามคนหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยลายพาดกลอนสีเขียวเข้ม สวนชุดหนังอสูรนิรนาม 

 

 

“ที่แท้ก็หลานเฮยนี่เอง เจ้าก็อยู่ที่นี่หรือ? ช่างเถิด เรื่องของเจ้าข้าขี้เกียจจะซักถามอะไร ครั้งนี้ที่ข้ามาปรากฏตัวในเมืองเมฆา เดิมเป็นเพราะช่วงนี้เผ่าเขาแมลงเจ้ามาโจมตี แต่ยามนี้ที่มาปรากฏตัวที่นี่ กลับเป็นเพราะสหายถู” ชายหนุ่มกวาดตาไปที่คนประหลาดแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจขณะเอ่ย  

 

 

“ขอบังอาจถามท่านอาวุโส ท่านอาวุโสถูผู้นี้คือ…” คนประหลาดได้ยินคำนี้พลันมีสีหน้าตกตะลึง จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างรู้สึกไม่ไว้ใจ 

 

 

ชายหนุ่มได้ฟังก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา ไม่ได้ตอบกลับอะไรในทันที กลับหันไปถามผู้สวมชุดคลุมสีเงิน 

 

 

“พี่ถูพบคนที่เจ้าตามหาหรือไม่?” 

 

 

“พบอยู่แล้ว!” 

 

 

ผู้สวมชุดคลุมสีเงินกวาดสายตาไปรอบวิหาร ในที่สุดก็ตกลงบนเวทีศิลา เมื่อเห็นอสูรน้อยสีม่วง เขาพลันดีใจ แต่เมื่อเห็นอสูรตัวนี้อยู่ภายในกรงสีดำและยิ่งไปกว่านั้นร่างยังถูกโซ่เส้นหนึ่งรัดเอาไว้ สายตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม 

 

 

จากนั้นร่างกายของคนผู้นี้ก็พลิ้วไหว ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเงินพลันเจิดจ้าแล้วสลายหายไป  

 

 

ครู่ต่อมาบนเวทีพลันมีลำแสงสว่างวาบ ผู้สวมชุดคลุมสีเงินปรากฏขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง 

 

 

“ท่านอาวุโสท่าน…” ชายชราแซ่ลู่ที่ยืนอยู่บนเวทีเช่นกัน เห็นผู้สวมชุดสีเงินอยู่ห่างจากตนเองไปแค่คืบ ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง ปากพลันอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

“หลบไป!” 

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าผู้สวมชุดคลุมสีเงินจะไม่สนใจจะเสวนากับเขาเลยสักนิด หลังจากเปล่งเสียงอย่างรำคาญใจแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อไปทางชายชราแซ่ลู่ 

 

 

ชายชรารู้สึกเพียงว่าพลังมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานได้กลุ่มหนึ่งปะทะเข้ามา 

 

 

ชายชราแซ่ลู่รู้สึกตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่งตามความรู้สึก ชั่วขณะนั้นผิวหนังพลันมีม่านลำแสงสีเหลืองชั้นหนึ่งต้านทานการโจมตีนี้เอาไว้ 

 

 

เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น ม่านลำแสงบนผิวของชายชราสั่นเทาอย่างรุนแรง “ครืด” ถอยร่นไปเจ็ดแปดก้าว สุดท้ายก็เสียการทรงตัวจนเกือบจะร่วงไปจากเวที 

 

 

เซียวปู้อีเห็นเช่นนี้ พลันหน้าเปลี่ยนสี 

 

 

อิทธิฤทธิ์อันร้ายกาจของชายชราแซ่ลู่ เขาย่อมรู้จักดี เคล็ดวิชาลับที่เขาฝึกฝนนั้นเป็นธาตุดิน เดิมทีก็ถนัดในด้านพละกำลังและหนังหนา ยามนี้คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจรับการโจมตีของบุรุษสวมชุดคลุมสีเงินได้ 

 

 

นี่มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว 

 

 

ดูแล้วอีกฝ่ายจะต้องอยู่ในระดับมหายานเป็นแน่ 

 

 

ชั่วพริบตาเซียวปู้อีพลันตัดสิน 

 

 

ชายชราและพวกทั้งสี่เห็นเช่นนั้นพลันตกใจจนสะดุ้ง มองเห็นผู้สวมชุดคลุมสีเงินเดินมาทางพวกเขา ก็ใจหายวาบ อดที่จะทยอยกันถอยร่นไปสองสามก้าวไม่ได้ 

 

 

แต่ฉากที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็ปรากฏขึ้น 

 

 

ผู้สวมชุดคลุมสีเงินไม่ได้สนใจพวกเขา แต่สาวเท้าเดินไปที่หน้ากรง สองมือยื่นออกไป 

 

 

หลังจากเสียง “ปังๆ” ดังขึ้น ฝ่ามือทั้งสองข้างก็แยกออกจับข้างกรงเอาไว้ จากนั้นพลันออกแรง 

