บทที่ 320.1 เหตุใดถึงไร้เทียมทาน ProjectZyphon
บนถนนเส้นที่อยู่ในเมือง นับตั้งแต่ที่สองฝ่ายลงมือประหัตประหารกันอย่างน่าครั่นคร้าม
ถึงตอนนี้ศึกใหญ่ก็ยังคงดำเนินต่อ
กระบี่บินแก้วใสแวววาวเล่มหนึ่งเหมือนสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา เพียงแค่กระบี่เล่มเดียวก็สามารถโรมรันพัวพันจนหลิวจงคนลับมีดกระดิกตัวไปไหนไม่ได้
มีดเลาะกระดูกที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าเล่มนั้นของหลิวจง เขาใช้มาชั่วชีวิต ไม่เคยมีความเสียหายใดๆ ศึกในวันนี้มีดของเขายังไม่ทันได้แตะชายอาภรณ์ของอวี๋เจินอี้ก็ถูกกระบี่บินฟันจนบิ่นหักไปหลายจุดแล้ว
หลิวจงไม่มีเวลามามัวเสียดาย
เพราะหากเสียสมาธิเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น
กระบี่บินคมกริบ รวดเร็วสุดขีด พายุลมกรดอัดแน่นอยู่เต็มในรัศมีหลายสิบจั้ง เมื่อหลิวจงตกอยู่ท่ามกลางลมพายุนี้ จะทำอะไรย่อมติดขัดอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่เสียแรงที่อวี๋เจินอี้เจ้าประมุขพรรคหูซานเป็นเทพเซียนที่แท้จริง
ประมือกับเขาอย่างน้อยต้องมีหลิวจงคนลับมีดสองคน
ซึ่งหลิวจงอยู่อันดับห้าของใต้หล้า
และเท่าที่มองตามหางตาของหลิวจงไป ก็มีความเป็นไปได้มากว่าต้องมีราชครูจ้งชิวสองคน
อวี๋เจินอี้พลิ้วกายลงมาบนพื้นแล้ว เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้จ้งชิวต่อยใส่หมัดแล้วหมัดเล่า ทว่ากลับไม่มีหมัดไหนที่สามารถทำลายพายุลมกรดที่มองไม่เห็นของเขาได้ มีแค่ไม่กี่หมัดที่ขาดอีกแค่ชุ่นกว่าก็สามารถสัมผัสโดนใบหน้าของอวี๋เจินอี้ ทำให้ขนคิ้วของเขาพลิ้วไหวเล็กน้อย จอนผมสะบัดปลิว แต่ก็แค่นี้เท่านั้น
จ้งชิวออกหมัดไม่หยุด แต่ก็ต้องกลับมามือเปล่าทุกครั้ง ทว่าสีหน้าของเขาก็ยังเป็นปกติ ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ไม่มีท่าทางห่อเหี่ยวหมดอาลัยตายอยากแม้แต่น้อย ยังคงเป็นราชครูจ้งชิวคนนั้น
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนเจ็บปวดใจ
ราวกับว่าเรื่องทางโลกไม่ควรเป็นเช่นนี้ ง่ายนักที่จะทำให้คนเกิดความคลั่งแค้นและโทสะอัดอั้น
จ้งชิวเอาแต่ออกหมัด
อวี๋เจินอี้กลับเดินไปข้างหน้าเหมือนเดินกินลมชมทิวทัศน์ อย่างมากสุดก็แค่เดินอ้อมสนามรบระหว่างหลิวจงและกระบี่บินเท่านั้น เขาเดินผ่านร้านรวงต่างๆ ที่ตั้งอยู่ริมถนน แหงนหน้ามองกรอบป้ายหน้าร้าน มองกลอนคู่วันปีใหม่ที่ผ่านลมผ่านฝนของปีนี้มาแล้ว
อวี๋เจินอี้ถามด้วยรอยยิ้ม “รู้สึกเสียใจที่ปีนั้นไม่ยอมรับกระบี่เซียนเล่มนั้นแล้วใช่ไหม?”
