บทที่ 388 เอาชีวิตรอด ไม่อาจทิ้งหวังจิ่นหลิงให้ตายที่นี่

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เฟิ่งชิงเฉินกลัวว่า หวังจิ่นหลิงจะพูดอะไรออกมา ที่ทำให้น่าอับอายไปมากกว่านี้ นางจึงเอ่ยตัดบทขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจดี เจ้าไม่ต้องอธิบายออกมาหรอก”
ทันทีที่พูดจบ เฟิ่งชิงเฉินก็เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาในทันที
ฮะ นางพูดอะไรออกมากัน หากผู้ที่ไม่รู้จักหรือสนิทสนมกับนาง ย่อมเข้าใจว่านางเป็นสตรีที่กร้านโลก
เอ่อ เฟิ่งชิงเฉินที่รู้สึกอับอายอยู่นั้น พลันหันหน้าหนีไปในทันที พร้อมกับแอบกร่นด่าตนเองภายในอย่างเงียบ ๆ
เฟิ่งชิงเฉินเจ้าเริ่มที่จะไม่มีความมั่นใจในตนเองเสียแล้ว นางเริ่มคล้ายกับสตรีในยุคโบราณเข้าไปแล้วทุกที นางที่เป็นหมอ มีเรื่องอันใดไม่เคยพบเจอมาบ้างกัน ร่างเปลือยของบุรุษในโลกปัจจุบันนางก็เห็นมานักต่อนักแล้ว หาได้มีความรู้สึกเขินอายอันใดไม่ เรื่องแค่นี้นับว่าเป็นอันใดไปได้
เฟิ่งชิงเฉินเอาแต่ตบหัวตนเองอยู่เช่นนั้น เพื่อเตือนสติตนเองว่า อย่าได้ริเหมือนกับสตรีที่ใสซื่อบนโลกแห่งนี้โดยเด็ดขาด จู่ ๆ ก็พลันนึกไปถึงเหล่าสตรีที่ทำงานอยู่ในแผนกทางเดินปัสสาวะ
พวกนางล้วนแต่เห็นสิ่งของเหล่านั้นทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้มือจับ หรือการใช้มือรองรับของเหลว หากสตรีบนโลกใบนี้ต้องเหมือนกับคุณหมอหรือพยาบาลระบบทางเดินเช่นนั้น ก็คงไม่ต้องมีชีวิตอยู่กันพอดี
ถึงแม้ว่าภายในรถม้าจะไม่มีไฟ แม้ว่าทุกอย่างจะตกอยู่ในความมืดมิด แต่หวังจิ่นหลิงกลับรับรู้ทุกอย่างได้ชัดเจนยิ่งนัก
อย่าได้หลงลืมไป ว่าก่อนหน้านั้นดวงตาของหวังจิ่นหลิงไม่อาจมองเห็นได้ แม้ในยามที่ตกอยู่ในความมืดมิด เขากลับมีประสาทสัมผัสรับรู้ได้ดีกว่ามาก การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเฟิ่งชิงเฉินนั้น หวังจิ่นหลิงย่อมรับรู้ได้เป็นอย่างดี แต่หวังจิ่นหลิงหาได้หัวเราะออกมาไม่ เพียงแต่ค่อย ๆ ซึมซับสถานการณ์เช่นนี้เอาไว้ในห้วงความทรงจำของตนเองแทน
ระหว่างทางไปเมืองชิงสุ่ย คงไม่เหงาอีกต่อไป ขอเพียงแค่เขาจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ได้ เขาก็คงมีความสุขไปอีกนาน
บรรยากาศภายในรถม้าดูอบอุ่นยิ่งนัก แต่ทว่า บรรยากาศภายนอกรถม้ากลับมีกลิ่นคละคลุ้งของเลือดมากมาย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาสู้กันภายในเมืองหลวงเป็นเวลานานเช่นนี้ แต่กลับไม่มีสายตรวจที่คอยตรวจตราบ้านเมืองมาพบเห็นเหตุการณ์เลยแม้แต่น้อย
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!
