คนเหล่านี้อยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ก็ยังรู้ความแตกต่างของระดับมหายานและระดับผสานอินทรีย์ เมื่อเข้าสู่ระดับมหายาน ก็มีอิทธิฤทธิ์น่ามหัศจรรย์ที่แตกต่างกัน หากระดับสูญสุญตาสองสามคนร่วมมือกัน แล้วสามารถต้านทานระดับหลอมร่างขั้นต้นคนหนึ่งได้ งั้นระดับผสานอินทรีย์สองขั้นสุดยอดสองสามคน อยู่ต่อหน้าระดับมหายานขั้นต้นคนหนึ่ง ก็มีเพียงโอกาสหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น

 

 

เพราะว่าหลังจากเข้าสู่ระดับมหายานแล้ว ก็นับว่าเป็นเทพเซียนครึ่งหนึ่ง สามารถเข้าใจหลักการสวรรค์ที่ทรงพลังในการฝึกฝนต่างๆ ได้ ไม่ใช่สิ่งที่ระดับผสานอินทรีย์จะต่อต้านได้ ส่วนระดับข้ามเคราะห์สุดท้ายนั้น ความจริงแล้วเป็นแค่การแบ่งในนามเท่านั้น นอกจากพลังยุทธ์และลมปราณจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้ว แต่ความสามารถก็ไม่มีต่างจากระดับมหายานขั้นสุดยอดเท่าใดนัก

 

 

และยิ่งไปกว่านั้นระดับข้ามเคราะห์เองก็ไม่มีการแบ่งแยกที่เป็นรูปธรรม ส่วนใหญ่ล้วนไม่ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ มักจะเตรียมผ่านเคราะห์สวรรค์เทพเซียน เพื่อการบรรลุเท่านั้น

 

 

ด้วยเหตุนี้ระดับมหายานจึงกลายเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนวิญญาณนอกจากจิตวิญญาณเที่ยงแท้ฟ้าดินเหล่านั้นแล้ว

 

 

ชายชราและพวกทั้งสี่คนเห็นอสูรน้อยสีม่วงที่ตนเองจับมา คือลูกสาวแท้ๆ ของมังกรวารีหน้ามนุษย์ระดับมหายานคนหนึ่ง หากบอกว่าไม่หวาดกลัว ย่อมเป็นไปไม่ได้

 

 

ทว่าพวกเขาในตอนนี้อยู่ในเมืองเมฆา รอบด้านยังมีชนชั้นสูงของเผ่าต่างๆ อยู่จำนวนมาก หากมังกรวารีหน้ามนุษย์มาหาเรื่องพวกเขาเพียงลำพัง แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีพลังยุทธ์ระดับเทพเซียน พวกเขาก็ไม่สนใจ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชายหนุ่มแซ่เฟ่ยที่พวกเขารู้จักมีท่าทีรู้จักกับมังกรวารีหน้ามนุษย์ และยังเป็นคนพาเขามาที่นี่ด้วยตนเอง หากจะปลุกเร้าคนอื่นให้ล้อมวงโจมตีมังกรวารีหน้ามนุษย์ ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

 

เช่นนั้นชายชราและพวกทั้งสี่คนจะไม่กลัวได้อย่างไร

 

 

หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยลงมือต้านทานการโจมตีของมังกรวารีหน้ามนุษย์ พวกเขาคงจะหนีเตลิดไปในทันทีอย่างไม่สนใจอะไร

 

 

“เอาล่ะ ข้าเห็นแก่หน้าพี่เฟ่ย จะไม่เอาชีวิตพวกเจ้า แต่คนผู้นี้ทรมานลูกสาวข้า โทษตายย่อมละเว้นได้ แต่การลงโทษย่อมไม่อาจละเว้นได้” บุรุษสวมชุดคลุมสีเงินเงียบขรึมไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา

 

 

จากนั้นมือก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง นิ้วทั้งห้าเรียงชิดติดกัน สับไปทางชายชราอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

 

 