“เส้นทางที่เจ้าเลือกเดินเหมาะแค่ให้คนบนโลกเดินเท่านั้น ขึ้นเขา เจ้าก็ขึ้นไปไม่ถึงจุดที่สูงที่สุด ต่อให้จะมอบเวลาให้เจ้าอีกสามสิบปี เมื่อเดินไปถึงยอดบนสุดของภูเขาแล้วก็ไม่มีทางให้เจ้าเดินอีก ถึงเวลานั้นเจ้ามีแต่จะยิ่งเสียใจภายหลังมากขึ้น”
“จ้งชิว จากเล็กจนโต เจ้าเอาแต่สนใจเรื่องที่คนในโลกไม่สนใจ ในสายตาของข้าแล้ว นี่ไม่ได้เรียกว่านกกระเรียนในฝูงไก่ นี่เรียกว่าโง่”
จ้งชิวไม่พูดอะไรสักคำ
ภาพเหตุการณ์นี้ประหลาดอย่างยิ่ง อวี๋เจินอี้ที่รับหมัดอย่างต่อเนื่องเดินเลี้ยวมาถึงถนนที่กว้างขวางเส้นหนึ่งแล้ว หากเดินไปข้างหน้าอีก สุดปลายทางก็คือวังหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน และยังมีตำหนักใหญ่ที่โอ่อ่ายิ่งกว่าวังหลวงของแคว้นซงไล่ บนสันหลังคาแปดเส้นล้วนมีรูปปั้นเซียนและสัตว์ลักษณะประหลาดสิบตัว ตามหลังเซียนขี่หงส์ที่เป็นผู้นำก็เป็นสัตว์ที่เรียงลำดับกันได้แก่มังกร หงส์ สิงโต ม้าสวรรค์ ม้าทะเล ซวนหนี *(บุตรคนที่ห้าของมังกร ลักษณะคล้ายราชสีห์ มีนิสัยรักความสงบ ชอบควันและชอบนั่ง)*หยาหยู (ปลาวิเศษ อยู่ใต้ท้องทะเลลึก ทำให้เมฆกลายเป็นฝน คอยดับไฟยามเกิดเพลิงไหม้ เป็นสัญลักษณ์ป้องกันอัคคีภัย) เซี่ยจื้อ (เป็นสัตว์ตระกูลเดียวพญาสิงห์ มีความสามารถพิเศษ คือเมื่อฟังคนพูดแล้ว สามารถแยกแยะได้ว่าคนนั้นพูดจริงเท็จประการใด เป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรม) โต้วหนิว (ตามตำนานจีนเป็นมังกรไม่มีเขาประเภทหนึ่ง ทำให้เกิดฟ้าครึ้มและเมฆหมอก เป็นสัญลักษณ์ของการกันอัคคีภัยเช่นเดียวกับหยาหยู) และหางสือ (เหมือนลิง แต่มีปีก มือถือกระบอง สามารถหยุดปีศาจต่างๆ ได้ นอกจากนี้หน้าตายังเหมือนกับเทพแห่งสายฟ้า การประดับไว้บนหลังคาสามารถกันฟ้าผ่าได้)
ในบรรดารูปปั้นเหล่านี้ บางรูปจักรพรรดิ เสนาบดีและแม่ทัพที่มีอำนาจอยู่ในมือสามารถได้เห็นของจริง แต่บางอย่างพวกเขาก็ไม่เคยเห็น
อวี๋เจินอี้ยื่นนิ้วชี้ไปข้างหน้า “จำได้ว่าตอนที่พวกเรายังเด็ก เจ้าเคยอ่านคำบรรยายเกี่ยวกับสิบสัตว์ที่อยู่บนหลังคาแล้วสงสัยใคร่รู้อย่างมาก บอกว่าวันหน้าจะต้องได้มาเห็นพวกมันกับตาของตัวเอง ดังนั้นภายหลังเจ้าจึงอาศัยอยู่นอกวังหลวงมาหลายสิบปี ยังมองไม่พออีกหรือ?”
