แม้จะเข้าช่วงฤดูหนาวแล้วก็ตาม แต่ยังคงจับตัวเบอร์รี่ไม่ได้ ลองสืบหาจากครอบครัว ญาติสนิท ไปจนถึงคนรู้จักของหล่อนแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้เรื่องอะไรเลย

ยังสงสัยว่าเพียงแค่เด็กหญิงอายุสิบขวบปลายๆ ที่ไม่มีอะไร ทำไมถึงหาไม่เจอกันนะ ถือว่าประเด็นสำคัญอย่างมากทำให้มีการเน้นย้ำความปลอดภัยในการเข้าออกเมืองหลวงมากขึ้น

ความสงสัยยิ่งเพิ่มมากขึ้น พอดีกับได้เวลาพอเหมาะที่อาเรียจะใช้แอนนี่เพื่อเติมเชื้อไฟให้โหมแรงมากขึ้นเช่นกัน

‘หากหล่อนไม่มีใครคอยอยู่บงการเบื้องหลัง ฤดูหนาวแบบนี้ไม่มีทางที่จะหนีไปคนเดียวได้แน่!’

บอกไว้อย่างนั้น

แม้จะดูว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นก็ตามความจริงแล้วข่าวลือที่เบอร์รี่มีคนคอยช่วยอยู่เบื้องหลังจริงๆได้ถูกแพร่กระจายไปทั่ว จนกระทั่งกองรักษาการณ์มาสอบสวนข้ารับใช้ถึงที่คฤหาสน์

“ไม่ใช่ดิฉันนะคะ! ดูดิฉันสิคะ ดิฉันชอบเลดี้อาเรียมากแค่ไหนกัน!”

“ไม่ใช่กระผมเช่นกันครับ! เป็นข้ารับใช้เหมือนกัน ถึงจะไปช่วยคนที่หลบหนีไปจะช่วยไปได้สักกี่น้ำกัน”

พวกเขาต่างแก้ต่างให้ตัวเองด้วยความไม่พอใจ แม้จะช่วยข้ารับใช้ด้วยกันก็ไปได้ไม่ไกลนัก เมื่อรู้ความจริงพวกเขาจึงหยุดสอบสวนข้ารับใช้ในคฤหาสน์

เพราะการสืบสวนได้รับข้อแก้ต่างที่น่าเชื่อถือออกมา

“คนที่ไม่ชอบเลดี้ในคฤหาสน์นี้ก็มีแค่เอ็มม่าล่ะมั้ง คุณเอ็มม่าน้อยใจอาเรียที่มีต้นกำเนิดมาจากชนชั้นธรรมดาเลยไม่ชอบเท่าไร ชอบด่าว่าโสโครกอยู่ตลอดเลยน่ะค่ะ”

คำพูดนั้นเป็นของแอนนี่

ในช่วงที่อาเรียโดนยาพิษก็คอยอยู่ด้วยกัน และหล่อนมีประสบการณ์เคยทำงานเป็นลูกน้องของเอ็มม่าทำให้คำพูดของเธอน่าเชื่อถือ

แน่นอนว่านั่นไม่ใช่คำพูดของเธอแค่คนเดียว ข้ารับใช้อีกหลายคนต่างรู้สึกตรงกันจึงพูดเสริมไปด้วย จึงทำให้คำพูดนั้นน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเล่าจากประสบการณ์ส่วนตัวของอาเรียที่เคล้าน้ำตาก็ช่วยได้เยอะ

“เอ็มม่าเหรอคะ ไม่รู้สิคะ… ดูเหมือนว่าเอ็มม่าจะคิดว่าดิฉันทำให้เกียรติยศของเลดี้มิเอลต้องแปดเปื้อนแน่เลยค่ะ ซึ่งนั่นก็มีส่วนที่จริงอยู่ด้วย อย่างที่ทราบ ต้นกำเนิดของดิฉัน… ไม่ได้ดีเท่าไร จะให้ยืนเทียบชั้นกับมิเอลยังมีส่วนที่บกพร่องอีกมากเลยนี่คะ”

