DC บทที่ 285: ข้าได้ตัดสินใจเลือกคู่

 

ณ ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หลังจากได้รับข่าวจากซุนจิงจิง โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายหลายคนได้มารอพวกเขากลับที่ศาลาหยินหยาง

 

“พวกเขาอยู่ที่ไหน ศิษย์ซุนได้ส่งข่าวบอกว่าพวกเขาจะมาถึงที่นี่เร็วๆนี้เมื่อชั่วโมงก่อน แต่พวกเขายังมาไม่ถึงที่นี่”

 

หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นกังวลว่าจะเกิดข่าวร้ายกับพวกเขา

 

“อย่ากังวล ข้าได้รับข้อความก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาอาจจะมาถึงช้าเล็กน้อย”

 

โหลวหลานจีพูดกับเธอ

 

และขณะที่เธอพูดถ้อยคำเหล่านั้นจบ เรือไม้ก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือพวกเธอโดยปราศจากเสียงแม้แต่น้อย สร้างความตกใจให้กับเหล่าผู้อาวุโสนิกายที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

 

“ใจเย็นๆ..”

 

โหลวหลานจียิ้มเมื่อเธอเห็นเรือไม้อยู่เหนือพวกเธอ

 

ไม่กี่วินาทีถัดไป ร่างสองร่างก็กระโดดจากเรือไม้ลงมายืนต่อหน้าพวกเธอ

 

“เจ้าสองคนได้ทำการช่วยเหลือศิษย์รุ่นเยาว์ได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่ามิอาจกล่าวได้ว่าข้ามิได้สงสัยในความสามารถของพวกเจ้าแม้แต่น้อย ข้าก็ดีใจที่พวกเจ้าทั้งสองสามารถกลับมาหาพวกเราได้ครบสามสิบสอง”

 

โหลวหลานจีพูดกับพวกเขา

 

“ว่าไปแล้ว ศิษย์รุ่นเยาว์อยู่ไหนกัน”

 

โหลวหลานจีมองไปรอบๆแต่ก็ไม่พบร่องรอยของพวกเขา รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง

 

“เรามิได้กลับมาพร้อมกับพวกเขา”

 

ซุนจิงจิงบอกเธอตามตรง

 

“อะไรนะ”

 

ทั้งโหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายมองดูซุนจิงจิงด้วยดวงตาโต

 

“ศิษย์รุ่นเยาว์ยังคงอยู่ที่ชายแดน…”

 

ซุนจิงจิงทำการอธิบายสถานการณ์ให้กับโหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกาย

 

“ข้าเข้าใจ…”

 

โหลวหลานจีถอนหายใจพร้อมกับหลับตาหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของซุนจิงจิง เข้าใจถึงสถานการณ์ได้อย่างแท้จริง

 

ถ้าศิษย์รุ่นเยาว์ต้องการที่จะจากไป เธอสัญญาว่าจะไม่กล่าวโทษพวกเขา

 

โหลวหลานจีหันไปมองดูซูหยางพร้อมขมวดคิ้ว

 

หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ เธอก็พูดขึ้นว่า “แม้ว่าจริงแล้วข้าต้องการที่จะดุด่าเจ้ากับการกระทำในวันนี้ ข้าก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ในเมื่อเจ้ามิเพียงช่วยเหลือศิษย์รุ่นเยาว์เท่านั้นแต่ยังคงช่วยเหลือผู้บริสุทธ์เคราะห์ร้ายเหล่านั้นจากภายในซ่องโจรด้วย และสำหรับเหตุการณ์นี้ ข้าต้องขอบใจเจ้ามาก”

 

“นั่นมิได้มีอะไรมาก” ซูหยางกล่าวผ่านๆ

 

“ตอนนี้พวกเราก็ได้แต่รอและหวังว่าอย่างน้อยพวกเขาบางคนจะกลับมา…” โหลวหลานจีถอนหายใจ

 

ต่อจากนั้นโหลวหลานจีก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไป

 

หลังจากที่แยกย้ายจากกันไปแล้ว ซูหยางก็กลับไปยังที่พักของเขาและฝึกฝนวิชาต่อไป

 

 

 

 

ชั่วพริบตาเวลาสี่วันก็ผ่านไปนับตั้งแต่ภารกิจช่วยเหลือ และก็ยังไม่มีศิษย์รุ่นเยาว์แม้สักคนเดียวได้กลับมาหลังจากนั้น

 

“บางทีพวกเขาทั้งหมดได้ละทิ้งพวกเราไปแล้ว…”

 

ซุนจิงจิงถอนหายใจขณะที่เธอฝึกวิชากระบี่ในลานบ้าน

 

“ใครจะรู้…”

 

ผู้อาวุโสซุนพูดขณะที่เขามองดูม้วนคัมภีร์ในมือ

 

“ในขณะที่มันเป็นคราวเคราะห์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ได้ตัดสินใจมิกลับมาอีก จากใจแล้วนั่นก็ไม่เลวนัก ในเมื่อพวกเขามีมากกว่าหนึ่งร้อยคน มิใช่ว่าจะมีเพิ่มอีกหนึ่งร้อยคนจักช่วยนิกายมีชื่อเสียงกลับคืนมาเช่นอดีตได้”

 

“นั่นก็ใช่ แต่คนหนึ่งร้อยคนย่อมเพิ่มจำนวนประชากรของพวกเรา ดังนั้นปู่ย่อมมิอาจพูดได้ว่านั่นมิมีอะไรเลย”

 