ในที่สุดจ้งชิวก็เปิดปากพูด “อวี๋เจินอี้ อย่าคิดว่าตัวเองร้ายกาจนักเลย ฝึกตนเป็นเซียนก็ไม่เห็นว่าตัวเองเป็นคนแล้วอย่างนั้นรึ มองอะไรก็ใช้ตาที่สูงกว่าหลุบมองลงมา คิดถึงคนหรือเรื่องราวอะไรก็ล้วนพยายามหวนนึกถึงความทรงจำ เจ้าต้องหัดมองดูการพบพรากและความสุขความทุกข์ของบนโลกในทุกวันนี้ให้มาก…แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เจ้าคงฟังไม่เข้าหูอีกแล้ว”
อวี๋เจินอี้พยักหน้ารับ “นี่เป็นความคิดสามัญทั่วไป อยู่ตำแหน่งไหนก็พิจารณาถึงเรื่องของในตำแหน่งนั้น การฝึกตนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน จ้งชิว หาใช่เพราะเหตุผลของเจ้าไม่ถูกต้อง แค่เพราะเหตุนี้ยังไม่สูงมากพอ นั่นก็เพราะเจ้ายืนอยู่ต่ำเกินไป”
ดวงตาของจ้งชิวมีประกายของความเสียใจพุ่งผ่าน
เขาหยุดการออกหมัด มองไปทางวังหลวง
อวี๋เจินอี้เองก็หยุดเดิน ถามยิ้มๆ ว่า “หมัดเบาหวิวขนาดนี้ จ้งชิว หรือว่าเจ้าไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว? ไม่อย่างนั้นให้ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่อีกสักครึ่งชั่วยาม รอให้เจ้ากินอิ่มแล้วค่อยกลับมาสู้กันใหม่ดีไหม?”
จ้งชิวสบถด่าหยาบคายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ข้าผู้อาวุโสจะต่อยให้เจ้าขี้แตกด้วยหมัดเดียว!”
จ้งชิวยังคงเป็นจ้งชิวคนนั้น ต่อให้อ่านหนังสือมามากเท่าไหร่ เมื่อถูกบีบให้โมโหเข้าจริงๆ ก็ยังคงเป็นเด็กบ้านนอกจากอำเภอจิวหลันเขตการปกครองจัวแคว้นซงไล่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?
อวี๋เจินอี้ตบท้องหัวเราะฮ่าๆ “อ่านหนังสือสวรรค์ เล่าเรียนวิชาเทพเซียน เดินบนสะพานแห่งความเป็นอมตะ ฝึกวิชาขั้นสูงสุด หลังจากปิดด่านก็หลีกเลี่ยงธัญพืชทั้งห้ามาหลายปี *(ปี้กู่ การฝึกอย่างหนึ่งของนักพรตเต๋า นั่นคือการไม่กินธัญพืชทั้งห้าอันได้แก่ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลีและถั่ว)*จะให้มีขี้เยี่ยวออกมาคงไม่ได้จริงๆ”
จ้งชิวถอนหายใจ “อันที่จริงเจ้ากำลังรอคอยให้รู้ผลแพ้ชนะของศึกนั้นสินะ?”
อวี๋เจินอี้พยักหน้ารับ “เจ้ามองความจริงออกแล้วอย่างไร ถึงอย่างไรเจ้าก็ทำลายพายุลมกรดของข้าไม่ได้อยู่ดี”
จากนั้นเขาก็ส่ายหน้า “ไม่ได้เรียกว่ารู้ผลแพ้ชนะหรอก ต้องเรียกว่ารอให้คนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นตายต่างหาก”
จ้งชิวพลันหันหน้ากลับมา ก้มหน้าลงมองอดีตเพื่อนรักที่อยู่ในลักษณะของเด็กน้อยแล้วยิ้มประหลาด
อวี๋เจินอี้เงยหน้า ถามว่า “อะไร?”
จ้งชิวตอบ “ยังจำปีนั้นที่นอกกำแพงของที่ว่าการนายอำเภอหม่าได้หรือไม่?”
อวี๋เจินอี้คิดแล้วก็ทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง “หากเจ้าไม่พูดถึง ข้าก็ลืมไปแล้วจริงๆ”
ปีนั้นตอนที่อยู่ในอำเภอจิวหลันบ้านเกิด อวี๋เจินอี้คือบุตรชายของข้าหลวงตำแหน่งเล็กๆ ที่ไม่มีระดับขั้นในราชสำนัก ส่วนครอบครัวของจ้งชิวก็ยิ่งเทียบไม่ติด ทว่าคนทั้งสองกลับเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก อวี๋เจินอี้ฝักใฝ่ในยุทธภพ แต่จ้งชิวกลับชื่นชอบบัณฑิต ทว่าลึกๆ แล้วกลับไม่ใช่คนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยอะไร ตอนหนุ่มเลือดลมพลุ่งพล่าน จ้งชิวหลงรักคุณหนูของนายอำเภอหม่า อวี๋เจินอี้จึงช่วยเขาออกความคิดดีๆ มากมาย เดิมทีหญิงสาวคนนั้นก็ไม่ได้ชอบจ้งชิว ภายหลังจึงยิ่งห่างเหินและยิ่งรังเกียจจ้งชิว มีครั้งหนึ่งดื่มเหล้าจนเมามายถึงกลางดึก คนทั้งสองจึงพากันไปฉี่รดกำแพงของเรือนด้านหลังที่ว่าการอำเภอ นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวคนนั้นจะลอบออกจากบ้านพร้อมกับสาวใช้เพราะนัดพบกับบัณฑิตต่างถิ่นพอดี ผลกลับกลายเป็นว่าพอเปิดประตูบ้านออก หญิงสาวทั้งสองก็มาเจอภาพเหตุการณ์นั้นเข้าอย่างจัง
คุณหนูบุตรสาวนายอำเภอเป็นคนหน้าบาง ทว่าสาวใช้กลับมีนิสัยดุดัน นางถึงขั้นชำเลืองมองมาที่กางเกงของอวี๋เจินอี้และจ้งชิว ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “ไส้เดือนน้อยสองตัว ดึกดื่นป่านนี้ออกมาร่อนหาอะไร?”