กองรักษาการณ์ต่างพุ่งสายตาไปมองอาเรียที่ตอบคำถาม ขอบตาคู่นั้นแดงก่ำทีไรทำให้สายตาที่มองอยู่รู้สึกเศร้าไปด้วยเหมือนกัน

เธอสวมชุดเดรสลำลองสีขาวที่ไม่มีลวดลายอะไรทับด้วยเสื้อนอกเนื้อผ้าดูนุ่มสีชมพูอ่อนทำให้เธอดูเหมือนนางฟ้าลงมาจากสวรรค์

ทุกครั้งที่ตอบอย่างเบาๆ พร้อมกับนัยน์ตาสีเขียวอ่อนที่กะพริบถี่ รวมไปถึงผมสีทองเป็นประกาย นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้องครักษ์หน้าแดงก่ำได้ง่ายๆ

“แล้วลองคุยกับเลดี้มิเอลรึยังครับ”

“เอ่อ ยังนะคะ มิเอลดูท่าจะตกใจมากอยู่เลยไม่ได้พบกันเลยค่ะ”

“อย่างนั้นสินะครับ… เพราะร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรใช่ไหมครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามคุณมิเอลสนิทกับเอ็มม่านี่ครับ อาจจะทราบเรื่องสักอย่างก็ไม่รู้นะครับ”

จากนั้นก็ปล่อยข่าวลือโยงไปถึงมิเอลอย่างแนบเนียน อาเรียที่ตอบคำถามอยู่พักใหญ่เหลือบไปเห็นถ้วยชาที่ค่อยๆ เย็นลงจึงหันไปเรียกเจสซี่และแอนนี่

“เจสซี่ แอนนี่ ถ้วยชาขององครักษ์เขาเริ่มเย็นลงแล้วน่ะ แล้วก็น่าจะเริ่มหิวแล้วด้วย วานไปเตรียมขนมกับผลไม้มาให้หน่อยแล้วกัน”

“มะ ไม่เป็นไรหรอกครับ อีกไม่นานพวกเราก็จะกลับแล้วครับ”

อาเรียจับมือขององครักษ์ที่ตกใจโบกมือปฏิเสธพลางเผยรอยยิ้มที่อ่อนหวานให้พร้อมกับส่ายหัวตอบ

“อากาศยังหนาวอยู่เลยแล้วต้องมาลำบากเพราะดิฉันอีก อย่าเกรงใจเพราะเรื่องแค่นี้เลยนะคะ หวังว่าจะได้พักผ่อนสักหน่อย ได้โปรดอย่าปฏิเสธเลยนะคะ”

“…เอ่อ ถ้าอย่างนั้นขอรบกวนเลดี้สักครู่นะครับ”

ไม่มีใครปฏิเสธสิ่งที่เธอได้เตรียมการมาเพื่อหลอกล่อนั้นได้หรอก

เและแล้วพวกเขาที่ได้พบกับอาเรียก็จะรู้สึกโกรธที่เลดี้แสนงดงามและบริสุทธิ์เช่นนี้กลับโดนปองร้าย ต่อไปการสอบสวนก็จะเริ่มเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากขึ้น เพราะอย่างนั้นเอ็มม่าจึงกลายเป็นคนหนุนหลังเรื่องนี้ได้ไม่ยากเท่าไร

“เลดี้คิดว่าเอ็มม่าเป็นคนร้ายจริงเหรอคะ”

แอนนี่จัดโต๊ะพลางถาม ดอกทิวลิปที่เปลี่ยนน้ำถูกจัดใส่ใหม่ดูสดราวกับเพิ่งตัดมาอย่างนั้น

อาเรียเหลือบไปมองเพียงชั่วครู่แล้วก็หันสายตาไปอ่านหนังสืออีกครั้งพร้อมกับตอบ

“คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”

