ซูหลีได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี นางลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่บอกว่าอาการดีขึ้นแล้วหรือ?”
หวั่นซินกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ “ในจดหมายไม่ได้ลงรายละเอียด หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่เพคะ”
ซูหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรุ่มใจ “รีบเตรียมรถม้าเดี๋ยวนี้! โม่เซียง ไปแจ้งอวิ๋นฮุ่ยกับพี่สะใภ้ ให้ตามข้ากลับเมืองหลวงเก่า!” เอ่ยจบนางก็พลันชะงักงัน อดหันมามองตงฟางเจ๋อไม่ได้
เขาประคองขอบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน สีหน้าซีดเผือดเหมือนกระดาษ สายตาที่มองนางกลับแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง
หัวใจของซูหลีพลันบีบรัด อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาเขา “ท่าน…”
“ข้าไม่เป็นไร!” เขายิ้มบาง ดึงมือกลับไปไพล่ข้างหลังอย่างแนบเนียน แล้วกำชับเสียงเบาว่า “ซั่งกวนไทเฮาประชวรหนัก เจ้ารีบกลับไปเถิด! มีเรื่องใดก็รีบส่งข่าวมาบอกข้า!”
ซูหลีลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและจากไปในที่สุด วินาทีที่หมุนกาย น้ำใสๆ รื้นเต็มขอบตาอย่างไม่อาจควบคุม รู้ทั้งรู้ว่ายามนี้ร่างกายของเขาผิดปกติ แต่นางกลับจำต้องจากไป ความปลอดภัยของซั่งกวนไทเฮา เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในยามนี้แล้ว นางไม่อาจรอช้าได้แม้แต่วินาทีเดียว!
เงาร่างของนางหายลับไปนอกประตูอย่างรวดเร็ว ตงฟางเจ๋อซวนเซ ล้มนั่งลงบนเก้าอี้ พิษเย็นในชีพจรกำเริบรุนแรงจนแทบทนไม่ไหว เขากัดฟันตะโกนเรียก “โจวหลี่!”
โจวหลี่รับคำแล้วเข้ามา ครั้นเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจ รีบเข้ามาประคอง ค้นพบว่าผิวกายของเขาเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง โจวหลี่ตกใจลนลาน หมายจะขานเรียกคน กลับถูกตงฟางเจ๋อกำมือแน่น
ตงฟางเจ๋อหอบหายใจ กัดฟันกล่าวเสียงแข็งว่า “อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่! ส่งจดหมายออกไป…เรียกตัวหลินเทียนเจิ้งกลับมาเดี๋ยวนี้!”
นอกตำหนักซีหวา เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยใกล้เข้ามา สีหน้านางวิตกกังวลอย่างมาก ครั้นเห็นซูหลี ก็รีบถามทันที “เสด็จป้าเป็นอะไรงั้นหรือ?”
ซูหลีกุมมือนาง ไม่มีเวลาอธิบาย เพียงกล่าวเร่งรัดว่า “ขึ้นรถก่อนแล้วค่อยคุยกัน! โม่เซียง เจ้าไปดูที เหตุใดพี่สะใภ้ยังไม่มาอีก!”
นางกำนัลที่ไปส่งข่าวที่ตำหนักเฟิ่งอี๋ย้อนกลับมาพอดี “ทูลฝ่าบาท ฮั่วฮองเฮาประชวรกะทันหัน ไม่สามารถเดินทางได้ จึงให้บ่าวมาทูลฝ่าบาทกับท่านหญิงให้ล่วงหน้าไปก่อนหนึ่งก้าว หากนางดีขึ้นแล้วจะตามกลับไปเพคะ”
บังเอิญถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ซูหลีขมวดคิ้ว แต่เพราะไม่มีเวลาให้คิดมาก จึงทำได้เพียงกล่าวว่า “อวิ๋นฮุ่ย พวกเราไปกันเถิด”
ทั้งสองขึ้นรถ เร่งเดินทางด้วยสัมภาระที่น้อยที่สุด พวกนางเดินทางหามรุ่งหามค่ำ กระทั่งยามบ่ายของวันที่สองก็กลับมาถึงเมืองหลวงเก่าในที่สุด
ครั้นถึงตำหนักอี๋หวา หญิงสาวทั้งสองมุ่งหน้าไปยังเตียงในตำหนักบรรทม สตรีวัยกลางคนที่เคยสง่างามสูงส่ง ยามนี้ใบหน้าซีดขาว นอนหลับใหลไม่ได้สติ
หมอหลวงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเตียงด้วยท่าทางอับจนหนทาง
ซูหลีถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เกิดอะไรขึ้น?”
หมอหลวงรายงานอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ทูลฝ่าบาท ก่อนปีใหม่พระวรกายของไทเฮาทรงดีขึ้นมาก กระหม่อมจ่ายเทียบยา และขอร้องให้ไทเฮาทรงพักรักษาพระวรกายเป็นเวลาสองเดือน ห้ามออกไปข้างนอกและปล่อยให้ร่างกายถูกความเย็นเด็ดขาด!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถามด้วยความร้อนใจ “ไทเฮาออกไปข้างนอกงั้นหรือ?”
จี้ฉิงเช็ดน้ำตา ตอบด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “พักนี้ไทเฮาทรงฝันเห็นฮ่องเต้พระองค์ก่อนบ่อยๆ พอตื่นก็จะเสด็จไปสุสานประจำราชวงศ์ให้ได้ บ่าวไร้ความสามารถ ไม่อาจเกลี้ยกล่อมพระนางได้จริงๆ…” พูดมาถึงตรงนี้ น้ำตาก็ไหลอาบแก้มนางดุจสายฝน
ซูหลีปวดใจ “ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องช่วยไทเฮากลับมาให้ได้!”
หมอหลวงโขกศีรษะกล่าวด้วยความลนลาน “ทูลฝ่าบาท ไทเฮาทรงกลัดกลุ้มจนประชวรหนัก โรคร้ายรุมเร้าเป็นเวลานาน เปรียบดั่งตะเกียงที่น้ำมันหมด ครั้งนี้เกรงว่า…แม้ฮัวโต๋จะยังมีชีวิตอยู่ ก็ไร้ความสามารถแล้วพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อม ไร้หนทางแล้วจริงๆ ฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
คำว่า ‘ตะเกียงที่น้ำมันหมด’ เปรียบเสมือนประโยคที่บ่งบอกถึงเวลาตาย ครอบครัวคนสุดท้ายในราชวงศ์ติ้งที่รักและทะนุถนอมนาง กำลังจะจากนางไปอีกคนแล้วงั้นหรือ? หัวใจของซูหลีสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว รู้สึกเพียงสายตาพร่ามัว แทบยืนไม่ไหว
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน นางถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ยังเหลือเวลาอีกเท่าใด?”
หมอหลวงพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “เกรงว่า…เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีหลับตาแน่น ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยกมือปิดปาก น้ำตาหลั่งริน
“ชิงเอ๋อร์! ฮุ่ยเอ๋อร์…” ยามนี้เอง คนบนเตียงค่อยๆ ได้สติขึ้นมา
ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบเช็ดน้ำตา แล้วพุ่งตัวไปหานางที่เตียง ซูหลีฝืนยิ้ม “เสด็จแม่! ตื่นแล้วหรือเพคะ!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเองก็กล่าวว่า “เสด็จป้า รู้สึกไม่สบายที่ใดบ้างเพคะ?”
ซั่งกวนไทเฮาเห็นพวกนางสองคนยิ้มแย้ม แต่ดวงตากลับแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้มา ก็อดกล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจไม่ได้ “พวกเจ้าสองคนอย่าเสียใจไปเลย ข้าก็เพียง…คิดถึงอดีตฮ่องเต้และฉ่างเอ๋อร์เหลือเกิน จึงอยากไปพบหน้าพวกเขาเร็วขึ้นสักหน่อย…”
ซูหลีพลันเจ็บปวดรวดร้าว นางร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เสด็จแม่ ลูกขอโทษเพคะ! ล้วนเป็นความผิดของลูกเอง…”
ซั่งกวนไทเฮาส่ายหน้าเบาๆ กุมมือนาง แล้วกล่าวด้วยลมหายใจอันรวยริน “ชิงเอ๋อร์อย่าได้โทษตนเองเด็ดขาด มีคำพูดหนึ่ง ที่ข้าควรบอกเจ้านานแล้ว การจากไปของฉ่างเอ๋อร์ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า อดีตฮ่องเต้สวรรคต ก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเช่นกัน! สามปีมานี้ เจ้าแบกรับความผิดทั้งหมดไว้กับตนเอง…เจ้าทรมานตนเองถึงเพียงนี้ ดวงวิญญาณของฉ่างเอ๋อร์กับอดีตฮ่องเต้…คงจะเสียใจไม่น้อย!”