ดูเหมือนว่า ความริษยาของฝ่าบาทที่มีต่อตระกูลหวังจะมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียแล้ว
“ท่านผู้นำขอรับ พวกเราเริ่มจะรับมือกับนักฆ่าได้ยากแล้วขอรับ องครักษ์เงาหวังว่าพวกเราจะรีบหนีไปก่อน ที่นี่อันตรายเกินไปขอรับ” น้ำเสียงของคนขับรถม้าพลันเจือไปด้วยความกังวลอยู่หลายส่วน ดูเหมือนว่า เรื่องราวจะค่อย ๆ ยุ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
หวังจิ่นหลิงพลันเก็บอารมณ์ดีเมื่อครู่ลงไปในทันที เขารู้จักฝีมือขององครักษ์เงาเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามคงจะจัดการได้ยาก หวังจิ่นหลิงจึงลังเลไปครู่หนึ่ง พร้อมกับออกคำสั่งว่า “ไปจวนตระกูลซู่ชินอ๋อง”
“ขอรับ” คนขับรถม้าพลันรีบกลับไปประจำที่ในทันที พร้อมกับสะบัดแส้ใส่ม้าโดยไว “ไป”
เมื่อรถม้าพุ่งออกไปจากวงล้อมของเหล่านักฆ่าได้นั้น ก็พลันถูกเงาในยามราตรีปกคลุมไปโดยพลัน
“ตามไป ฆ่าผู้นำตระกูลหวังได้ ย่อมได้รับรางวัลอย่างงาม!”
น้ำเสียงที่เย็นชา พลันพัดผ่านเข้าหูของหวังจิ่นหลิงและเฟิ่งชิงเฉิน !
ที่แท้คนพวกนี้ มีเป้าหมายคือหวังจิ่นหลิง!
“ชิงเฉิน ข้าขอโทษ ข้าทำให้เจ้าลำบากแล้ว” สีหน้าของหวังจิ่นหลิงพลันรู้สึกผิดยิ่งนัก แต่เดิมเขาต้องการส่งเฟิ่งชิงเฉินกลับจวนอย่างปลอดภัย แต่กลับเป็นการลากเฟิ่งชิงเฉินเข้าสู่ความอันตรายเสียได้
“อย่าได้พูดถึงความลำบากหรือไม่ลำบากเลย พวกนักฆ่าคงมิได้มีแต่กลุ่มเดียวแน่ เกรงว่าอีกกลุ่มหนึ่ง เป้าหมายของพวกมันคือข้ากระมัง”นางและหวังจิ่นหลิงออกมาจากวังพร้อมกันเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการขอร้องให้หวังจิ่นหลิงช่วยคุ้มครองนาง ในยามนี้ ผู้ที่ต้องมาพบเจอกับความยากลำบากก็คือหวังจิ่นหลิง นางจะรับผิดชอบหวังจิ่นหลิงได้อย่างไร คงต้องบอกว่านางถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยจะดีกว่า
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพูดจบ ก็พลันได้ยินคนขับรถม้าพูดขึ้นมาว่า “ท่านผู้นำ ด้านหน้ามีนักฆ่าอีกกลุ่มหนึ่งอีกแล้วขอรับ”
นั่นหมายความว่า คืนนี้ ต้องมีนักฆ่าอย่างน้อยสามกลุ่มที่รอปลิดชีพพวกเขา
“หน้าตาของพวกเราช่างใหญ่เสียจริง” เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวออกมาด้วยความเย้ยหยันในชะตาชีวิตของตน
“เป็นรถม้าของตระกูลหวัง ด้านในมีเฟิ่งชิงเฉินอยู่ด้วย นายท่านมีรับสั่ง จัดการให้ไม่เหลือผู้ใดเลย” หลังจากที่นักฆ่ามั่นใจในจำนวนคนที่นั่งอยู่แล้ว ก็พลันพุ่งตัวเข้ามา เพื่อที่ล้อมรอบรถม้าไว้ในทันที
“ฝ่าออกไป” หวังจิ่นหลิงรู้ดี หากพวกเขาถูกขวางเอาไว้ได้ คงมีแต่หนทางตายเพียงทางเดียวที่รอพวกเขาอยู่
“ขวางรถม้าเอาไว้ อย่าให้รถม้าหลุดออกไปได้” นักฆ่าเหล่านั้น ก็เข้าใจแผนการของหวังจิ่นหลิงเป็นอย่างดี หากทั้งหวังจิ่นหลิงและเฟิ่งชิงเฉินหนีออกไปได้แล้ว หากพวกเขาจะลงมือในคราวหน้า ก็คงไม่ง่ายเช่นนี้