“ดิฉันก็คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกันค่ะ! แน่นอนอยู่แล้วค่ะ เพราะดิฉันเคยโดนคุณเอ็มม่าสั่งงานมาก่อนนี่คะ”

แล้วแอนนี่ที่สังเกตได้ว่าตัวเองทำผิดพลาด แอบลองมองอาเรียและเริ่มแก้ต่างให้ตัวเอง

“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่ก็แตกหักกันแล้วค่ะ! เพราะเข้าใจว่าทำผิดพลาดไปอย่างไรล่ะคะ! ตอนนี้ไม่เกี่ยวกันแล้วค่ะ ตอนนี้ดิฉันมีแค่เลดี้นะคะ!”

อาเรียหัวเราะไปกับภาพที่หล่อนเผลอโดนประเด็นตัวเองเข้า แอนนี่หน้าแดงก่ำทันที

“เอ่อ อย่างไรก็ตาม ถ้าเบอร์รี่ถูกจับก็จะจับคนบงการได้ใช่ไหมคะ เพราะคุณเอ็มม่าคอยดูแลรับผิดชอบฝ่ายกองรักษาการณ์อยู่ด้วย จะหนีไปได้ลำบากอีกน่ะค่ะ”

“นั่นน่ะสิ ต้องเผยตัวคนบงการให้เร็วนี่นา”

เพราะคนที่อยู่หลังเอ็มม่าเป็นคนบงการจริงๆ อย่างไรล่ะ

แต่อาจจะเผยตัวว่าหล่อนเป็นคนบงการได้ยาก หากไม่เสียสติไปซะก่อนมิเอลไม่มีทางที่จะสั่งการกับเบอร์รี่โดยตรง ดังนั้นเบอร์รี่ก็ไม่น่าจะเป็นพยานให้ได้

‘แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามหากชี้ตัวว่าเอ็มม่าเป็นคนบงการแล้วล่ะก็ มิเอลคงจะไม่ได้อยู่อย่างสุขสบายแน่’

ไม่ใช่ว่าเดินตามรอยแม่ของหล่อนหรอกเหรอ อาจจะเกิดข้อสงสัยแม้สักนิดก็ตามว่ามิเอลอาจจะขึ้นเรือลำเดียวกันก็เป็นได้

คนที่ตั้งใจจะฆ่าแต่ฆ่าไม่ได้ และกลับเป็นผู้ทำลายคนของหล่อนอยู่แบบนี้ในใจของหล่อนจะแหลกเหลวแค่ไหนกันนะ

ได้ลากเวลาไว้เท่าที่พอใจแล้ว คราวนี้เหลือแค่จับเบอร์รี่ที่ซ่อนตัวอยู่เท่านั้น

อาเรียวางหนังสือที่อาซแนะนำหลังอ่านเสร็จลงบนโต๊ะ แล้วพูดกับแอนนี่

“จะว่าไป หน้าหนาวแบบนี้ไปหาดอกทวิลิปมาจากไหนเหรอ ไม่ได้ชอบถึงขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องออกไปแบบนั้นทุกวันก็ได้นี่นา”

“ทิวลิปเหรอคะ ดิฉันน่ะหรือคะ นี่ไม่ใช่ดอกไม้ที่เลดี้ได้รับเป็นของขวัญหรอกเหรอคะ”

“อะไรนะ จำได้ว่าไม่เคยรับของขวัญแบบนั้นเลยนะ…”

“จริงหรือคะ ถ้าอย่างนั้นใครเอามาวางไว้ล่ะ เจสซี่เหรอ เห็นว่าเปลี่ยนตั้งหลายครั้งแล้วนี่นา”

จากคำพูดของแอนนี่ที่ไม่รู้ว่าใครมาเปลี่ยนดอกทิวลิปที่ไม่เหี่ยวซะที ทำให้เธอคาดเดาได้ว่าใครเป็นคนเอาดอกไม้นี้มาให้

‘หรือว่า…อาซ?’