น้ำตาของซูหลีหลั่งไหล “อุบัติเหตุที่โรงเตี๊ยมหงหลง เดิมทีหม่อมฉันมีโอกาสหยุดยั้งมัน…”
ซั่งกวนไทเฮากล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวด “วาจาเคียดแค้นของหมานเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ เรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจกลับไปแก้ไขได้! ชิงเอ๋อร์ เจ้าเคยบอกว่ามีคนวางแผนอยู่เบื้องหลัง ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเองก็ถูกคนเล่นงานเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ไม่มีฮ่องเต้แคว้นเฉิง ก็ต้องมีคนอื่นจุดชนวนระเบิดอยู่ดี…พวกเขาต้องการชีวิตของฉ่างเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้าจะยับยั้งได้อย่างไรไหว?”
ซูหลีร่ำไห้อย่างหนัก
ซั่งกวนไทเฮายกมือเช็ดน้ำตาบนหน้านางเบาๆ นึกถึงคำสัญญาที่นางเคยรับปากอดีตฮ่องเต้ว่าจะดูแลเด็กคนนี้ แต่สามปีที่ผ่านมา เด็กคนนี้กลับทุกข์ทรมานแสนสาหัสถึงเพียงนี้ นางเห็นแล้วอดปวดใจไม่ได้ จึงกล่าวด้วยใบหน้าอาบน้ำตา “เรื่องในอดีต ก็ปล่อยให้มันเป็นอดีตไปเถิด…ในเมื่อเจ้าเชื่อใจฮ่องเต้แคว้นเฉิง แล้วยังแต่งงานกับเขาแล้ว ก็ควรใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ขอเพียงเขาดีต่อเจ้า ขอเพียงเจ้า…มีชีวิตที่ดี เรื่องอื่น…ล้วนไม่สำคัญ!”
ซูหลีปล่อยเสียงร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด ไม่อาจพูดอะไรได้อีก คนที่มีสิทธิ์โกรธเกลียดและเคียดแค้นนางมากที่สุด กลับคิดถึงนาง และให้อภัยนางได้เสมอ นางกุมมือคู่ที่อยู่ตรงหน้าแน่น น้ำตาอาบแก้มอย่างไม่อาจควบคุม
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเช็ดน้ำตาเงียบๆ ข่มกลั้นความปวดใจแล้วเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “นี่เป็นความปรารถนาของเสด็จป้า ฝ่าบาทรับปากเถิดเพคะ!”
ครั้นเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของซั่งกวนไทเฮา กลีบปากบางของซูหลีสั่นเทา นางอ้าปากหมายจะพูดแต่ก็หยุดไป ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็พยักหน้ารับปากในที่สุด “เสด็จแม่ หม่อมฉันจะเชื่อฟังเสด็จแม่ทุกอย่าง! เสด็จแม่จะต้องหายเร็วๆ นะเพคะ!”
ซั่งกวนไทเฮายิ้มอย่างตื้นตันใจ จากนั้นก็ค่อยๆ หันไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลว่า “ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้าอายุไม่น้อยแล้ว หากมีคนที่เหมาะสม…”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบพยักหน้าถี่ๆ นางครุ่นคิด แล้วอมยิ้มทั้งน้ำตา “ฮุ่ยเอ๋อร์พบคนในดวงใจแล้ว รอให้เสด็จป้าหายดี แล้วจัดการเรื่องงานแต่งให้ฮุ่ยเอ๋อร์นะเพคะ!”
