บทที่ 320.2 เหตุใดถึงไร้เทียมทาน ProjectZyphon
โจวเฝยหิ้วไหล่ของโจวซื่อและยาเอ๋อร์กลับมาหาลู่ฝ่างใหม่อีกครั้ง ยังคงมาดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าข้างทาง ไม่เพียงแต่ร้านเหล้าตรงมุมถนนไม่เหลือผู้คน ตลอดทั้งถนนสายใหญ่ก็ว่างเปล่า น่าจะเป็นเพราะทางราชสำนักของแคว้นหนันเยวี่ยนออกคำสั่งมานานแล้วว่า หากมีปรมาจารย์ต่อสู้กันก็จะป้องกันร้านรวงทุกแห่งอย่างเข้มงวด ส่วนกฎระเบียบอย่างละเอียดให้อิงตามการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาลในประวัติศาสตร์ ซึ่งนี่ต้องเป็นฝีมือของราชครูจ้งชิวอย่างแน่นอน
สตรีแต่งงานแล้วหน้าตางดงามที่มาจากสำนักเดียวกับลู่ฝ่างนอนตัวอ่อนฟุบคว่ำอยู่บนโต๊ะเหล้า
ศีรษะของใบหน้ายิ้มเฉียนถังและกระบี่ต้าชุนต่างก็วางไว้บนโต๊ะอีกตัวที่อยู่ข้างกัน
โจวเฝยคลายมือปล่อยคนทั้งสองแล้วเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในร้าน หลังจากที่นั่งลงเรียบร้อยก็คลี่ยิ้มพูดอย่างฉุนๆ ว่า “เจ้ามอมนางให้เมาอยู่ฝ่ายเดียวสินะ?”
ลู่ฝ่างรินเหล้าให้เขาหนึ่งถ้วย “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ?”
โจวเฝยมองประเมินลู่ฝ่าง “นับว่าไม่ทำให้ข้าเหนื่อยยากเปลืองแรงเปล่า ยังพอจะได้เรื่องได้ราวอยู่บ้าง”
เมื่อเทียบกับท่าทางห่อเหี่ยวหดหู่เหมือนเมื่อครั้งที่ได้พบกันก่อนหน้านี้ คราวนี้ลู่ฝ่างคืนสติกลับมาแล้ว อีกทั้งจิงชี่เสินเป็นเส้นๆ ยังมารวมตัวกันจนเหมือนสิ่งที่จับต้องได้จริง เพียงแค่ว่ายังไม่ได้ขมวดรวมให้เป็นปมเท่านั้น แต่แค่นี้ก็มากพอให้ลู่ฝ่างมีชีวิตอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวไปอีกหกสิบปี ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาสพากายหยาบบินทะยาน นั่นก็ถือได้ว่าโชคร้ายมาพร้อมกับโชคดีแล้ว
ความเร็วในการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัวและในใต้หล้าไพศาลสองแห่งนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะยังคงต้องดูที่อารมณ์ของคนผู้นั้น
หากคนผู้นั้นรู้สึกว่าดูมาจนพอใจแล้ว กาลเวลาหกสิบปีในพื้นที่มงคลดอกบัวก็อาจจะเท่ากับแค่ห้าหกปีในใต้หล้าไพศาล แต่หากเขารู้สึกว่าน่าเบื่อหน่าย ก็อาจจะต้องซวยไปด้วย ครั้งที่หลอกต้มคนจนเปื่อยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือ หลังจากที่คนในพื้นที่มงคลผ่านความลำบากยากเข็ญมานับพันนับหมื่นประการกว่าจะได้บินทะยาน พอกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาลกลับค้นพบว่าเวลาผ่านไปสามร้อยปีแล้ว เกือบทำให้จิตแห่งเต๋าของคนผู้นั้นเสียการควบคุม
ถึงอย่างไรต่อให้เป็นผู้ฝึกตน เวลาสามร้อยปีก็ยาวนานมากพอจะทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนที่อยากพบเจอก็อาจจะไม่อยู่บนโลกนานแล้ว คนที่อยากจะฆ่าก็อาจจะได้เสพสุขกับความหรูหรามั่งคั่งอย่างเต็มที่และตายไปแล้ว