ลำแสงสีเงินสว่างวาบ ชายชราไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง แขนข้างหนึ่งก็เย็นเยียบ ถูกสับร่วงลงมาจากกลางอากาศ

 

 

ในเวลาเดียวกันโลหิตสดๆ มากพลันพ่นออกมา

 

 

ชายชราพลันตกตะลึง ไม่ทันได้ช่วยชีวิตตัวเอง เงาร่างเบื้องหน้าพลันพลิ้วไหว ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยปรากฏตัวที่อีกด้าน ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตบไปที่แขนที่ขาดด้วนของเขาเบาๆ

 

 

ลำแสงสีเขียวสว่างวาบ โลหิตตรงบาดแผลที่แขนข้างที่ขาดด้วนของชายชราหยุดลงในทันที บาดแผลฟื้นฟูสมานเข้าหากันด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

 

ไม่รอให้ชายชราที่มีสีหน้าเทาขาวได้เอ่ยอะไร ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยกลับโบกมือไปทางเขา แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

“ในเมื่อพี่ถูลงโทษเจ้าแล้ว ก็อย่าลงมือกับพวกเจ้าเลย แต่เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยไปง่ายๆ ได้ ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าสี่คนจะใช้วิธีการอันใด? จะยืมหรือจะชิงมา! พวกเจ้าต้องจ่ายมาร้อยล้านศิลาวิญญาณ เพื่อเป็นของขวัญปลอบใจให้กับเชียนจิน หากไม่ยอม งั้นพวกเจ้าก็ต้องแขนขาดคนละข้าง”

 

 

เมื่อได้ฟังชายชราและพวกทั้งสี่ก็ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

 

หากอาศัยแค่ศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยล้านก้อน ก็สามารถจัดการปัญหาได้ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่ร้องขอก็ไม่มีวันได้มา มิเช่นนั้นแม้ว่าพวกเขาทั้งสี่คนในตอนนี้จะไม่เป็นไร แต่หากถูกระดับมหายานคนหนึ่งจับจ้อง คงต้องเอาแต่แอบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเมฆาตลอดไป

 

 

ส่วนชายชรานั้นแม้ว่าแขนจะขาดไปข้างหนึ่ง สูญเสียโลหิตบริสุทธิ์ไป แต่เขาที่พลังยุทธ์มาถึงขั้นนี้ การต่อแขนที่ขาดก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย

 

 

ดังนั้นชายชราและพวกจึงมารวมตัวกันโดยไม่ปริปาก ทั้งสี่คนรวบรวมเงินกัน ได้เป็นศิลาวิญญาณสี่ถุง จากนั้นก็ส่งให้ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยอย่างนอบน้อม

 

 

ชายหนุ่มคว้าถุงศิลาวิญญาณทั้งสี่ขึ้นมา จากนั้นถึงได้หันไปเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

 

 

“แม้ว่าศิลาวิญญาณแค่นี้จะไม่อาจกำจัดความโกรธแค้นในใจของพี่ถูได้ แต่สหายลู่ถึงอย่างไรเสียพวกเขาก็ไปที่ทะเลจือเวยเป็นครั้งแรก และนับว่าทำผิดครั้งแรก เห็นแก่หน้าผู้แซ่เฟ่ย เรื่องนี้พอแค่นี้เถิด”

 

 

มังกรวารีหน้ามนุษย์ที่แปลงร่างเป็นบุรุษสวมชุดคลุมสีเงิน มองอยู่ด้านข้างด้วยแววตาเย็นชาตั้งแต่ต้น ตอนนี้ได้ยินชายหนุ่มเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าก็ยังคงเคร่งขรึม แต่สายตากลับกลอกไปมาบนใบหน้าของชายราแขนข้างและชายหนุ่ม หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ฝืนพยักหน้าหงึกหงัก

 

 