นอกจากนั้นก็นึกไม่ออกแล้ว เพราะเขามีพลังหายตัวที่จู่ๆ จะไปที่ไหนก็ได้ จึงพอจะมาถึงคฤหาสน์ได้

แล้วเขามาตอนไหนกันนะ เห็นว่าเชี่ยวชาญด้วยนี่นา แต่ถ้าใช้พลังเยอะๆ ร่างกายจะไม่เป็นไรใช่ไหมนะ

แม้จะน้อยใจนิดหน่อยที่แม้จะปล่อยข่าวว่าตัวเองเจอเรื่องน่ากลัวจนไม่สบายไปขนาดนี้แล้วยังไม่โผล่มาให้เห็นหน้าด้วยซ้ำ แต่ที่จริงแล้วหัวใจเธอได้ละลายไปพร้อมกับน้ำแล้ว

‘อย่างน้อยก็มาให้เห็นหน้าสักหน่อยแล้วค่อยไปสิ’

จะยุ่งอะไรขนาดที่วางดอกไม้แล้วไปเลยเนี่ยนะ ไม่มีใครเห็นด้วยหรือว่าจะมาตอนเช้าตรู่ มัวคิดว่าจะไม่นอนแล้วลองรอดีไหมอยู่สักพักพลางจับกลีบดอกไม้ไปมาด้วยความเสียดาย ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าหยาบๆ เข้ามาใกล้จนเธอสะดุ้ง

ใครกันมาเดินในคฤหาสน์เสียงดังโครมคราม

ข้ารับใช้ก็ระวังตัวในแต่ละอย่างอยู่แล้วส่วนสองสามีภรรยาท่านเคานต์กับมิเอลไม่ต้องพูดถึง ยิ่งชั้นสามมีแค่ห้องของอาเรีย เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นต้องมาหาเธอแน่นอน ทำไมถึงได้ขยับตัวเกินไปขนาดนั้นกัน

ในไม่ช้าเสียงฝีเท้าก็หยุดลงตรงหน้าห้องของเธอ ทันใดนั้นแอนนี่และอาเรียก็ตกใจจนตัวแข็งไปหมด เพราะไม่นานมานี้เพิ่งเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ยิ่งทำให้เธอตกใจกลัว

แต่ทว่าหยุดไปพักใหญ่แล้วแต่ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาเลย จนต้องเป็นฝ่ายถามไปว่าเป็นใครกันแน่

“ใครเหรอคะ”

แอนนี่ที่ถามด้วยเสียงสั่นแต่ก็ไม่มีคำตอบใดจากนอกประตูกลับมา ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่ดูเหมือนจะลังเล ราวกับเสียงย่ำเท้าเดินออกไปไกล สักพักก็เดินเข้ามาใกล้อย่างนั้น

ใครกันนะ ทำเสียงดังแบบนี้ดูท่าแล้วคงจะไม่ใช่คนนอกล่ะมั้ง แอนนี่ก็คิดเหมือนกันจึงถามอาเรียอย่างระมัดระวัง

“ออกไปดีไหมคะ?”

ทันทีที่อาเรียพยักหน้าตอบ แอนนี่ก็ออกไปดูข้างนอก และแอนนี่ก็ตกใจกับแขกที่ไม่คาดคิดจนร้องเสียงดังออกมา

“ท่านเคน…?!”

เคนเนี่ยนะ?