 

 

หลังจากลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ เสียงอึกทึกพลันดังขึ้น กรงสีดำที่ดูเหมือนธรรมดาถูกฉีกออกกลางอากาศ 

 

 

กรงที่ชำรุดและอสูรน้อยร่อนลงมาจากกลางอากาศพร้อมกัน 

 

 

กรงไม่ทันตกถึงพื้น ก็กลายเป็นไอสีดำสองกลุ่มสลายหายไป ส่วนอสูรน้อยก็เปล่งเสียงหัวเราะด้วยความยินดีออกมาดังคิกๆ และถูกผู้สวมชุดคลุมสีเงินคว้าเอาไว้ในมือ มืออีกข้างหนึ่งลูบไปบนโซ่สีทองเงินบนร่างของอสูรน้อยอย่างแผ่วเบา 

 

 

หลังจากเสียงกึกๆ ดังขึ้น โซ่สีทองเงินก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ 

 

 

ชั่วพริบตาที่อสูรน้อยสีม่วงเป็นอิสระ ก็เปล่งเสียงร้องด้วยความดีใจออกมาอย่างไม่ปิดบังอีก จากนั้นร่างกายก็เคลื่อนไหว กระโจนไปหาอ้อมอกของบุรุษผู้สวมชุดคลุมสีเงิน และถูศีรษะไปมาอย่างสนิทสนมสองสามครั้ง 

 

 

“หึๆ ไม่อยู่ในถ้ำพำนักดีๆ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าออกมาวิ่งเล่นบนผิวน้ำตามลำพัง ยามนี้รู้หรือยังล่ะ บอกข้ามา ผู้ใดจับเจ้ามา” บุรุษใช้มือลูบศีรษะของอสูรน้อยด้วยความเอ็นดู จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา 

 

 

ชายชราทั้งสี่ที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ยิน พลันหน้าเปลี่ยนสี อดที่จะมองสบตากันไปมาไม่ได้ และต่างมองเห็นแววตาหวาดกลัวในสายตาของผู้อื่น 

 

 

อสูรทารกตัวนี้คือสิ่งที่ที่พวกเขาสี่คนร่วมมือกันจับมา และส่งมาประมูลที่นี่ มิเช่นนั้นจากตำแหน่งแขกผู้มีเกียรติของเมืองเมฆาของพวกเขา จะมาปรากฏตัวที่นี่ง่ายๆ ได้อย่างไร  

 

 

ยามนี้อสูรน้อยสีม่วงตัวนั้นใช้แววตาที่โกรธแค้นจ้องเขม็งไปที่ชายชรา ในเวลาเดียวกันปากก็ร้องคำรามต่ำๆ ออกมาไม่หยุด คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนกำลังบอกอะไรบุรุษอยู่อย่างไรอย่างนั้น  

 

 

“อะไรนะ เขาทรมานเจ้า เยี่ยม เยี่ยมมาก พวกเจ้าสี่คนเอาชีวิตมาชดใช้ก็แล้วกัน” 

 

 

บุรุษสวมชุดคลุมสีเงินได้ฟังสองประโยค ใบหน้าพลันมีความเ**้ยมโหดปรากฏขึ้น จากนั้นก็ระเบิดจิตสังหารออกมาจากร่างกาย หัวไหล่แค่สั่นไหว แขนข้างหนึ่งก็ตะปบไปทางชายชราแซ่ลู่อย่างรวดเร็วราวสายฟ้า 

 

 

ได้ยินเสียงดังเอี๊ยด บุรุษแซ่ถูที่อยู่ห่างจากชายชราสิบจั้งเศษ แขนข้างนั้นระเบิดออกด้วยเหตุใดก็สุดจะรู้ นิ้วทั้งห้าเปล่งแสงสว่างวาบไปอยู่ตรงหน้าชายชรา 

 

 

ความเร็วนี้มาถึงได้ในชั่วพริบตา ในเวลาเดียวกันวายุที่น่ากลัวก็ทำให้ชายชราไม่อาจหายใจได้เลยสักนิด 

 

 

“แย่แล้ว” แม้ว่าชายชราจะเตรียมการป้องกันเอาไว้ก่อนแล้ว แต่ก็คิดไม่ถึงว่าการโจมตีของอีกฝ่ายจะรุนแรงถึงเพียงนี้ 

 

 

แค่อ้าปากออก พ่นไข่มุกกลมสีเขียวเม็ดหนึ่งออกมาจากปาก โจมตีไปยังนิ้วทั้งห้าของอีกฝ่าย ในเวลาเดียวกันก็กระตุ้นอาคมสายหนึ่งที่เตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้ว ผิวหนังรางเลือน ชั่วพริบตาตรงหน้าก็มีม่านลำแสงหลากสีสันสามสีปรากฏขึ้น 

 

 

แต่ครู่ต่อมาชายชราก็ขวัญกระเจิงอีกครั้ง 

 

 