โจวซื่อกับยาเอ๋อร์เลือกนั่งลงข้างโต๊ะตัวหนึ่ง ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง หนุ่มปักบุปผาไปค้นเหล้ากิ่งไผ่ที่ผลิตเฉพาะในแคว้นหนันเยวี่ยนมาหนึ่งไห หลังจากรอดตายมาได้ก็ควรจะจิบเหล้าร่วมกับสตรีในดวงใจสักครั้ง ส่วนสัญญาหกสิบปีที่บอกว่าจะขึ้นมาเป็นสิบอันดับแรกหรือถึงขั้นสามอันดับแรกของใต้หล้านั้น ถึงอย่างไรโจวซื่อก็เป็นบุตรชายของโจวเฝย บวกกับที่เดิมทีตำหนักคลื่นวสันต์ก็อยู่บนยอดเขาของพื้นที่มงคลดอกบัวอยู่แล้ว โจวซื่อย่อมไม่ขาดสติปัญญาในเรื่องนี้ เขามั่นใจว่าหากได้พบกับนางในอีกหกสิบปีให้หลังจะต้องสามารถจับมือกันเดินทางไปยังบ้านเกิดของบิดาได้แน่นอน
ยาเอ๋อร์คิดอย่างไร โจวซื่อเดาไม่ออก แต่ก็ไม่อยากคิดให้มากความ เพราะโจวซื่อเชื่อมั่นในฝีมือและรากฐานของบิดาอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่ได้บินทะยานไปแล้ว นั่นก็เหมือนเจียวหลงกลับคืนสู่น้ำ พยัคฆ์กลับคืนสู่ขุนเขา ต้องรู้ว่าพื้นที่มงคลดอกบัวก็เป็นแค่พื้นที่มงคลระดับกลางเท่านั้น แต่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียงสำนักกุยหยกที่โจวเฝย ‘บิดา’ ของตนได้ครอบครองกลับเป็นพื้นที่มงคลขนาดใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า
ความสามารถในการขัดเกลา สั่งสอนและปราบพยศจิตใจสตรีของโจวเฝย โจวซื่อไม่เคยเรียนรู้มาได้ โจวเฝยเคยพูดด้วยรอยยิ้มว่า นั่นเรียกว่า ‘กายลวงใจจริง’ คือวิชาอภินิหารอย่างหนึ่งของตระกูลเซียน เจ้าโจวซื่อเรียนรู้ได้แค่ผิวเผินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่มากพอจะให้เจ้าห้อตะบึงไปตามพุ่มบุปผาใต้หล้านี้แล้ว
ลู่ฝ่างเอ่ยถาม “ทางด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
โจวเฝยยกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับสหายรักผู้นี้หนึ่งที จิบเหล้าหนึ่งอึก รสชาติห่วยแตกยิ่งนักจึงรีบวางลงแล้วเอ่ยอธิบายว่า “วุ่นวายมากเลยล่ะ เฝิงชิงป๋ายถูกสหายรักอย่างถังเถี่ยอี้สังหาร เฉิงหยวนซานยังไม่ทันได้ผายลมก็เผ่นหนีไปแล้ว จ้งชิวเล่นลูกไม้ ไม่ได้ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับเฉินผิงอัน หลังจากรู้ว่าวิชาหมัดของใครสูงของใครต่ำแล้ว กลับเหมือนว่าประลองฝีมือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันมากกว่า เขาช่วยเสริมสร้างขอบเขตของเฉินผิงอันให้มั่นคง เพราะวิถีวรยุทธ์ของไอ้หมอนั่นค่อนข้างจะแปลกประหลาด ขาดอีกนิดเดียวก็สามารถฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหกได้ในรวดเดียว จ้งชิวมองสายสนกลในออกจึงค่อยๆ ต่อยให้ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของเฉินผิงอันกลับไปที่ขอบเขตห้าช้าๆ และระหว่างที่ประมือกัน จ้งชิวก็อาศัยกระบวนท่าหมัดของเฉินผิงอันมาพิสูจน์ความคิดในการเรียนวรยุทธ์บางอย่างด้วย หากคนผู้นี้สามารถเดินออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้ ในอนาคตการเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าก็คือเรื่องที่แน่นอนแล้ว”
