ขณะที่ชูฮันและซูเฟิงร่วมมือกันจัดการลูกผสมระยะ 6 อยู่ กองกำลังของหลูอี๋ก็เริ่มเข้ามาใกล้จุดที่มีควันลอยขึ้นฟ้า ในตอนนั้นแม้ว่าทหารหลายคนจะไม่เต็มใจมาแต่พวกเขาก็เตรียมตัวพร้อมสำหรับการปะทะที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้พวกจะเป็นวิวัฒนาการระยะสูงเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับหลูอี๋ที่เป็นวิวัฒนาการระยะ 5  แล้วความแตกต่างมันยังคงห่างอยู่มาก

 

และหลูอี๋ก็เป็นถึงพลโทของจีนด้วย ตัวตนของหลูอี๋แตกต่างจากพวกเขา มันเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และถ้าหลูอี๋ไม่พอใจอย่างมาก พวกเขาอาจตกอยู่ในบัญชีดำของค่ายผู้รอดชีวิตทั้งหมดในจีนได้ เพราะถึงยังไงแล้ว สถานะของหลูอี๋ในเมื่อยุคศิวิไลซ์นั้นก็ไม่ใช่น้อยๆ ประกอบกับความสัมพันธ์ที่มีกับเหล่าทหารระดับสูงในค่ายซางจิงอีก

 

“ควันมันหนาเกินไปจนมองไม่เห็นอะไรข้างล่างเลยครับ” เสียงรายงานของทีมลาดตระเวนดังออกมาจากวิทยุสื่อสารซึ่งแฝงไปด้วยความระแวงและหวาดกลัว พวกเขาเป็นแค่ทีมลาดตระเวนเท่านั้น และมันมีซอมบี้และลูกผสมมหาศาลในเขตสนามรบ ยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่ก็เหมือนเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเท่านั้น

 

ในตอนนั้น ทุกคนในเฮลิคอปเตอร์ทั้งสามลำซึ่งมีอาวุธพร้อมเหลือเพียงรอคอยให้เฮลิคอปเตอร์ลงจอดเท่านั้น หลูอี๋ไม่ได้สนใจน้ำเสียงของทีมลาดตระเวนเลย หากกลับสั่งการออกไปทันทีแทน “ทุกคนเตรียมพร้อมกระโดด ทีมลาดตระเวนจำสถานที่นี้เอาไว้ อย่าไปไหนจนกว่าทหารทุกคนจะกระโดดลงไปหมด จากนั้นกลับไปตามหาพลตรีหยางหลิน!”

 

เมื่อสั่งเสร็จ ทุกคนที่ได้ยินก็พลันหัวใจแทบหยุดเต้น คำถามและความกลัวในใจผุดขึ้นไม่หยุดหย่อน

 

“กระโดด? กระโดดอะไร?”

 

“ไม่ลงจอดงั้นเหรอ ให้เรากระโดดแทน?”

 

“เดี๋ยวก่อน ให้เราโดดล่ม? พวกเราไม่ได้เตรียมพร้อมร่มชูชีพมา”

 

ทั้งหมดนี่มันเหมือนส่งพวกเขาไปตายมากกว่ามั้ย?

 

เมื่อได้ฟังเสียงของทหารรอบๆ หลูอี๋ก็หันไปมองทุกคนด้วยสายเย็นชา “ทุกคนเป็นวิวัฒนาการอย่างน้อยระยะ 3 ด้วยความสูงระดับนี้พวกคุณจำเป็นต้องใช้ร่มชูชีพด้วยหรือไง? พวกคุณสามารถกระโดดได้สบายๆ!”

 

หลายคนเหงื่อตก พลโทหลูอี๋เป็นบ้าไปแล้ว ถึงแม้ว่าการกระโดดที่ความสูงระดับนี้อาจไม่ได้ทำได้พวกเขากระดูกหักแต่แน่นอนว่ามันต้องสร้างบาดแผลและความเจ็บปวดให้แน่ๆ และภายในเฮลิคอปเตอร์ก็ไม่ได้มีเพียงแค่วิวัฒนาการเท่านั้น พวกเขายังมีเหล่าพรสวรรค์อยู่ดี ซึ่งร่างกายของพรสวรรค์บางคนก็ไม่สามารถรับมือกับความสูงที่ระดับนี้ได้ แล้วอีกอย่างเมื่อพวกเขาบาดเจ็บขึ้นมาพวกเขาจะรับมือกับซอมบี้ได้ยังไง? แล้วนี่มันไม่ใช่ฝูงซอมบี้น้อยๆ แต่มากถึง 20,000 ตัว!