“เยี่ยม ครั้งนี้ เห็นแก่หน้าพี่ลู่ จะปล่อยพวกเจ้าไป แต่หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้พวกเจ้าเข้าไปเยี่ยมทะเลจือเวยแม้แต่ก้าวเดียว” มิเช่นนั้นหากถูกพบเจ้า อย่ามาโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์กับสหายเก่า” หลังจากเอ่ยจบ ใบหน้าของมังกรวารีหน้ามนุษย์ที่เดิมทีหมดจดพลันมีลวดลายสีเงินปรากฏขึ้นรางๆ สีหน้าโหดเ**้ยมขึ้นหลายส่วน

 

 

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากสหายลู่และพวกกล้าบุกเข้าไปในทะเลของท่านอีก พวกเขาสี่คนจะหลุดจากฐานะแขกผู้มีเกียรติของเมฆาสวรรค์ของพวกเราทันที ส่วนคนก็แล้วแต่สหายจะจัดการ” ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของผู้สวมชุดคลุมสีเงิน ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ในเวลาเดียวกันก็โยนถุงศิลาวิญญาณในมือไป

 

 

ชายชราและพวกได้ยินคำนี้ ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นแดงสลับขาวไปมา ตรงหน้าผากมีเหงื่อกาฬผุดขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

ส่วนบุรุษสวมชุดคลุมสีเงินพลันใช้มือหนึ่งสูบเข้ามา จากนั้นก็รับศิลาวิญญาณสี่ถุงเอาไว้ แล้วถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายลง

 

 

หลังจากที่ถุงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปในมือของเขา บุรุษก็ใช้มือตบไปที่แผ่นหลังของอสูรน้อยที่อยู่ตรงอ้อมอกของตนเอง

 

 

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีม่วงพลันหมุนวนโคจร อสูรน้อยหายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งที่มาแทนกลับเป็นเด็กหญิงอายุหกเจ็ดขวบคนหนึ่ง

 

 

เด็กหญิงผู้นี้มีผิวขาวราวกับหิมะ ดวงตาสีดำสนิท บนศีรษะมีผมเปียสีม่วง เผยให้เป็นความน่ารักเป็นอย่างยิ่ง

 

 

คนจำนวนไม่น้อยเห็นฉากนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี

 

 

เห็นๆ กันอยู่ว่าอสูรน้อยตัวนี้ไม่อาจแปลงกายได้ แต่เมื่อถูกผู้สวมชุดคลุมสีเงินตบไปทีหนึ่ง ก็กลายเป็นมนุษย์ เห็นได้ชัดว่ามังกรวารีหน้ามนุษย์มีอิทธิฤทธิ์ขนาดไหน

 

 

ทว่าแม้ว่าอสูรน้อยจะแปลงร่างเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังคงใช้แขนขาทั้งสี่กอดรัดบุรุษสวมชุดคลุมสีเงินเอาไว้แน่น และยิ่งไปกว่านั้นยังอ้าปากออก เปล่งเสียงร้อง” หย๊าๆ” ออกมา และใช้นิ้วชี้ไปที่ชายชราเหล่านั้นไม่หยุด บางครั้งก็กำหมัดน้อยๆ ใบหน้าน้อยๆ เต็มไปด้วยสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม

 

 

“เอาล่ะพวกเขาได้รับการสั่งสอนแล้ว ก็พอแค่นี้เถิด เรื่องนี้ถือว่าเป็นการสั่งสอนเจ้า ผู้ใดให้เจ้าไม่ฟังคำสั่งเช่นนี้ กลับไปรีบไปฝึกฝนให้ดี ไม่พัฒนาระดับขั้นจนสามารถแปลงกายได้เอง ก็ไม่อนุญาตให้เจ้าออกจากถ้ำพำนักอีกแม้แต่ก้าวเดียว” ใบหน้าของบุรุษสวมชุดคลุมสีเงินเต็มไปสีน่ารักใคร่เอ็นดู แต่น้ำเสียงกลับเข้มงวดมาก

 

 

เด็กหญิงได้ฟังพลันเบะปากไปเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นแววตาพลันทอประกาย ใกล้จะร่ำไห้ออกมาอยู่รอมร่อ