หลังจากนั้นจ้งชิวกับอวี๋เจินอี้ก็ไม่มีหน้าไปใกล้ที่ว่าการอำเภออีก
อวี๋เจินอี้ที่ได้รับคำเตือนจากจ้งชิวจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอะไร
เพียงแต่เหตุใดจ้งชิวถึงต้องพูดถึงเรื่องนี้ หรือว่ายังมีความหมายที่ลึกล้ำซ่อนอยู่?
จ้งชิวยิ้มบางๆ “เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ วันนี้เจ้าเทียบกับไส้เดือนน้อยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
อวี๋เจินอี้หน้าไม่เปลี่ยนสี ทว่าสายตากลับเย็นเยียบ “ราชครูจ้ง การคุยเรื่องเก่าในอดีตจบลงแล้ว พวกเรามาประมือกันได้แล้วกระมัง?”
จ้งชิวส่งยิ้มให้แทนคำตอบ
อวี๋เจินอี้หัวเราะเสียงเย็น “ไม่สู้พวกเรามาลองเดิมพันกันดูก่อน หากหลิวจงไม่ตาย เขาจะเป็นฝ่ายอ้อนวอนขอความตายเหมือนเจ้าหรือไม่?”
จ้งชิวพยักหน้ารับ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าเดิมพันว่าเขาไม่มีทางจากไปเพียงลำพัง”
อวี๋เจินอี้จึงเตรียมจะยกมือเรียกกระบี่เซียนแก้วเล่มนั้นเข้ามาไว้ในมือ แต่ไม่นานเขาก็วางมือลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะไม่มอบโอกาสรอดชีวิตนี้ให้แก่หลิวจง”
จ้งชิวไม่เอ่ยอะไรอีก
คนทั้งสองยืนเคียงไหล่กัน
ทว่ามีเพียงแค่ราชครูจ้งแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนและอวี๋เจินอี้แห่งแคว้นซงไล่แล้ว
อวี๋เจินอี้พลันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าผิดแล้ว พลังการสังหารของข้าไม่ได้อยู่บนกระบี่เล่มนั้น เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเจ้าจ้งชิวยังพอจะมีทางเยียวยา จึงจงใจยอมอ่อนข้อให้เจ้า ก็เหมือนกับปีนั้น ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าอะไรข้าก็ยอมให้เจ้า แถมยังคอยใส่ใจความรู้สึกของเจ้า”
แต่จ้งชิวกลับเอ่ยด้วยประโยคประหลาดที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย เขาหันหน้าไปทางกำแพงเมืองฝั่งใต้ เอ่ยเสียงเบาว่า “อวี๋เจินอี้ ตำแหน่งของเจ้าน่ากระอักกระอ่วนที่สุด ทั้งไม่ใช่ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง และไม่ใช่ดวงจันทร์ใสกระจ่าง หากใต้หล้านี้ขาดเจ้าไป กลับกลายเป็นว่าจะยิ่งสมบูรณ์แบบ”
……
เด็กหญิงร่างผอมแห้งหิ้วม้านั่งตัวเล็กเดินเข้าไปยังบ้านหลังเดียวในตรอกที่ไม่ปิดประตูหน้าบ้าน มองเห็นเฉาฉิงหล่างที่กุมหัวร้องไห้โฮ
นางเคาะประตูแล้วเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป แสร้งทำเป็นถามว่า “นี่ๆๆ มีคนอยู่ไหม? หากไม่มีข้าจะเข้าไปล่ะนะ”
รอจนเฉาฉิงหล่างเงยหน้าที่เต็มไปด้วยความระแวงขึ้นมา นางถึงได้โยนม้านั่งตัวเล็กลงบนพื้น เหลียวซ้ายแลขวา กล่าวอย่างไม่อินังขังขอบ “นี่คือบ้านของเจ้าใช่ไหม? ข้าเอาของมาคืนน่ะ”
เฉาฉิงหล่างคว้ามีดผ่าฟืนบนพื้นขึ้นมาถือไว้เบื้องหน้าเพื่อป้องกันตัว “เจ้าเป็นใคร?!”
