ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 27 ปรารถนาการตอบรับจากเขา (2)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

หวั่นซินยื่นฎีกาเร่งด่วนสามฉบับ พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท เกิดเรื่องที่หลิงโจวแล้วเพคะ!”

ซูหลีเปิดฎีกาฉบับแรกอ่านอย่างรวดเร็ว ที่แท้หลิงโจวประสบปัญหาพายุหิมะถล่ม ทั้งเมืองแทบจะถูกฝังอยู่ใต้หิมะ สถานการณ์ภัยพิบัติรุนแรงมาก เดิมทีขอเพียงฝ่ายราชการรายงานทันเวลา ราชสำนักย่อมส่งเสบียงอาหารและเครื่องนุ่งห่มหน้าหนาวไปเยียวยาเหตุการณ์ภัยพิบัติ และช่วยเหลือชาวบ้านสร้างบ้านเรือนใหม่ ก็จะไม่ถึงขั้นกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ ฎีกาเร่งด่วนฉบับนี้กลับถูกถวายมาเมื่อหนึ่งเดือนก่อนแล้ว

ระยะเวลาหนึ่งเดือน มากพอที่จะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมากมาย

ซูหลีหน้าเปลี่ยนสีทันที รีบอ่านฎีกาฉบับที่สอง ในฎีกาเขียนไว้ว่าเนื่องจากไม่ได้รับการตอบรับจากราชสำนักมาเป็นเวลานาน ชาวบ้านในพื้นที่จึงลือกันว่าราชสำนักได้ทอดทิ้งพวกเขาแล้ว ฉะนั้นจึงก่อเหตุจลาจลด้วยความโกรธแค้น มีคนลักลอบเข้าไปสังหารเจ้าเมืองหลิงโจวในจวนเจ้าเมือง และยึดครองจวน

ซูหลีสูดหายใจลึกๆ แล้วเปิดฎีกาฉบับสุดท้าย ชาวบ้านที่ก่อเหตุจลาจลในเมืองหลิงโจวหิวโหยจนทนไม่ไหว แฝงตัวเข้าไปในเมืองจิ้นหยางของแคว้นเฉิงซึ่งอยู่ใกล้เคียง และทำการปล้นชิงอาหาร เกิดเหตุปะทะกับฝ่ายราชการของแคว้นเฉิงอย่างรุนแรง ท่ามกลางความวุ่นวาย เจ้าเมืองจิ้นหยางถูกสังหาร สองเมืองตกอยู่ในสถานการณ์โกลาหล

จากเหตุการณ์พายุหิมะถล่ม กลับเลยเถิดไปเป็นคดีปล้นเสบียงอาหารและฆ่าคนระหว่างสองแคว้น…

ซูหลีพลันรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ก็ได้ยินซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยที่เพิ่งอ่านฎีกาเสร็จถามขึ้นว่า “ฝ่าบาทจะทรงจัดการเรื่องนี้อย่างไรเพคะ?”

หวั่นซินมองซูหลีด้วยความกังวล นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงพิษเย็นในร่างกายกำเริบ ไม่สามารถออกว่าราชการสองวันแล้วเพคะ!” เดิมทีนางมาที่นี่เพื่อจะรายงานเรื่องนี้ นึกไม่ถึงว่าระหว่างเปลี่ยนม้าที่สถานีพักม้ากลางทาง กลับบังเอิญพบว่ามีฎีกาเร่งด่วนถึงสามฉบับด้วยกัน นางไม่กล้าเสียเวลา จึงรีบนำมาด้วยตนเอง

ซูหลีตะลึงงัน พยายามควบคุมตนเองให้มีสติ “เขา ตอนนี้อาการเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

หวั่นซินส่ายหน้าด้วยความกลัดกลุ้ม “เกรงว่าจะไม่สู้ดีเพคะ”

ทุกคนได้ยินก็ตกตะลึง

ซูหลีสายตาพร่ามัว เท้าอ่อนแรง ล้มลงทันที

หวั่นซินตาไวมือไว รีบเข้าไปรับตัวนาง แล้วประคองไปนั่งที่ด้านหนึ่ง

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบปลอบโยน “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง เขาจะต้องไม่เป็นไรแน่”

ซูหลีหลับตาเงียบๆ ไม่พูดอะไร แต่กลับไม่อาจควบคุมร่างกายที่กำลังสั่นเทาได้ นึกย้อนไปถึงตอนก่อนจากมา เห็นได้ชัดว่าพิษเย็นในร่างกายเขากำลังกำเริบ แต่เขากลับแสร้งทำเป็นปกติ เพียงเพื่อปลอบใจนางให้จากมาอย่างวางใจ หัวใจพลันเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีด มือบางกำฎีกาเร่งด่วนสามฉบับที่ราวกับมีน้ำหนักเท่าทองพันชั่งไว้แน่น นางลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เดินไปที่เตียง

ซั่งกวนไทเฮาถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เรื่องบ้านเมืองเร่งด่วนกว่า ไม่อาจชักช้า เจ้ารีบกลับไปเถิด!”