ซุนจิงจิงพลันหยุดการกวัดแกว่งกระบี่และถามผู้อาวุโสซุน “ปู่คิดว่าจักเกิดอะไรขึ้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไหม พวกเราจักอยู่รอดจากสถานการณ์นี้หรือไม่ หรือว่าเราจักต้องตาย”

 

ผู้อาวุโสซุนหลับตาลงครุ่นคิด

 

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เขาก็พูดขึ้นว่า “ถ้าให้ข้ากล่าวจากใจจริงกับเจ้า ข้ามิอาจคาดเดาได้… และข้ามั่นใจว่าผู้อาวุโสนิกายคนอื่นก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน”

 

ขณะที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอาจจะร่ำรวยด้วยวิชาและทรัพยากร หากปราศจากศิษย์ความร่ำรวยเหล่านั้นย่อมไม่มีค่าอะไร

 

ยิ่งไปกว่านั้นเพราะว่าวิธีการสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยใช้ในการฝึกวิชา นั่นย่อมยากที่จะหาศิษย์เมื่อเปรียบเทียบกับนิกายขนาดกลางทั่วไป ในเมื่อวิธีการฝึกฝีมือนี้ย่อมผลักดันคนส่วนใหญ่ออกห่างโดยไม่แม้จะคิดอีกเป็นครั้งที่สอง

 

“เช่นนั้นทำไมปู่จึงตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ในเมื่อปู่สามารถจากไปได้ ปู่อาจจะตายได้รู้ไหม อย่างไรก็ตามที่ข้าตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่นั้นก็เป็นเพราะว่าปู่นั่นแหละ”

 

“ที่นี่เป็นที่ข้าเติบโตมา… โดยพื้นฐานแล้วข้ามิอาจทอดทิ้งมันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่มีอันตราย”

 

“อืม… อย่างนั้นรึ…”

 

“แล้วเจ้าล่ะ เจ้ามั่นใจรึว่าเจ้าต้องการอยู่ที่นี่ แทนที่จะอยู่ที่นี่ เจ้าควรจะไปที่อื่นในตอนนี้ สถานที่ที่สามารถช่วยเจ้าเติบโตได้อย่างเหมาะสม หากปราศจากการร่วมฝึกคู่ก็มิมีความหมายใดที่จะต้องอยู่ที่นี่…”

 

ผู้อาวุโสซุนถอนหายใจและกล่าวต่อว่า “ตระกูลซุนได้เจ้ากี้เจ้าการบอกข้าให้โน้มน้าวเจ้าให้หยุดติดตามข้าตั้งแต่เดือนก่อน เจ้ารู้ไหม พวกเขายังกระทั่งอ้างว่าศักยภาพของเจ้าจักสูญเปล่าหากยังอยู่ที่นี่”

 

“…”

 

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็ยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเขาย่อมหยุดบ่นปู่ถ้าข้าพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าข้าได้เลือกเส้นทางที่ถูกต้องหากอยู่ที่นี่ ใช่ไหม”

 

“แล้วเจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรรึ นอกจากวิชากระบี่ของเจ้าแล้ว เจ้าแทบจะไม่ได้พัฒนาอะไรนับตั้งแต่มาที่นี่”

 

“ข….ข้าได้ตัดสินใจเลือกคนที่จะร่วมฝึกไว้แล้ว”

 

ซุนจิงจิงพลันเปิดเผยออกมา เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสซุนดวงตาเบิกโพลงราวกับไข่

 

“เจ้า…แต่นั่นมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถ…”

 

เมื่อผู้อาวุโสซุนตระหนักได้ในเรื่องนี้ เขาพลันขมวดคิ้ว “ไม่ ข้ามิเห็นด้วยในเรื่องนี้ เจ้าสามารถเลือกคนอื่นได้นอกจากเจ้าเด็กเลวซูหยางนั่น เขาเป็นคนประเภทที่จักมินำสิ่งอื่นมานอกจากปัญหา ถ้าเจ้าพาตัวไปเกี่ยวข้องกับเขา”

 

“ข้าต้องขอโทษ ปู่ แต่ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว”

 

ซุนจิงจิงไม่ได้เถียงเขา เพียงแสดงถึงรอยยิ้มมั่นใจ

 

“เจ้า…. เฮ้อ”

 

ผู้อาวุโสซุนถอนหายใจเสียงดัง

 

เขาไม่อาจจะมีแม้เรี่ยวแรงใดไปชักจูงเธอ ในเมื่อไม่มีใครในโลกนี้ที่เข้าใจความดื้อดึงของเธอได้ดีกว่าเขา ครั้นเมื่อเธอได้ตัดสินใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอยิ้มแบบนั้นแม้แต่บุพการีก็ไม่อาจจะเปลี่ยนใจเธอได้

 

“ถ้านั่นเป็นการตัดสินใจของเจ้า เช่นนั้นก็ให้เป็นไปตามนั้นเถอะ อย่างไรก็ตามอย่ามาร้องไห้หาข้าในอนาคตเมื่อสิ่งต่างๆมิเป็นไปตามที่หวัง ต่อให้เจ้าเป็นหลานรักของข้าก็ตาม”

 

“อย่ากังวลเลยปู่ ปู่ก็ควรรู้ในตอนนี้ว่าข้ามีสายตาเฉียบคมในเรื่องคน มิใช่ว่าตัดสินใจอย่างหยาบๆ”

 

“ถ้าเจ้าพูดเช่นนั้นละก็…”

 

แม้ว่าผู้อาวุโสซุนได้ผลักสถานการณ์นี้ออกจากความรับผิดชอบ เขาก็อดที่จะกังวลในใจไม่ได้