อาเรียตกใจจนลุกขึ้น ทำไมกัน อีกไม่นานก็จะได้เวลากลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ เปิดประตูไปอย่าช้าๆ ก็พบกับเคนที่อยู่ด้านนอกจริงๆ

เขาที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวจ้องอาเรียพร้อมกับขมวดคิ้ว

การปรากฏตัวที่ไม่คาดคิดของเคนทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก ส่วนเคนที่จ้องอาเรียอยู่พักใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดปากพูด

“…ได้ยินว่าเจอเรื่องใหญ่เลยนี่”

อาเรียค่อยๆ พยักหน้าตอบคำถามของเขา เพราะอย่างนั้นผ้าคลุมนุ่มที่คลุมไหล่เธออยู่จึงหล่นลงพื้น เคนมองร่างกายที่ซูบผอมเนื่องจากไม่ได้ทานอาหารอย่างเท่าที่ควรอยู่นานพลางกัดริมฝีปากล่างของตัวเองราวกับเจ็บปวดที่เห็นภาพนั้น

อาเรียที่เห็นสภาพเขาแบบนั้นก็แปลกใจและสงสัยจึงได้แต่มองเขาอยู่อย่างนั้น เคนที่ทำท่าทางเหมือนกันจะพูดอะไรอยู่หลายครั้งจนท้ายที่สุดก็ถอนหายใจแล้วเดินจากไป

“…อะไรของเขา”

แอนนี่ได้แต่หัวเราะกับคำถามของอาเรียและให้คำตอบนั้นไม่ได้เช่นกัน

* * *

เพราะเคนที่มาตั้งแต่เช้าโดยที่ไม่บอกกล่าวก่อนทำให้อาเรียลงไปห้องอาหารที่ไม่ได้ไปมาพักใหญ่ หากเธอเหนื่อยก็ไม่จำเป็นที่จะลงไปก็ได้ แต่เพราะสงสัยว่าทำไมเขาถึงรีบกลับมาเร็วขนาดนี้ต่างหาก

ดูเหมือนว่าทุกคนต่างคิดเหมือนกัน มิเอลที่กักตัวขังตัวเองอยู่แต่ในห้องไม่รู้ว่าเป็นสาเหตุของเรื่องนี้หรือเปล่าและท่านเคานต์ที่ธุรกิจคลังสินค้าเริ่มจริงจังขึ้น และกำลังจะกระจายออกไปในพื้นที่ใกล้เคียงใกล้เข้ามาอีกก้าวแล้ว

แต่เคนกลับไม่บอกเหตุผลที่ตัวเองกลับมาก่อนกำหนด

“ตั้งใจจะไปพิธีจบการศึกษาเลยเตรียมชุดไว้แล้วนะเนี่ย เสียดายจริงๆ เลย”

“ก็แค่รวมตัวกันแล้วก็ฟังคำกล่าวสุนทรพจน์เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ”

เคนตอบเคาน์ติสที่แสดงความเสียดายอย่างไม่แยแสอะไร

ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและในอนาคตเขาไม่เคยสนใจเคาน์ติสเลยแม้แต่น้อย และจะไม่สนใจไปอีก แค่ผู้หญิงที่แต่งงานใหม่กับพ่อ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

อย่างไรก็ตามในไม่ช้าเขาจะได้รับการอบรมทายาทและสืบทอดเชื้อสาย ก้าวต่อไปของเขาคือการชะล้างเกียรติของตระกูลที่สกปรกนี่เสีย

“ดูเหมือนว่าตาของมิเอลจะบวมเป่งเลยนะ ไม่ใช่ว่าเธอก็โดนอะไรเหมือนกันใช่ไหม?”

“…ไม่ใช่หรอกค่ะ ท่านพี่”

คนที่โดนยาพิษคือเธอนี่นา ทำไมหล่อนถึงได้ดูป่วยกว่าล่ะ ตาที่บวมเป่งและลักษณะที่เป็นกังวลถึงขนาดที่นึกภาพตอนปกติไม่ออกเลย ถ้าไม่ใช่คนร้ายก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวไปหรอก

ทานอาหารช้ากว่าคนอื่นๆ พลางสังเกตท่าทางคนอื่นไปด้วย เมื่อหันสายตาก็กลับไปสบตากับเคน เหมือนจะถูกจับได้ว่าแอบมองจึงรีบหลบสายตาลง เธอคุ้นชินกับภาพนี้เหลือเกิน