ซูหลีคุกเข่ากับพื้นเสียงดัง กล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดสับสน “เสด็จแม่ หม่อมฉัน…”

ด้านหนึ่งก็เรื่องเร่งด่วนของบ้านเมือง คนรักป่วยหนักเป็นตายเท่ากัน ด้านหนึ่งก็เสด็จแม่ผู้มีพระคุณดุจขุนเขาที่กำลังป่วยใกล้สิ้นใจ ไม่ว่านางจะเลือกทางใด ก็คล้ายจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

ซั่งกวนไทเฮาเข้าใจความขัดแย้งในใจของซูหลีในยามนี้ดี นางเอื้อมมือไปหาซูหลี ซูหลีรีบกุมมือนางแน่น น้ำตาเอ่อล้นขอบตาอีกครั้ง

ซั่งกวนไทเฮาเอ่ยพลางถอนหายใจ “ถึงแม้ข้าจะอยู่วังหลังมานาน ไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก แต่กลับเข้าใจสถานการณ์ในยามนี้ดี มีฮ่องเต้แคว้นเฉิงตงฟางเจ๋ออยู่ สองแคว้นจึงสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ หากเกิดเรื่องใดกับเขา ใต้ฟ้านี้…เกรงว่าคงจะต้องเกิดเหตุวุ่นวายครั้งใหญ่! ชิงเอ๋อร์ ฮุ่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าจงฟัง”

สีหน้าของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม นางลุกขึ้นนั่งตัวตรง ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบคุกเข่าข้างกายซูหลี เพื่อรอฟังรับสั่ง

ซั่งกวนไทเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หลังจากข้าตายไป ให้จัดงานศพอย่างเรียบง่าย ไว้ทุกข์ไม่เกินสามวัน ชิงเอ๋อร์เป็นประมุขแห่งแคว้น เมืองหลวงใหม่เพิ่งมั่นคงได้ไม่นาน เจ้าจะอยู่ห่างนานไม่ได้ รีบกลับไปเสีย ฮุ่ยเอ๋อร์…”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยร้องอ้อนวอนด้วยใบหน้าอาบน้ำตา “ฮุ่ยเอ๋อร์ขอร้องเสด็จป้า ให้ฮุ่ยเอ๋อร์อยู่ข้างกายท่านเถิดนะเพคะ!”

ใบหน้าของซั่งกวนไทเฮาแปรเปลี่ยนเป็นขึงขังขึ้นหลายส่วน “ยามนี้เจ้าเป็นขุนนางคนหนึ่งของราชสำนักแล้ว ก็ต้องเห็นเรื่องบ้านเมืองมาก่อน กลับไปกับชิงเอ๋อร์เสีย! ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน” เอ่ยจบ นางก็คล้ายหมดเรี่ยวแรง หอบหายใจถี่ๆ เอนกายนอนหันหลังให้พวกนาง และไม่พูดอะไรอีก

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยอยู่ข้างกายนางมาตั้งแต่เล็กจนโต จึงเข้าใจนิสัยนางเป็นอย่างดี ทำได้เพียงสะอื้นแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อนี่เป็นรับสั่งของเสด็จป้า ฮุ่ยเอ๋อร์ก็จะเชื่อฟังเพคะ ฝ่าบาท พวกเรา…เชื่อฟังเสด็จป้าเถิด!” เอ่ยจบนางก็คุกเข่าค้อมกายไปทางเตียง “เสด็จป้าโปรดรักษาตัวด้วย! ฮุ่ยเอ๋อร์…ทูลลา”

ซูหลีหลับตาเงียบๆ จากกันครั้งนี้ นับว่าเป็นการจากตาย จะไม่มีวันได้พบหน้ากันอีกตลอดกาล หัวใจของนางเจ็บปวดจนไม่อาจทานทน แต่กลับอับจนหนทาง ทำได้เพียงค้อมกายไปทางเตียง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ “หากชิงเอ๋อร์สะสางงานราชการที่เมืองหลวงใหม่เสร็จ จะรีบกลับมา ขอร้องเสด็จแม่ รอชิงเอ๋อร์กลับมาก่อนนะเพคะ!”