 

 

บุรุษสวมชุดคลุมสีเงินถอนหายใจออกมาเบาๆ สั่นศีรษะด้วยความปวดหัว จากนั้นก็ไม่สนใจเด็กหญิงอีก แต่หันหน้าไปเอ่ยกับชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง

 

 

“ครั้งนี้ตามบุตรสาวกลับมาได้ ต้องขอบคุณพี่เฟ่ยที่ช่วยเหลือ บุญคุณครั้งนี้พวกเราสองสามีภรรยาจะจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ วันข้างหน้าจะต้องตอบแทนแน่ แต่ภรรยาของข้าน้อยรอฟังข่าวของบุตรสาวอยู่ที่บ้าน ผู้แซ่ถูจึงมิอาจอยู่นานได้”

 

 

หลังจากที่มังกรวารีหน้ามนุษย์เอ่ยจบก็ประสานกำปั้น แล้วคิดจะกล่าวลา

 

 

“ในเมื่อพี่ถูกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่เฟ่ยก็คงไม่รั้งไว้แล้ว เดินทางปลอดภัย!” เมื่อเห็นมังกรวารีหน้ามนุษย์ไม่คิดจะหาเรื่องกับชายชราและพวกอีก ก็ผ่อนลมหายใจในใจ

 

 

ชายชราแซ่ลู่และพวกทั้งสี่คนผู้นั้นเป็นแขกผู้มีเกียรติของเมืองเมฆา ประกอบกับที่อยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าจะไม่อาจปล่อยให้เขาถูกสังหารไปต่อหน้าต่อตาเขาได้จริงๆ

 

 

แต่เขาก็ไม่อยากสร้างความแค้นกับมังกรวารีหน้ามนุษย์ นอกจากอิทธิฤทธิ์ความน่ากลัวของมังกรวารีหน้ามนุษย์แล้ว เมื่อนึกถึงภรรยาของมังกรวารีหน้ามนุษย์ผู้นั้น แม้แต่เขาก็ยังอดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้

 

 

มิเช่นนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ก็ไม่อาจพาอีกฝ่ายมาที่นี่ได้ง่ายๆ และทำให้ตนเองเสียหน้าขนาดนี้ต่อหน้าคนหมู่มาก

 

 

ยามนี้แก้ปัญหาได้แล้ว แน่นอนว่าย่อมดีจริงๆ

 

 

บุรุษสวมชุดคลุมสีเงินพยักหน้า หันกายไปลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นลำแสงหลีกหนีจากไป แต่ในตอนนั้นเอง เด็กหญิงที่อยู่ในอ้อมอกก็ใช้มือหนึ่งดึงชายเสื้อของเขา ในเวลาเดียวกันปากก็เปล่งเสียงหย๊าๆ อะไรออกมา สุดท้ายแม้กระทั่งก็ใช้นิ้วชี้มาที่ด้านล่างเวที

 

 

“อะไรนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!”

 

 

ลำแสงวิญญาณบนร่างของมังกรวารีหน้ามนุษย์หม่นแสง ปากก็เปล่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึงออกมา

 

 

“พี่ถู บุตรสาวพูดอะไร ทำให้ท่านตกตะลึงเช่นนี้?” ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ตกตะลึง อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น

 

 

“ไม่มีอะไร อาจจะพบคนเลือดผสมเผ่าใดสักเผ่าที่เกี่ยวข้องกับภรรยาข้า?” มังกรวารีหน้ามนุษย์ตอบกลับหนึ่งประโยค สองตากลับมองไปยังทิศทางที่เด็กหญิงชี้ไป

 

 

ชายหนุ่มพลันตกตะลึง สองตาหรี่ลงเล็กน้อยพลางหันหน้าไปมอง

 

 

เห็นเพียงตรงที่ทุกคนนั่งอยู่ เมื่อระดับมหายานสองคนมองไปพร้อมกัน คนจำนวนไม่น้อยก็หน้าเปลี่ยนสี ต่อให้รู้ว่าย่อมไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ก็อดที่จะใจเต้นตึกตักไม่ได้

 

 

สีหน้าของหานลี่แปลกประหลาดไปเช่นกัน!