“ขอรับ” ถึงแม้ว่าคนขับรถม้าจะรู้สึกตื่นเต้น แต่เมื่อฟังดูจากน้ำเสียงแล้ว เขาหาได้มีท่าทีตื่นตระหนกไม่ ข้ารับใช้ของตระกูลหวังค่อนข้างฉลาดเฉลียวเสียจริง
ยามที่รถม้ากำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย หวังจิ่นหลิงและเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ในรถม้าต่างก็ได้แต่นั่งพลิกไปพลิกมา สีหน้าของพวกเขาทั้งสองไม่ค่อยดีนัก
“ดูเหมือนว่า คืนนี้เราจะโชคมิค่อยดีนัก” หวังจิ่นหลิงพลันแย้มยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น วันนี้เขานำองครักษ์เงาออกมาด้วย เพียงแค่แปดคนเท่านั้น จำนวนเท่าเดิมกับยามที่เป็นคุณชายใหญ่อยู่ เกรงว่าพวกเขาอาจจะได้มาจบชีวิตอยู่ที่นี่เป็นแน่
“แย่จริง ๆ ” คนซวยทั้งสองคนต่างนั่งพิงเข้าหากัน นี่หาใช่เรื่องของหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองไม่ แต่มันคือการรวมตัวนักฆ่าให้มีเพิ่มมากขึ้นเข้าไปอีก สำหรับพวกเขาแล้ว ถือเป็นอันตรายถึงชีวิต เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ หยิบมีดผ่าตัดเล่มเล็กจากที่ข้อเท้าของตนออกมา พร้อมทั้งกรีดไปที่กระโปรงของตนเองสองครั้ง เพื่อตัดชายกระโปรงและแขนเสื้อของตนออก
“เจ้ากล้าถึงกับเอากริชเข้าวังเลยหรือ?” หวังจิ่นหลิงพลันชี้ไปที่สิ่งของในมือของหวังจิ่นหลิงในทันที มีผ่าตัดเล่มเล็กที่ดูเงางามเช่นนั้น “เจ้าเอาเข้าไปได้อย่างไรกัน?”
การตรวจสอบร่างกายก่อนเข้าวัง เป็นอะไรที่เข้มงวดมากนัก ทั้งขันทีและนางกำนัลจะถือหินเอาไว้ก้อนใหญ่ พร้อมกับสำรวจร่างกายอีกหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเหล็กชนิดใด ก็ไม่อาจนำเข้าไปได้
“ก็เอาเข้าไปเช่นนี้แหละ” เฟิ่งชิงเฉินพลันกวัดแกว่งมีดผ่าตัดในมือไปมาเล็กน้อย ในโลกนี้อาวุธส่วนใหญ่ล้วนแต่จะทำมาจากเหล็กทั้งนั้น ยามเข้าวังก็จะพบกับแม่เหล็กก้อนใหญ่ที่เอาไว้คอยตรวจอาวุธ แต่มีดผ่าตัดของนาง หาได้ทำมาจากเหล็กไม่ แต่ทำมาจากแสนเลสต่างหาก อย่างไรแม่เหล็กย่อมไม่อาจดูดมันไปได้อยู่แล้ว
“กลับไป ข้าจะเตรียมให้เจ้าสักสองอัน เอาติดตัวไว้เพื่อป้องกันตนเอง พกมันเข้าวังก็สามารถทำได้” เฟิ่งชิงเฉินหาได้พูดอธิบายอันใดไม่ นางค่อย ๆ กรีดอาภรณ์ในส่วนที่ไร้ประโยชน์ทิ้งไป พร้อมกับลุกขึ้นเปิดประตูรถม้าออกมา
ถึงแม้ว่ารถม้าจะส่ายไปมา เพื่อทำให้เหล่านักฆ่ากระจายตัวออกไป แต่ทว่า นักฆ่าพวกนั้นยังคงตามมาไม่เลิกไม่ลา ที่นี่คือถนนภายในเมืองหลวง หาใช่ถิ่นทุรกันดารไม่ อย่างไรรถม้าก็ไม่อาจวิ่งไปได้ไกล ทั้งยังไม่อาจวิ่งเร็วได้อีกด้วย
“จิ่นหลิง พวกเราไม่อาจหนีพวกนักฆ่าโดยการพึ่งรถม้าพวกนี้ไปได้แน่”
“ได้ ข้าจะให้คนขับรถม้าหยุดม้าเสีย” หวังจิ่นหลิงรู้ดีว่าฝีมือการขี่ม้าของเฟิ่งชิงเฉินเป็นเลิศ