ซั่งกวนไทเฮาไม่อาจกลั้นน้ำตาในที่สุด แต่กลับทำเพียงโบกมือเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก

กลางดึกสงัด ณ ตำหนักตงหวาของแคว้นเฉิง แสงไฟยังคงสว่างเจิดจ้า

หมอหลวงสิบสามคนจากสำนักหมอหลวงยืนเฝ้าอยู่ในตำหนักบรรทม พวกเขาไม่ได้หลับมาสิบสองชั่วยามกว่าแล้ว แต่กลับยังคงไม่อาจหารือถึงทางออกที่เหมาะสมได้

บนเตียงมังกร ฝ่าบาทพระพักตร์ซีดขาวราวกระดาษ ลมหายใจรวยริน

เซิ่งฉินกระชากคอเสื้อ ‘หลี่จงเหอ’ หัวหน้าสำนักหมอหลวง แล้วลากไปที่เตียงมังกร ตะคอกเสียงดัง “ชักช้าไม่ได้อีกแล้ว! มิเช่นนั้นหากนานไปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาท เจ้ากับข้าไม่พ้นโทษตายแน่นอน!”

หลี่จงเหอเองก็ร้องบอกด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “ก็เพราะเป็นเรื่องใหญ่ หากข้าไม่มั่นใจ จะกล้ารักษาฝ่าบาทได้อย่างไรเล่า?!”

เซิ่งฉินตะลึงงัน ปล่อยมือจากคอเสื้อเขา แล้วหันไปมองคนบนเตียงอย่างเหม่อลอย พลางกล่าวอย่างสิ้นหวังว่า “ท่านเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวง กลับไร้หนทาง…”

ยังกล่าวไม่ทันจบประโยค ประตูตำหนักพลันถูกเปิดออก ได้ยินเสียงคนร้องด้วยความตกใจ “ฮ่องเต้แคว้นติ้ง! ฮ่องเต้แคว้นติ้งเสด็จมาแล้ว!”

เซิ่งฉินได้ยินก็รู้สึกดีใจสุดแสน รีบหันไปมอง เห็นเพียงซูหลีสาวเท้าเข้ามาอย่างเร่งรีบ สายตาของนางร้อนรุ่ม และมีสภาพสะบักสะบอมจากการเดินทางไกล หวั่นซินเดินตามหลังมาติดๆ ทุกคนรีบคุกเข่าทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง

ซูหลีไม่แม้แต่จะหยุดหายใจ นางรีบถาม “เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” ครั้นเอ่ยวาจานี้ออกไป จึงเพิ่งรู้ตัวว่าเสียงนางแหบแห้งแล้ว ตลอดเส้นทาง นางควบม้าแทนที่จะนั่งรถ เร่งเดินทางโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทุกครั้งที่ถึงสถานีพักม้าก็เปลี่ยนม้าทันที แม้แต่แส้ม้าก็ขาดไปแล้วถึงสองเส้น จึงสามารถกลับมาถึงในเวลานี้ได้

กระสับกระส่ายมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดบุคคลสำคัญก็ปรากฏตัวแล้ว เซิ่งฉินรีบเดินเข้าไปรับหน้า กล่าวเสียงสะอื้น “ฝ่าบาทหมดสติไปนานแล้ว หากปล่อยไว้นานกว่านี้กลัวว่า…”

ซูหลีสาวเท้ายาวๆ ไปที่เตียงมังกร กุมมือตงฟางเจ๋อแน่น หัวใจพลันสะท้านไปทั้งดวง อุณหภูมิร่างกายเขาต่ำกว่านางอีก! นางตบหน้าเขาเบาๆ สองที ขานเรียกเสียงเบา “ตงฟางเจ๋อ! ตงฟางเจ๋อ! ได้ยินข้าหรือไม่!”

คนบนเตียงนอนหลับตาสนิท ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ซูหลีข่มกลั้นความลนลานในใจ หันไปถามด้วยความร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

หลี่จงเหอรีบค้อมกายตอบ “ทูลฮ่องเต้แคว้นติ้ง ฝ่าบาทเสวยอาหารผิด จึงได้ทำให้พิษเย็นในกายกำเริบพ่ะย่ะค่ะ!”

กินอาหารผิดจึงทำให้พิษเย็นในร่างกายกำเริบ?! ซูหลีหันไปมองหน้าโจวหลี่ที่ยืนตัวแข็งทื่อ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น “ทูลฮ่องเต้แคว้นติ้ง ตั้งแต่ฝ่าบาทถูกพิษเย็น ห้องเครื่องไม่เคยใช้วัตถุดิบที่มีฤทธิ์เย็นอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ อาหารและเครื่องดื่มทุกอย่าง กระหม่อมเป็นผู้ควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด ไม่เคยขาดตกบกพร่อง! ยิ่งไปกว่านั้นเดือนที่ผ่านมา ฝ่าบาทบรรทมและเสวยอาหารที่ตำหนักซีหวาตลอด…” ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค จู่ๆ เขาก็เงยหน้ามองซูหลี

…………………………