 

 

คนอื่นอาจจะรู้ดี แต่เขากลับมั่นใจมากว่าเด็กหญิงผู้นั้นชี้มาทางตนเองแปดเก้าส่วน

 

 

แต่เหตุใดถึงชี้มาที่เขา หานลี่ยอมงุนงงไม่เข้าใจ

 

 

ถึงอย่างไรเสียหลังจากที่มังกรวารีหน้ามนุษย์และชายหนุ่มแซ่เฟ่ยมาถึงเวทีนั้น ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดแอบลงมือทำอะไร ผู้ที่อยู่ด้านล่างเวทีทั้งหมดเห็นเพียงฉากบนเวที แต่บทสนทนาสักคำกลับไม่ได้ยิน

 

 

และในยามนั้นเอง ชั่วพริบตานั้นจิตสัมผัสที่น่ากลัวเป็นอย่างมากก็กวาดมาบริเวณนี้ หลังจากกวาดผ่านคนจำนวนไม่น้อยไป สีหน้าก็เริ่มซีดขาว

 

 

ชั่วพริบตาที่จิตสัมผัสกวาดมาบนร่างของหานลี่ ก็มีความรู้สึกขนลุกซู่เหมือนถูกมองอย่างทะลุปรุโปร่ง ราวกับถูกอสูรยักษ์อันดุร้ายที่ไม่อาจต้านทานได้จับจ้องอยู่

 

 

จิตใจของเขาหนักอึ้ง จากนั้นก็รู้สึกว่าสายตาของบุรุษสวมชุดคลุมสีเงินที่อยู่ไกลออกไปเคร่งขรึม ชั่วครู่ก็กำหนดตำแหน่งมาที่เขาท่ามกลางผู้คนมากมาย

 

 

จากนั้นก็เห็นบุรุษสาวเท้ามา ครู่ต่อมาเบื้องหน้าของหานลี่ก็พร่าเลือน ด้านหน้ามีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง

 

 

นั่นก็คือมังกรวารีหน้ามนุษย์ที่แปลงเป็นบุรุษ ในอ้อมอกของเขายังอุ้มอสูรน้อยสีม่วงที่กลายเป็นเด็กหญิงอยู่ด้วย

 

 

เด็กหญิงคนนั้นกำลังกะพริบดวงตาสีดำขลับปริบๆ ใช้สายตาประหลาดใจจ้องเขม็งมายังเขา

 

 

“คารวะท่านอาวุโส!”

 

 

หานลี่รู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ใบหน้ายังคงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ และหยัดกายลุกขึ้นคารวะบุรุษสวมชุดคลุมสีเงิน

 

 

เมื่อเผชิญหน้ากับระดับมหายาน แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าล่วงเกินเลยสักนิด

 

 

“ใช่แล้ว มีกลิ่นอายเผ่าเดียวกับมารดาของเจ้าอยู่นิดหน่อย แต่เบาบางมาก ต่อให้มีโลหิตอยู่เพียงนิดหน่อย ก็ไม่น่าจะเบาบางจนมองไม่เห็น แต่เด็กเอ๋ย อิทธิฤทธิ์ตั้งมากมายของมารดาเจ้า เจ้าไม่สืบทอดมา กลับสืบทอดเคล็ดวิชาจิตสัมผัสที่ไม่มีประโยชน์มากที่สุดมา ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับมารดาเจ้ามากนัก พวกเราก็ไปกันเถิด” บุรุษพิจารณาหานลี่สองแวบ แล้วสั่นศีรษะอย่างเย็นชา

 

 

จากนั้นเขาก็ไม่รอให้เด็กหญิงได้เอ่ยอะไรอีก ลำแสงสีเงินเปล่งแสงเจิดจ้า กลายเป็นสายรุ้งสีเงินพุ่งออกไปจากประตูวิหาร