นางยังคงกวาดตามองไม่หยุด แต่ปากก็พูดเสียงขุ่นว่า “ข้าเป็นพวกเดียวกับคนมีเงินที่สวมชุดขาวผู้นั้น ไม่ใช่พวกเดียวกับคนที่สวมหมวกดอกไม้บนศีรษะ”
นางมองไปทางห้องที่อยู่ด้านข้าง แล้วหันหน้ามาพูดกับเฉาฉิงหล่าง “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นคู่สุนัขชายหญิงหิ้วศีรษะคนสี่คนออกมาโยนไว้นอกถนน ศีรษะพวกนั้นกลิ้งหลุนๆ เลือดนองเต็มพื้น ข้าหวังดีเลยช่วยเก็บศีรษะพวกนั้นมารวมไว้ด้วยกัน พวกเขาเป็นอะไรกับเจ้าหรือเปล่า? เจ้ายังไม่รีบไปดูอีกหรือ?”
น้ำตาทะลักทลายออกมาจากดวงตาของเฉาฉิงหล่าง เขารีบวิ่งออกไปนอกบ้านทันที
นางพลันขวางเขาไว้ ถลึงตาใส่อย่างขุ่นเคือง “หยุดนะ!”
เฉาฉิงหล่างมีสีหน้างงงัน
นางถาม “เจ้าจะไม่ขอบคุณข้าเลยรึ?”
เฉาฉิงหล่างอึ้งตะลึง ขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายวิ่งออกไปน้ำตาอาบหน้า
นางไม่กล้าขวางคนที่ถือมีดผ่าฟืนไว้ในมือหรอก จึงทำเพียงแค่เบ้ปาก เปิดทางให้ พึมพำเบาๆ “สุนัขใจดำ สมควรแล้วที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า”
นางผลักประตูห้องที่เป็นที่พักของเฉินผิงอันให้เปิดออก
ผ้าห่มบนเตียงพับวางไว้อย่างเป็นระเบียบ หนังสือบนโต๊ะก็วางเรียงอย่างเป็นระเบียบเช่นกัน
ทั้งห้องสะอาดสะอ้าน
บนโต๊ะยังมีฝักกระบี่เปล่าอยู่อีกหนึ่งฝัก
หาของกินไม่เจอ แล้วก็ไม่เจอเหรียญทองแดงหรือเศษเม็ดเงิน
ทำเอานางโมโหจึงเดินไปหน้าโต๊ะแล้วผลักหนังสือที่กองกันไว้บนโต๊ะให้ร่วงระเนระนาดอยู่บนพื้น
จู่ๆ ดวงตานางก็เป็นประกาย หนังสือก็เอามาขายเป็นเงินได้นี่นา จากนั้นนางก็จ้องไปที่ฝักกระบี่แล้วถอนหายใจ ช่างเถิด หากแอบเอาหนังสือไปขาย คนชุดขาวผู้นั้นคงไม่ทำอะไรตน แต่หากเอาฝักกระบี่ไปขาย เขาน่าจะต้องจัดการกับตนอย่างโหดเหี้ยม ถึงเวลานั้นต่อให้ตนอายุน้อยก็คงไม่มีประโยชน์
นางหอบหนังสือเหล่านั้นมาแล้ววิ่งหนีออกไปข้างนอก
นางตัดสินใจไว้แล้วว่าหลังจากได้เงินเหรียญทองแดงมากำใหญ่ จะรีบเอาไปใช้ให้หมด มีเพียงเปลี่ยนพวกมันเป็นอาหารลงท้องเท่านั้น เขาถึงจะเอากลับคืนไปไม่ได้!
—–