“ไม่ต้อง เช่นนั้นมันจะเสียเวลาเกินไป พวกเรากระโดดลงไปกันเถอะ” แม้ว่ารถม้าจะวิ่งได้เร็ว แต่ทว่า ความเร็วเช่นนี้ หาได้อยู่ในสายตาของเฟิ่งชิงเฉินไม่ แม้ว่ารถม้าจะวิ่งเร็วมากเพียงใด ก็คงไม่อาจเท่ารถยนต์ในโลกปัจจุบันได้ แม้แต่รถยนต์ที่วิ่งไว ๆ นางยังกล้ากระโดด นับประสาอะไรกับรถม้ากัน
“จิ่นหลิงกระโดด” หลังจากเตรียมเสร็จแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็จับมือหวังจิ่นหลิงเอาไว้ และกระโดดลงไปในทันที
ยามที่กระโดดลงไปนั้น ตัวของหวังจิ่นหลิงเมื่อเท้าถึงพื้น ตัวก็คล้ายจะเอนล้มไปด้านหน้าในทันที แต่เขากลับถูกเฟิ่งชิงเฉินลากให้ออกวิ่งมาเสียก่อน แม้ว่าจะเสียการทรงตัวไปบ้าง แต่ก็มิได้ถึงขนาดล้มลงไป
เมื่อขาของทั้งสองคนถึงพื้นแล้วนั้น เมื่อเห็นว่าหวังจิ่นหลิงมิเป็นอันใด เฟิ่งชิงเฉินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกในทันที แม้ว่าเทคนิคการกระโดดลงจากรถของนาง จะเก่งพอ ๆ กับทีมกู้ระเบิด แต่นาง ก็ไม่เคยพาคนกระโดดลงมาด้วยเช่นนี้มาก่อน นางมักจะถูกผู้อื่นปกป้องเสียมากกว่ายามที่อยู่ในสนามรบ
“เร็ว หวังจิ่นหลิงและเฟิ่งชิงเฉินกระโดดลงจากรถม้าแล้ว รีบไปหยุดพวกเขาเอาไว้ อย่าให้หลุดออกไปได้” เมื่อนักฆ่าเห็นว่าพวกเขาทั้งสองคนกระโดดลงมาจากรถม้านั้น ก็รีบไล่ตามราวกับถูกทุบตีในทันที
“ท่านผู้นำ พวกเราไม่อาจรั้งพวกมันไว้ได้นาน” องครักษ์ของหวังจิ่นหลิงมีอีกครึ่งหนึ่ง ที่กำลังขัดขวางพวกนักฆ่ากลุ่มที่สองอยู่ เมื่อถูกกลุ่มนักฆ่าพวกที่สามเข้ามาขวางไว้นั้น ข้างกายของหวังจิ่นหลิงจึงเหลือเพียงแค่องครักษ์สองนาย รวมคนขับรถม้าไปด้วยอีกหนึ่งคน
การต่อสู้เช่นนี้ ไม่อาจปกป้องหวังจิ่นหลิงไปได้แน่
“พี่น้องข้า ฆ่าเสีย ผู้นำตระกูลหวังไม่รู้จักวรยุทธ์ ฆ่าองครักษ์พวกเขาแล้ว ภารกิจพวกเราก็จะสำเร็จ” น้ำเสียงของหัวหน้านักฆ่านั้น ราวกับรู้จักจิตวิทยาในสนามรบเป็นอย่างดี เพียงแค่คำพูดของเขาประโยคเดียวเท่านั้น เหล่านักฆ่าก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาโดยพลัน
แม้ว่าองครักษ์ของหวังจิ่นหลิงจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่กำปั้นเพียงสองมือก็ไม่อาจทำร้ายเหล่าศัตรูที่มีถึงสี่มือไปได้ เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่านักฆ่าเป็นสิบคนเช่นนี้ ทั่วร่างขององครักษ์ก็กลายเป็นเลือดในทันที
การต่อสู้ด้านหลังของพวกเขาช่างหดหู่ยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินมิต้องหันหลังกลับไปมองก็รับรู้ได้เป็นอย่างดี แต่ทว่า ในยามนี้นางไม่มีเวลามาสนใจพวกเขา การเอาชีวิตรอดในยามนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด เช่นนั้น มันจะเป็นการทำให้ชีวิต ที่เหล่าองครักษ์ต้องเสียไปยามปกป้องพวกนางต้องเสียเปล่า
“จิ่นหลิง ข้าจะปีนขึ้นไปบนหลังม้า เจ้ารีบวิ่งไปข้างหน้า อย่าได้หยุดเป็นอันขาด” เฟิ่งชิงเฉินปล่อยหวังจิ่นหลิงในทันที พร้อมกับปรับลมหายใจตนเองครู่หนึ่ง พร้อมกับวิ่งไปด้วยความเร็วพร้อม ๆ กับม้า จากนั้นก็ใช้วิธียามปราบม้าพยศ กระโดดขึ้นไป