‘…หรือว่า’

แม้จะเริ่มรู้สึกมาตั้งแต่เมื่อก่อน คงไม่ได้รีบกลับมาเพราะเป็นห่วงใช่ไหมนะ เขายังไม่หยุดแอบมองหากกล้าถึงขั้นทำขนาดนี้แล้ว อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้

‘แม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ก็เป็นน้องสาว’

พ่อก็ลงเอยกับนางโสเภณี ส่วนทายาทก็ลงเอยกับน้องสาวตัวเอง

คนที่สมควรได้รับคำด่าทอไม่ใช่ตัวเธอเอวและแม่หรอก หากแต่เป็นคนตระกูลนี้ต่างหาก อย่างน้อยเคาน์ติสก็ไม่ได้กลายเป็นนางโสเภณีโดยสมัครใจ

‘เธอก็อยากมาเกิดจนต้องมาเกิดเป็นลูกนางโสเภณีเช่นนี้ไม่ใช่หรอกเหรอ’

ท้ายที่สุดแล้วจึงพยายามสังเกตการกระทำของเคนในระหว่างมื้ออาหารเพื่อวิเคราะห์จิตใจของเขา แต่กลับปฏิบัติกับเคาน์ติสที่เป็นห่วงว่าเขากลับมาเร็วอย่างเย็นชา

“ใบจบการศึกษาให้ข้ารับใช้ส่งกลับมาหลังจากนี้ก็ได้ครับ แต่ที่มากไปกว่านั้น…”

เคนที่ตอบคำถามอยู่ก็หันสายไปยังอาเรียอีกครั้ง เมื่อทั้งคู่สบตากัน ทันใดนั้นก็มั่นใจได้จากสายตาที่สั่นไหวคู่นั้น

“ภายในคฤหาสน์เกิดเรื่องใหญ่ เรื่องนั้นต้องสำคัญกว่าสิครับ”

“องครักษ์ต่างทำหน้าที่เขาอย่างเต็มที่ อีกไม่นานก็คงจับตัวได้”

“ไม่รู้สิครับ จะว่าไปถึงตอนนี้ก็เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วไม่ใช่หรอกเหรอ”

คำตอบที่เย็นชาและเด็ดขาดของเคนทำให้มิเอลเผยสีหน้าแข็งทื่อ เป็นใบหน้าราวกับสงสัยว่าทำไมพี่ชายของเธอถึงออกหน้ารับลูกนางโสเภณีขนาดนั้น

‘บางทีอาจจะสามารถหลอกใช้เคนทำลายตระกูลที่เน่าเหม็นนี่ก็ได้’

อาจจะเป็นการแก้แค้นที่เคนออกคำสั่งให้ตัดคอเธอเมื่อครั้งนั้น

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ต้องสนใจก็ได้ค่ะ อย่างที่เห็นว่าอาการก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากแล้วว ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวน่ะค่ะ”

แม้จะตอบไปอย่างนั้นก็ตามแต่ปั้นสีหน้าน่าสงสารราวกับสุนัขเปียกฝน ดูเหมือนเด็กสาวน่าสงสารไม่มีที่พึ่งใดในคฤหาสน์แห่งนี้

เคนที่มองอาเรียแสดงสีหน้าบูดเบี้ยวอยู่พักใหญ่จึงกระเดาะลิ้นแสดงท่าทางไม่พอใจพลางขอตัวลุกออกจากที่นั่งก่อน

‘ทำไมถึงสบายใจขนาดนี้กันนะ!’

อาเรียที่แทบจะหลุดหัวเราะออกมาพยายามกลั้นใจและทานอาหารต่อ

ไม่ได้นั่งทานอาหารแบบนี้ตั้งนาน ทานเท่าไรก็ไม่รู้สึกพอ

……………………….