โจวเฝยยกถ้วยเหล้าขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก แต่พอนึกถึงรสชาตินั้นก็ถอนหายใจอย่างเศร้าใจ ได้แต่บีบจมูกแล้วกรอกเข้าปากหนึ่งคำ “จากนั้นติงอิงและอวี๋เจินอี้ก็ปรากฏตัว คนหนึ่งมาดักเฉินผิงอัน อีกคนหนึ่งขวางจ้งชิวเอาไว้ ข้าว่าสองศึกนี้ต่างหากที่อันตรายมากที่สุด ย่อมต้องต่อสู้จนรู้เป็นรู้ตายแน่นอน”
ลู่ฝ่างยื่นนิ้วชี้ไปที่หนุ่มปักบุปผาและยาเอ๋อร์ที่นั่งอยู่นโต๊ะด้านหลัง “หม่าเซวียนจินกังชมพูและสตรีอุ้มผีผา รวมไปถึง…ใบหน้ายิ้ม อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้คิดจะฆ่าพวกเขา แต่เด็กสองคนนี้ เชื่อว่าหากไอ้หมอนั่นมีโอกาสต้องฆ่าทิ้งแน่นอน เหอะ นิสัยเช่นนี้กลับเหมือนจอมยุทธ์พเนจรผู้มีจิตใจดีงามยิ่งกว่าเฝิงชิงป๋ายเสียอีก”
“ไม่พูดถึงเจ้าและถงชิงชิง บุคคลที่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ คนที่สามารถเข้าตาข้าได้มีเพียงติงอิงและอวี๋เจินอี้เท่านั้น คนอื่นๆ ก็มีดีแค่นั้น ต่อให้เป็นจ้งชิว ต่อให้เขาได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าในอีกสี่สิบห้าสิบปีให้หลัง แล้วจะอย่างไร?”
โจวเฝยโบกมือ “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ครั้งนี้มานั่งอยู่ที่นี่ก็เพื่อรอให้เสียงกลองครั้งที่สองดังขึ้นบนภูเขาหนิวกู่ ข้าจะพาแค่ยาเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังเจ้าและพวกผู้หญิงไป ดังนั้นอีกหกสิบปีให้หลัง คงต้องฝากให้เจ้าช่วยดูแลโจวซื่อที่ไม่เอาไหนด้วย”
ลู่ฝ่างพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่คิดจะชักชวนอวี๋เจินอี้บ้างหรือ? ได้รับผลประโยชน์เพราะเป็นคนใกล้ชิดไปอีกหกสิบปี ถึงอย่างไรก็ถือว่าได้รับโอกาสมากกว่าสำนักใบถง อีกอย่างตามคำบอกของเจ้า อันดับของเจ้าอยู่ล่างสุด สามารถพาคนไปได้แค่คนเดียว นั่นก็คือยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารผู้นี้ อวี๋เจินอี้กลับสามารถพาคนไปได้อย่างน้อยสามคน เว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง สุยโย่วเปียน จู่เหลี่ยน มีคนใดบ้างที่ไม่ใช่พวกตัวประหลาดที่พรสวรรค์เลิศล้ำ ถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีปมีตัวอ่อนที่เหมาะสมแก่การฝึกตนผุดขึ้นไม่ขาดสาย พื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ก็มีคนเก่งด้านวิถีวรยุทธ์มากมาย เจ้าดึงอวี๋เจินอี้มาเป็นพวกได้ก็เท่ากับว่าสกุลเจียงจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจ้งชิวเพิ่มขึ้นมาอีกสามคน”
โจวเฝยยื่นนิ้วชี้หน้าลู่ฝ่าง “ถือว่ามโนธรรมในใจเจ้าไม่ถูกสุนัขกินไปหมด ยังรู้จักคิดพิจารณาเพื่อข้าบ้าง”
ยาเอ๋อร์เปิดปากพูดเป็นครั้งแรก นางถามอย่างขลาดกลัวว่า “เจ้าตำหนักโจว เซียนกระบี่ลู่ ถงชิงชิงคือใครกันแน่?”