เมื่อไข่มุกกลมสีเขียวเปล่งเสียงร้องยังไม่ทันได้สำแดงอานุภาพใดๆ ออกมา ก็เห็นลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตานั้นไข่มุกกลายเป็นชิ้นๆ พลางร่อนลงบนพื้น 

 

 

และแทบจะในเวลาเดียวกัน นิ้วทั้งห้าก็ตะปบไปที่ม่านลำแสง  

 

 

ได้ยินเพียงเสียง “แควก” ดังขึ้น ม่านลำแสงชั้นสามถูกทะลวงอกในพริบตา ลำแสงสีเงินห้าสายเปล่งแสงสว่างวาบปกคลุมชายชราเอาไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้า 

 

 

แม้ว่าชายชราจะมีฝีมือมากมาย แต่แค่ชั่วพริบตานั้นก็ไม่อาจสำแดงอิทธิฤทธิ์ใดๆ ออกมาได้ 

 

 

ชายชราหน้าเปลี่ยนสีเป็นซีดขาวไร้สีโลหิต 

 

 

แต่ชั่วพริบตานั้นน้ำเสียงราบเรียบก็ดังขึ้นใกล้ๆ 

 

 

“สหายถู ปรานีด้วย สหายอย่าลืมเรื่องที่เคยตอบรับข้าเอาไว้” 

 

 

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ฉับพลันนั้นกลางอากาศก็มีฝ่ามือที่ดูเหมือนธรรมดาๆ ข้างหนึ่งยื่นออกมา แค่โบกสะบัด ก็ดีดลำแสงสีเงินห้าสายออกไป จากนั้นบรรยากาศรอบๆ ก็เกิดระลอกคลื่นขึ้น ร่างของชายหนุ่มแซ่ถูปรากฏขึ้นระหว่างชายชราและบุรุษผู้สวมชุดคลุมสีเงิน และเอ่ยอย่างเด็ดขาด 

 

 

“หึๆ ตอนนั้นแม้ข้าจะตกลงกับเจ้าแล้วว่าจะไม่ฆ่าผู้ใดที่นี่อีก แต่ไม่เคยพูดว่าจะปล่อยคนพวกนี้ไปง่ายๆ” เห็นได้ชัดว่าบุรุษสวมชุดคลุมสีเงินหวาดกลัวชายหนุ่มแซ่เฟ่ย หลังจากโจมตีไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้ลงมืออีกครั้ง แต่กลับเอ่ยด้วยแววตาเคร่งขรึม 

 

 

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อพวกสหายลู่ล่วงเกินลูกรัก ก็อย่าลงโทษถึงแก่ตาย แต่การถูกลงโทษย่อมเป็นเรื่องที่สมควร” ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเงินเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา 

 

 

“อะไรนะ ท่านคือมังกรวารีหน้ามนุษย์!” ชายชราที่หนีรอดจากความตายได้ ยังไม่ทันได้สติ ได้ยินคำพูดของชายหนุ่มแซ่เฟ่ย ชั่วขณะนั้นพลันร้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งสีหน้าดูไม่ได้ 

 

 

“ใช่แล้ว ข้าคือมังกรวารีหน้าคน อันใด เจ้าสนใจข้าหรือ?” บุรุษสวมชุดคลุมสีเงินเหลือบตามองชายชราแวบหนึ่ง แววตาฉายแววโหดเ**้ยม 

 

 

“มิกล้า ชนรุ่นหลังจะมีเจตนานั้นได้อย่างไร ก่อนหน้าเหล่าชนรุ่นหลังไม่รู้ฐานะของลูกสาวท่าน ที่ล่วงเกินไป หวังว่าท่านอาวุโสจะให้อภัย!” แม้ว่าชายชราจะอยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับเป็นผู้ที่งอได้ยืดได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดี คำพูดก็อ่อนลงในทันใด 

 

 

“สหายลู่ ครั้งนี้พวกเจ้าเสียมารยาทเกินไปแล้ว กล้าไปจับอสูรวิญญาณแถวถ้ำพำนักของพี่ถูได้อย่างไร และยังไปจับลูกสาวของพี่ถูไปอีก โชคดีที่ไม่เป็นอะไร มิเช่นนั้นแม้แต่ข้าก็ไม่อาจปกป้องพวกเจ้าได้” ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยหันกลับมา เอ่ยสั่งสอนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม 

 

 

“ชนรุ่นหลังไม่รู้จริงๆ ว่าน่านน้ำผืนนั้นคือที่ตั้งถ้ำพำนักที่ท่านอาวุโสอาศัยอยู่ มิเช่นนั้นพวกเราจะกล้าทำเรื่องหาที่ตายเช่นนั้นได้อย่างไร” ได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ใบหน้าของชายชราพลันมีเหงื่อกาฬผุดขึ้นมา  

 

 

คนอื่นๆ ล้วนหน้าซีดขาว สีหน้าไม่ได้ดีกว่ากันไปเท่าใดนัก