 

เพื่อที่จะทำการช่วยเหลือกองทัพของพลเอกที่เห็นได้ชัดว่าไม่น่ามีชีวิตรอด พลโทหลูอี๋ถึงกับต้องยอมทำถึงขนาดนี้เลย? พลโทหลูอี๋ไม่ได้เกลียดชูฮันอย่างมากงั้นเหรอ ไม่อยากจะทำให้ชูฮันหลุดจากตำแหน่งพลเอกงั้นเหรอ? แต่การกระทำที่แสนจะตรงข้ามแบบนี้ รวบรวมทหารที่แข็งแกร่งที่สุดมาเพื่อตามหาตัวพลเอก แล้วยังสั่งให้พวกเขากระโดดลงไปจากเฮลิคอปเตอร์

 

บ้าบอ!

 

สายตาของหลูอี๋เห็นปฏิกิริยาของเหล่าทหารของตัวเองทั้งหมด ไม่ปล่อยเวลาให้ทหารพวกนี้ได้ทำการปฏิเสธ หลูอี๋ก็ระเบิดความโกรธออกมาอย่างรุนแรง “ค่ายของเราไม่ใช่ค่ายผู้รอดชีวิตธรรมดา แต่เราคือส่วนหนึ่งของซางจิง หนึ่งในค่ายทหารของจีนซึ่งนำโดยพลโท!  แล้วพวกคุณล่ะ? ในฐานะกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของค่ายเจียนอี๋ พวกคุณต้องไม่มีความลังเลต่อสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตาย พวกคุณถามตราที่ติดอยู่ตรงหน้าอกตัวเองแล้วกันว่ามันคุ้มค่าพอมั้ย!”

 

กลุ่มทหารต่างพูดอะไรไม่ออก พวกเขาคุ้นเคยกับตำแหน่งสูงในโลกาวินาศจนเริ่มลืมเลือนความเป็นจริง พวกเขาหลงลืมจุดประสงค์ที่เข้าร่วมค่ายเจียนอี๋และเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่แรก

 

แทนที่จะให้เวลาทหารพวกนี้ได้คิด เป็นอีกครั้งที่หลูอี๋เอ่ยขึ้น “สิ่งที่เข้ามาในความคิดเมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตคือเราควรจะใช้โอกาสนี้กำจัดพลเอกออกไปงั้นเหรอ? กูไม่สามารถทำแบบนั้นได้! ความสัมพันธ์ระหว่างกูกับชูฮันควรแก้ปัญหากันตัวต่อตัว และมันควรเป็นเกมส์ที่ยุติธรรม แต่ตอนนี้เขาคือพลเอกของจีน และกูเป็นพลโทของจีน ทีมของพลเอกกำลังถูกฝูงซอมบี้และลูกผสมล้อมเอาไว้ใกล้ๆกับค่ายของกู และกูก็เป็นส่วนหนึ่งของจีน มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้กูนั่งรอดูเฉยๆโดยไม่ทำอะไร!”

 

หลายคนที่ได้ยินตกใจอย่างมาก หัวใจของพวกเขารู้สึกบีบรัด ในความคิดของพวกเขาการตัดสินใจของหลูอี๋นั้นเรียบง่ายและสุดโต่ง ใครจะซื่อตรงขนาดนี้ในโลกาวินาศ? ตราบใดที่เรามีชีวิตที่ดีขึ้น ต่อให้เป็นคนรัก ก็สามารถขายทิ้งได้อย่างไม่ลังเล ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ

 

หลูอี๋ไม่สนใจว่าคนพวกนี้จะคิดอย่างไร เขาเกิดในซางจิงมาเหมือนกับซางจิ่วตี้ เขาเป็นสมาชิกรุ่นที่สามของตระกูล เขามีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมไหนก็ตาม หากคนพวกนี้ได้ตำแหน่งมาจากการเอาชนะในโลกาวินาศ พวกเขาจึงไม่เข้าสิ่งที่เขาพูด