โจวเฝยและลู่ฝ่างต่างก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เพราะยาเอ๋อร์ไม่รู้ถึงน้ำหนักของเจ้าประมุขสกุลเจียงสำนักกุยหยก เจ้าของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา และเซียนกระบี่คนหนึ่งที่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตสิบเอ็ดเลยสักนิด
หากยาเอ๋อร์ได้เลื่อนสู่อันดับสิบคนของพื้นที่มงคลดอกบัวก็อาจจะยังพอมีคุณสมบัติที่จะมาพูดคุยกับพวกเขา
แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับนิสัยเย็นชาอันเป็นนิสัยดั้งเดิมของลู่ฝ่างและโจวเฝยด้วย
หากเปลี่ยนมาเป็นเจ๋อเซียนอย่างเฝิงชิงป๋ายที่เป็นจอมยุทธ์พเนจรก็ยังไม่มีนิสัยยากจะตีสนิทเช่นนี้
……
บนหัวกำแพง หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยไปหนึ่งกระบี่
มุมตะวันตกสุดของทางเดินม้าที่เป็นเส้นตรงมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่อาภรณ์ตรงหน้าอกถูกฉีกเป็นรูกว้างขนาดใหญ่ เผยให้เห็นบาดแผลเลือดโชกเส้นหนึ่ง
ผู้เฒ่าทำสิ่งที่อยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้คน เขายกมือขึ้น ปลดกวานดอกบัวชิ้นนั้นโยนไปไว้บนพื้นด้านข้าง
ส่วนเรื่องที่ว่ากระบี่บินเล่มนั้นจะสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการ กลับคืนไปสู่ข้างกายของเจ้านาย ทำให้ศัตรูยิ่งมีพละกำลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นหรือไม่
เมื่อสูญเสียการปกป้องจากสมบัติอาคมเซียนอย่างกวานเต๋าชิ้นนี้แล้ว ท่ามกลางศึกใหญ่ที่ต้องเข่นฆ่ากับศัตรูซึ่งมีพละกำลังเท่าเทียมกันจะทำให้สูญเสียโอกาสเอาชนะไปส่วนหนึ่งหรือไม่
ติงอิงไม่สนใจแม้แต่น้อย
ติงอิงม้วนชายแขนเสื้อขึ้นอย่างเชื่องช้าและประณีตบรรจง
เขาคิดแล้วก็ก้มหน้าลงมองกวานดอกบัวที่เป็นหนึ่งในของเดิมพันชิ้นนั้น ครั้นจึงสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งขว้างมันไปไกลถึงเส้นทางสำหรับจักรพรรดิที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน
ติงอิงเดินมาด้านหน้าช้าๆ ท่วงท่าก้าวเดินไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป
ไม่ได้เป็นเทพแห่งพายุลมกรดที่ยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาอีกต่อไปแล้ว ขนาดกวานเต๋าสีเงินชิ้นนั้นติงอิงก็ยังสละทิ้งได้อย่างไม่ใยดี
มีเพียงมือเปล่าที่เดินเข้าหาเฉินผิงอัน
ติงอิงรู้สึกว่าทั้งร่างโล่งสบาย ไม่เคยรู้สึกเหมือนอยู่จุดสูงสุดบนยอดเขาเช่นนี้มาก่อน
เวลาต่อสู้กับใครก็ควรจะเป็นเช่นนี้!
เอาชนะคนที่อยู่อันดับสองของใต้หล้า ก็ย่อมได้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า หลักการนี้ง่ายมาก
ทว่าหลักการเช่นนี้ ไม่ว่าคนนอกจะให้น้ำหนักมากแค่ไหน หรือจะอยู่ไกลเกินเอื้อมสักเท่าไหร่ ติงอิงก็ยังรู้สึกว่ายังเบาเกินไป เล็กเกินไป
ติงอิงไม่เห็นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย!
