DC บทที่ 284: ซื่อตรงต่อหัวใจของตนเอง

 

สุดท้ายเมื่อกลุ่มคนได้ติดตามซูหยางมาถึงชั้นแรก กลิ่นเหม็นรุนแรงของเลือดเนื้อก็ชอนไชเข้าไปในจมูกของพวกเธอ ต่างพากันตกตะลึงกับฉากนองเลือดซึ่งดูเหมือนกับโรงฆ่าสัตว์

 

จริงแล้วสถานที่นี้ก็ช่างน่าสยดสยองจนกระทั่งมีบางคนถึงกับอาเจียนออกมา และมีกระทั่งบางคนที่ถึงกับเป็นลมกันตรงนั้น

 

“นี่ช่างโหดร้ายนัก..”

 

แม้ว่าพวกนี้จะเป็นโจรและทำสิ่งโหดร้ายกับพวกเธอ คนเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกับฉากนี้ที่มีเพียงซากศพไม่สมบูรณ์นับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทุกตารางนิ้วบนพื้น

 

อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้สนใจฉากนี้และตรงไปยังทางออกทั้งยังเหยียบย่ำไปบนซากศพขณะที่เขาเดินออกไป

 

พวกเธอมองดูซูหยางด้วยสายตาครุ่นคิด เขาฆ่าโจรเหล่านี้ด้วยตัวคนเดียวทั้งหมดหรือ อย่างไรก็ตามพวกเธอได้เดินไปมาที่นี่ระยะเวลาหนึ่งแล้วโดยไม่พบเห็นคนอื่นอีก

 

หากว่าไปแล้วพวกเธอก็พบว่าเป็นการยากที่จะเชื่อว่าคนที่มีอายุน้อยอย่างเช่นซูหยางจะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่ฆ่าพวกโจรทั้งหมดนี้ด้วยตัวคนเดียว

 

ในเวลานี้ ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รออยู่ด้านนอกนานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว

 

“เจ้าคิดว่าจักเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือไม่ ในเมื่อเขาได้เข้าไปในซ่องโจรตามลำพัง…”

 

หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ถาม

 

“อย่าพูดอะไรที่น่ารังเกียจแบบนั้น ศิษย์พี่ชายจักต้องมิเป็นไรแน่นอน” ชีเยว่กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

 

เพียงแค่ขณะที่เธอกล่าวคำพูดเหล่านั้นจบ ก็เห็นเงาร่างหนึ่งตรงไปหาพวกเธอจากระยะห่าง และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ผู้คนกลุ่มใหญ่ก็ตามติดมาด้านหลัง

 

“ศิษย์พี่ชาย”

 

ชีเยว่พลันวิ่งเข้าไปหาเขาพร้อมรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าเธอ

 

ซูหยางสังเกตเห็นร่างเล็กๆวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วและได้ยิ้มขึ้น

 

“นี่ไม่ใช่คนตัวเล็กนั่นรึ” เขากล่าว “ขาของเจ้าดีขึ้นหรือยัง”

 

ชีเยว่พยักหน้า

 

“อื้อ และทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณศิษย์พี่ชาย”

 

ไม่นานหลังจากนั้น ซุนจิงจิงและผู้อาวุโสนิกายก็ได้ตรงเข้ามาหาซูหยาง

 

“คนที่ตามหลังเจ้ามานี่เป็นใครกัน” ซุนจิงจิงถาม

 

“พวกเธอล้วนถูกโจรจับตัวไว้ ข้าได้ปล่อยพวกเธอ เท่านั้นเอง”

 

ซูหยางจึงหันไปมองดูกลุ่มคนเบื้องหลังและกล่าวว่า “ตอนนี้พวกเจ้าล้วนเป็นอิสระ พวกเจ้าสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่เจ้าต้องการ อา…ถ้าพวกเจ้าคิดจะทดแทนข้าในการช่วยพวกเจ้าในวันนี้ นั่นมิจำเป็น…”

 

จากนั้นเขาก็มองไปยังหญิงสาวที่ต้องการตกตายมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่และกล่าวว่า “ข้าจักรักษาคำพูด ถ้าพวกเจ้าอยากจะตายมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพราะว่าความทรงจำที่เจ็บปวด ข้าจักมิหยุดยั้งพวกเจ้าแม้ว่าพวกเจ้าจะฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้”

 

“…”

 

สถานที่นั้นเงียบสงัดลง และหลังจากที่เงียบไปอีกชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นต่อว่า “ถ้าจะว่าไปแล้ว ถ้าพวกเจ้าต้องการ ข้าสามารถลบความทรงจำที่เจ็บปวดของพวกเจ้าได้…”

 

บรรดาหญิงสาวมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง

 

“ท่าน… ท่านสามารถทำเช่นนั้นด้วยรึ”

 

“แน่นอน”

 

“ได้โปรด… ได้โปรดช่วยข้าให้ลืมมันไป…”

 

หนึ่งในหญิงสาวพลันร้องขอเขาพร้อมกับร้องไห้ และคนอื่นๆก็ทำตามอย่างรวดเร็ว

 

ถ้าพวกเธอสามารถอยู่ต่อได้โดยปราศจากความทรงจำในเวลาที่อยู่ในซ่องโจร มีชีวิตอยู่เหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่นนั้นหญิงสาวเหล่านี้ย่อมเลือกทำเช่นนี้แทนการตาย

 

แม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังเรียบเฉย ซูหยางได้ยิ้มอยู่ภายในใจ

 

“เช่นนั้นก็ดี” เขาพยักหน้า

 

“ยืนเข้าแถวตรงหน้าข้าและข้าจักลบความทรงจำให้กับเจ้า อย่างไรก็ตามในการที่ข้าจักทำเช่นนั้น ข้าจำเป็นต้องเห็นความทรงจำของเจ้าบางอย่าง หวังว่าพวกเจ้าไม่ถือ”

 

หญิงสาวต่างพากันเข้าแถวตรงหน้าซูหยางที่วางมือลงบนหน้าผากของหญิงสาวเหล่านั้นและหลับตาลง

 

และหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ซูหยางก็ได้ใช้วิชาอันลึกล้ำอ่านทะลุความทรงจำของหญิงสาวเหล่านี้ก่อนที่จะปิดกั้นพวกมันไว้

 

ตามความเป็นจริงสิ่งที่ซูหยางทำอาจจะไม่ใช่เป็นการ “ลบ” ความทรงจำเสียทีเดียวแต่เป็นแค่เพียงการ “ปิดกั้น” ซึ่งมันสามารถเรียกคืนกลับมาได้ในอนาคต สิ่งเดียวกับที่ตระกูลซูได้ทำไว้กับเขา

 

กล่าวไปแล้วตราบเท่าที่หญิงสาวเหล่านี้ไม่ได้ฝึกฝนวิชาจนถึงขั้นที่พวกเธอสามารถลบการปิดกั้นความทรงจำออกไปได้ พวกเธอก็จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความทรงจำเหล่านี้ไปจนตาย

 

หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมงเกือบทุกคนที่นั่นที่ถูกจับโดยโจรภูผาแดงก็ได้ถูกปิดกั้นความทรงจำจากซูหยาง

 

“ข..ข้ามิสามารถจำอะไรได้ในช่วงสามเดือนหลังนี้…”

 

“ข-ข้าก็เช่นกัน ข้ามิสามารถนึกขึ้นมาได้ไม่ว่าข้าจะพยายามมากมายเพียงใด”

 

ผู้คนในที่นั้นต่างพากันมีสีหน้าประหลาดใจก่อนที่จะมองไปยังซูหยาง

 

แม้ว่าความทรงจำของพวกเธอได้ถูกปิดกั้นไว้ พวกเธอก็ยังคงจดจำซูหยางได้ แม้ว่าพวกเธอจะไม่สามารถจำได้ว่าเขาทำอะไรไปกับพวกเธอบ้าง พวกเธอก็ไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าความสำนึกบุญคุณต่อเขา

 

หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าความทรงจำของพวกเธอได้ถูกปิดกั้นอย่างดีแล้ว ซูหยางก็ได้กล่าวกับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยว่า “ตอนนี้พวกเราสามารถกลับนิกายได้แล้ว”

 

“หือ แล้วคนพวกนี้ล่ะ”

 

ผู้อาวุโสนิกายคนหนึ่งถาม

 

“ข้าได้ให้อิสระกลับคืนแก่พวกเธอแล้ว สิ่งที่พวกเธอทำจากนี้ไปมิใช่เรื่องของข้าอีก”

 

“…”

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่จะจากพวกเธอ ซูหยางได้ทำให้มั่นใจว่าให้ทองแก่พวกเธอไปบ้างแล้วพอเพียงที่จะมีชีวิตอยู่ตราบจนวันตายโดยไม่ต้องทำงาน

 

“ซูหยาง พวกเราจะกลับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างไร ถ้าเรามิใช้ยานบิน นั่นพวกเราต้องใช้เวลาสองสามวัน…” ซุนจิงจิงถามเขา

 

“แม้ว่ามันจะยุ่งยากในการเดินทางกลับไปกลับมาหลายครั้งด้วยยานบิน มันต้องเร็วกว่าการเดินเท้าแน่นอน

 

ซูหยางมองดูซุนจิงจิงชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดถึงอะไรกัน ในเมื่อตอนนี้พวกเขามิได้ตกอยู่ในอันตรายแล้ว เรามิจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป”

 

ซูหยางพลันนำเอาเรือไม้ออกมาและกระโดดขึ้นไป

 

ไม่นานนักซูหยางก็พูดกับซุนจิงจิงที่ยังคงยืนอยู่ที่ตรงนั้นอย่างุนงงว่า “เจ้ารออะไรอยู่ ถ้าเจ้ามิขึ้นมา ข้าจักกลับไปเพียงลำพัง…”

 

“ข-ข-ข้ามาแล้ว”

 

ซุนจิงจิงไม่ได้มัวแต่ครุ่นคิดเรื่องนั้นอีกต่อไป เธอกระโดดขึ้นไปบนเรือไม้กับเขา

 

“เช่นนั้น…พวกเราจักพบกันอีกครั้งที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…” ซุนจิงจิงกล่าวกับบรรดาศิษย์ที่ยังคงตะลึงงันด้วยเสียงอับอายเล็กน้อยก่อนที่เรือไม้จะหายลับไปจากสถานที่นั้น

 

ครั้นเมื่อพวกเขาจากสถานที่นั้น ซุนจิงจิงได้ถามซูหยางว่า “เจ้าสามารถบอกเหตุผลที่ไม่พาพวกเขามากับพวกเราได้หรือไม่ ข้ามิเชื่อว่าคนอย่างเจ้าจักปล่อยให้พวกเขาอยู่ตรงนั้นเช่นนั้นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร”

 

ซูหยางมีท่าทางเรียบเฉยและถามเธอว่า “เจ้าได้อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรือยัง”

 

“ข้าอธิบายแล้ว…”

 

“ทุกสิ่งรึ”

 

“ใช่…”

 

“เช่นนั้นเจ้าได้หยุดคิดบ้างไหมว่าบางทีพวกเขาบางคนอาจจะไม่ต้องการกลับไปนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหลังจากที่รู้ว่าสถานที่ที่พวกเขาเคยรู้จักนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว”

 

ดวงตาของซุนจิงจิงโตขึ้นด้วยความตระหนกเมื่อได้ตระหนักถึงความเป็นไปได้นี้

 

ในเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ถูกทอดทิ้งจนถึงขั้นนี้ ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้จะยังคงเป็นศิษย์ของสถานที่แบบนี้อีกต่อไปหรือไม่ ว่าไปแล้วแม้ว่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ถือว่าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างแท้จริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างเป็นทางการ

 

ส่วนสำหรับผู้อาวุโสนิกาย บางทีพวกเขาอาจจะไม่ต้องการที่จะอยู่ในสถานที่ที่เกือบไม่มีศิษย์อีกต่อไปก็ได้

 

“ข้าปล่อยพวกเขาไว้ที่นั้นก็เพื่อให้พวกเขาได้สามารถตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการที่จะกลับนิกายหรือไม่ ส่วนที่ว่าทำไมข้ามิได้พวกเขาเช่นนี้…พวกเขาตอนนี้จักสามารถตัดสินใจให้ตนเองได้อย่างจริงจังโดยปราศจากการแทรกแซง อีกนัยหนึ่งพวกเขาจะได้ซื่อตรงต่อหัวใจของตนเอง”

 

“…”

 

ซุนจิงจิงเงียบลงไป แต่สายตาของเธอที่จ้องมองไปยังซูหยางนั้นเต็มไปด้วยความประทับใจ เมื่อคิดว่าความคิดของเขาก้าวไปไกล…ช่างน่าประทับใจอย่างแท้จริง

PS: จากที่ผมได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า ผมแปลตามต้นฉบับทันแล้ว และต้นฉบับก็ไม่ได้ลงทุกวัน ทำให้การติดตามของพวกเรานั้นกระท่อนกระแท่น ผมจึงเห็นว่าต่อไป ผมจะแปลและลงทุกตอนที่ต้นฉบับได้ออกมาให้ในวันเสาร์ทุกเสาร์แทน เพื่อที่พวกเราจะได้ไม่ต้องมาไล่คลิกดูว่าเมื่อไหร่กันที่เรื่องนี้จะออกตอนใหม่มา ดังนั้นนัดของพวกเราก็คือเสาร์หน้า และเสาร์ถัดๆไปในเวลาเดิม 18:00 น หากมีข้อคิดเห็นเสนอแนะ ติดต่อกันที่ [email protected] นะครับ เสียดายที่ทางเวปไซต์ไม่มีให้คอมเมนต์ ขอบคุณที่ติดตามมากนะครับ