 

ในตอนนั้นเองหลูอี๋เปิดประตูเฮลิคอปเตอร์ออก “พรสวรรค์หาวิวัฒนาการระยะสูงเพื่อช่วยตัวเองให้ไว”

 

แน่นอนว่าเหล่าพรสวรรค์ไม่สามารถกระโดดลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ได้เอง พวกเขาจะต้องตกลงมาบาดเจ็บหรือถึงตายอย่างแน่นอน หากมันไม่เหมือนกันกับวิวัฒนาการ ความสูงในระดับตอนนี้นั้นไม่ได้เลวร้ายสำหรับเหล่าวิวัฒนาการประกอบกับการที่นักบินบังคับเครื่องให้บินต่ำลงไปอีกทันทีที่หลูอี๋ออกคำสั่ง วิวัฒนาการระยะ 4 สามารถกระโดดออกไปพร้อมกับคนอีกหนึ่งคนได้

 

หลังจากหลูอี๋พูดจบ เขาก็คว้าวิวัฒนาการที่อยู่ใกล้ทางออกมากที่สุด โยนผู้ชายคนนั้นลงไปและจับคนต่อไป “ทุกคน กระโดดได้ทันที!”

 

แม้จะไม่อยากกระโดด แต่ก็ต้องกระโดด ครั้งนี้หลูอี๋ได้ทำการตัดสินใจที่จะรับมือกับซอมบี้ ในเมื่อคนพวกนี้เข้าร่วมกับค่ายเจียนอี๋และกลายเป็นทหารของค่ายเขา ไม่มีใครสามารถขัดขืนคำสั่งของหลูอี๋ได้

 

เมื่อหลายคนเห็นการกระทำของหลูอี๋ วิวัฒนาการระยะ 3 หลายคนก็เริ่มเดินตรงไปที่ประตูเพื่อเตรียมตัวกระโดด เมื่อเทียบกับลูกเตะของหลูอี๋แล้ว การกระโดดลงไปด้วยตัวเองมันน่าจะปลอดภัยมากกว่า

 

หลายคนเริ่มกระโดดไล่กันลงมาเรื่อยๆ คนกลุ่มแรกๆที่กระโดดลงมาที่พื้นรีบปรับสภาพจิตใจของพวกเขาอย่างรวดเร็ว พวกเขากลัวว่าเสียงที่เกิดขึ้นจะล่อซอมบี้ให้เข้ามา พวกเขาจึงกลิ้งตัวหลบออกไปจากบริเวณ และรีบหยิบอาวุธของตัวเองออกมา

 

ฟรึบ! ฟรึบ!

 

เสียงความวุ่นวายดังขึ้นต่อเรื่อง ทุกคนต่างมีปฏิกิริยาเดียวกันหมด กลัวว่าพวกเขาจะถูกฝูงซอมบี้ขนาดใหญ่กลืนกินเอา

 

หากจู่ๆทุกคนก็ต้องหยุดการเคลื่อนไหว ตาเบิกกว้างจนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า ตอนนี้พวกเขาได้เห็นภาพโดยรอบและก็ต้องผุดขึ้นยืนและกวาดตามองไปให้ทั่ว

 

ภาพทั้งหมดทำให้ตะลึงค้าง!

 

พรึบ!

ในจังหวะนั้นเอง หลูอี๋ก็กระโดดลงมาเป็นคนสุดท้าย หลังจากกลิ้งตัวและลุกขึ้นยืนได้ เขาก็ตะโกนขึ้นมาทันที “รายงานสถานการณ์? จำนวนซอมบี้? หาทีมของพลเอกชูฮันเจอหรือไม่? ตอนนี้รายงานตำแหน่งของทุกมาที่ฉัน!”

 

ด้วยความวิตกกังวลที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง สามารถมองเห็นได้ถึงความตึงเครียดของสงครามในครั้งนี้ที่อันตรายอย่างมาก และหลูอี๋ก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพวกศัตรู

 

เมื่อคำถามของหลูอี๋ดังขึ้นมา ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครตอบคำถามของหลูอี๋ ทุกคนต่างยืนนิ่งค้างจ้องไปที่ภาพตรงหน้าตัวเอง

 

สีหน้าแสดงออกอย่างอัดอั้นและสยอง!