ใช้พละกำลังของคนคนเดียวเอาชนะการร่วมมือกันของคนอีกเก้าคนที่เหลือในใต้หล้า นั่นต่างหากถึงเรียกว่าไร้เทียมทานอย่างที่ติงอิงต้องการอย่างแท้จริง
ดังนั้นท่ามกลางการเวลาอันยาวนาน ติงอิงที่มีเพียงความเงียบเหงาเดียวดายอยู่เป็นเพื่อนถึงได้ตั้งใจศึกษาข้อดีของร้อยสำนัก ดึงความรู้ด้านวิถีวรยุทธ์ของปรมาจารย์ใหญ่ทั้งหลายให้สูงขึ้นไปอีกระดับ นี่ไม่ใช่เพราะติงอิงต้องการใช้พวกมันมาเป็นยันต์คุ้มกันกายให้กับตัวเอง แต่เป็นเพราะติงอิงเตรียมพร้อมมานานแล้วว่า แค่ตนเองออกกระบวนท่าไปตามอารมณ์ก็สามารถทำลายอาคมที่แกร่งกร้าวที่สุดของปรมาจารย์ใหญ่อย่างพวกอวี๋เจินอี้ จ้งชิว หลิวจงได้อย่างง่ายดาย
เพียงแต่ว่าตอนนี้กลับมีเรื่องไม่คาดฝันใหญ่เทียมฟ้าปรากฏขึ้นมา
แต่ติงอิงกลับรู้สึกว่าแบบนี้ถึงจะถูกต้อง
แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบวนท่าที่มีลูกเล่นอะไรพวกนั้นอีกแล้ว เพราะว่ามันช้าเกินไป
บนเส้นทางที่มุ่งไปข้างหน้า ไม่มีศัตรูที่แข็งแกร่งมากพอ ต่อให้ติงอิงยืนรอ ต่อให้ติงอิงหันกลับไปมองก็ยังมองไม่เห็นเงาร่างของคนที่อยู่อันดับสอง ยิ่งไม่มีใครสามารถไล่ตามติงอิงมาได้ทัน ไม่มีใครยืนเคียงไหล่กับติงอิงได้ ดังนั้นจึงรู้สึกเพียงว่าฟ้าดินแห่งนี้ช่างเงียบเหงา มีเพียงติงอิงคนเดียวที่ช่วงชิงแข่งขันอยู่กับสวรรค์
เจ๋อเซียนที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นี้มาเยือนได้ถูกเวลายิ่ง มีหินรองฝ่าเท้าก้อนนี้ ข้าติงอิงมีแต่จะขยับเข้าใกล้แผ่นฟ้าได้มากขึ้น!
ติงอิงก้าวเร็วๆ ไปข้างหน้าพลางหัวเราะร่าอย่างสาแก่ใจ
เฉินผิงอันจับกระบี่ยาวไว้ในมือ ฝ่ามือร้อนลวก แต่กลับไม่ได้ถูกปราณกระบี่ทำร้ายให้บาดเจ็บ เขารู้สึกว่ากระบี่ที่สองนี้สามาถฟันออกไปได้เร็วกว่าเดิม
บนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ของแคว้นหนันเยวี่ยน
จากรูโหว่ขนาดใหญ่ยักษ์ของกำแพงเมืองไปจนถึงทางทิศตะวันตกสุด ตลอดทางเดินม้าทั้งเส้นล้วนเต็มไปด้วยปราณกระบี่สีขาวหิมะที่ไหลบ่าทะลักทลายซัดหลุนๆ ไปเบื้องหน้า
ส่วนกำแพงเมืองทางฝั่งตะวันตกก็มีติงอิงที่ปล่อยหมัดออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ประหนึ่งองค์เทพแห่งสรวงสรรค์ที่กำลังต่อยขุนเขา แต่ละหมัดต่อยให้ปราณกระบี่ที่กรูเข้ามาปะทะใบหน้าแตกฉานซ่านเซ็น แล้วติงอิงก็เดินไปข้างหน้าทวนกระแสปราณกระบี่ประดุจผ่าลำไม้ไผ่เช่นนี้
—–