ดวงตาของซั่งกวนไทเฮาเป็นประกาย นางลุกขึ้นนั่งด้วยความดีใจ ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบประคองนาง นางเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “จริงหรือ? เป็นคุณชายตระกูลไหนกัน? นิสัยใจคอเป็นเช่นไร? รีบบอกป้ามาเร็วเข้า!”
เมื่อครู่ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเพียงกล่าวเพื่อปลอบประโลมนาง ยามนี้จึงตอบคำถามลำบาก อดหันไปมองซูหลีอย่างขอความช่วยเหลือไม่ได้
ซูหลีมองหน้านางเล็กน้อย ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เสด็จแม่ คุณชายท่านนี้ชื่อซูฉุน เป็นพี่ชายของหม่อมฉันตอนที่อยู่ในจวนอัครเสนาบดีแห่งแคว้นเฉิง นิสัยเปี่ยมคุณธรรมมากความสามารถ เรียกได้ว่าเป็นยอดคนหนึ่งในหมื่น เป็นคนที่สวรรค์ลิขิตมาให้คู่กับอวิ๋นฮุ่ยเพคะ”
ซั่งกวนไทเฮาได้ยินก็สำราญใจยิ่งนัก นางกล่าวอย่างชื่นใจ “ผู้ที่ได้รับคำชมจากชิงเอ๋อร์ถึงเพียงนี้ จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน! ดี! ดีแล้ว…เช่นนั้นข้าก็วางใจได้แล้ว! ชิงเอ๋อร์ ฮุ่ยเอ๋อร์!” นางดึงมือของทั้งสองคนไปกุมไว้ด้วยกัน สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดอีกครั้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงแช่มช้า “ภายหน้าหากข้าไม่อยู่แล้ว พวกเจ้าสองคนจะต้องดูแลซึ่งกันและกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน อนาคตของแคว้นติ้ง ต้องอาศัยพวกเจ้าแล้ว! หากมีวันใด ที่ใต้ฟ้ามีโอกาสรวมเป็นหนึ่งเดียว…ชิงเอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องยึดติดกับชื่อแคว้น และไม่จำเป็นต้องกังวลเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนาง เจ้าแค่ทำตามที่ใจเจ้าปรารถนาก็พอ”
ซูหลีตกตะลึง รีบถามทันที “เสด็จแม่ มีใครมาพูดอะไรกับท่านใช่หรือไม่เพคะ?”
ซั่งกวนไทเฮาส่ายหน้าเบาๆ สายตาแฝงความหมาย “เจ้าแค่จำคำของเสด็จแม่ในวันนี้ไว้ให้ดี ไม่ว่าภายหน้าเจ้าตัดสินใจอย่างไร อดีตฮ่องเต้กับข้า แล้วยังมีฉ่างเอ๋อร์ ล้วนเชื่อในตัวเจ้า ว่าเจ้าจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวังอย่างแน่นอน!”
ซูหลีส่ายหน้า กล่าวปนเสียงสะอื้น “เสด็จแม่ ท่านจะต้องไม่เป็นไร! หม่อมฉันจะส่งจดหมายเรียกตัวเจียงหยวนมาที่นี่โดยเร็ว เขาจะต้องรักษาเสด็จแม่ให้หายได้อย่างแน่นอนเพคะ!”
ซั่งกวนไทเฮายิ้มอย่างเศร้าสร้อย “ร่างกายข้าข้ารู้ดีที่สุด มีชีวิตยืนยาวมาได้ถึงสามปี ได้มองเห็นบ้านเมืองกลับมาเจริญรุ่งเรืองด้วยน้ำมือเจ้าแทนอดีตฮ่องเต้กับฉ่างเอ๋อร์ ข้าก็พอใจแล้ว”
ซูหลีหมายจะเอ่ยปาก นางกำนัลคนหนึ่งก็เดินเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท แม่นางหวั่นซินมาแล้วเพคะ!”
ยังกล่าวไม่ทันจบประโยค หวั่นซินก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ ราวกับไม่อาจรอได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว ครั้นเห็นซูหลี นางก็หันไปมองซั่งกวนไทเฮาแวบหนึ่ง คล้ายพะวงบางอย่าง
ซูหลียังไม่ทันเอ่ยปาก ไทเฮาก็ถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ? ไม่จำเป็นต้องปิดบัง พูดมาเถิด”
………………………..