เซิ่งฉินหน้าเปลี่ยนสี หันไปมองหน้าซูหลีด้วยเช่นกัน
ใบหน้าซูหลีสะดุด ลึกๆ ในใจบังเกิดคำถามมากมาย ยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ได้ยินหวั่นซินเอ่ยค้านจากข้างหลัง “ตั้งแต่ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเสวยอาหารที่ตำหนักซีหวา ฝ่าบาททรงกำชับเป็นพิเศษแล้วว่า ห้ามห้องเครื่องใช้วัตถุประกอบอาหารที่มีฤทธิ์เย็นเด็ดขาด หนึ่งเดือนที่ผ่านมา อาหารทุกจาน ข้าเองก็ตรวจสอบด้วยตนเอง มั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน!”
“เช่นนั้นปัญหาเกิดจากอะไรกันแน่?” เซิ่งฉินร้อนใจ
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามหาความรับผิดชอบจากใคร รีบช่วยคนก่อน!” ซูหลีปรามเซิ่งฉิน นางกระวนกระวายมาตลอดการเดินทาง ยามนี้ครั้นเห็นหน้าเขา กลับใจเย็นลงหลายส่วนแล้ว นางใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับวิกฤติ ตงฟางเจ๋อมักกินยาลูกกลอนที่หลินเทียนเจิ้งทำให้ นางรีบร้องขึ้นทันที “ยาชิงซิน! ใช่แล้ว! รีบเอายาชิงซินมาเร็วเข้า!”
เซิ่งฉินรีบล้วงขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจ “กระหม่อมเคยลองป้อนยาให้ฝ่าบาทแล้ว แต่กลับป้อนไม่สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีเทยาออกมาหนึ่งเม็ด ใช้มือบีบคางตงฟางเจ๋อ ลองเอายายัดเข้าไปในปากเขา แต่กลับพบว่าเขากัดฟันแน่นมาก ราวกับร่างกายเย็นจนแข็งไปทั้งตัว!
“น้ำร้อน! ละลายยาในน้ำร้อนเสีย!” นางออกคำสั่งเสียงดัง โจวหลี่รีบรับคำ รับขวดยาไปทำตามคำสั่งทันที
ซูหลีทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วไร้ความลังเล…ยามนี้นางไม่มีเวลากลัวแล้ว ในหัวใจมีเพียงความคิดเดียว คือต้องช่วยบุรุษตรงหน้าให้ผ่านพ้นอันตรายไปให้ได้
“ยา!”
โจวหลี่ละลายยาเสร็จแล้ว รีบน้อมส่งขึ้นมา ซูหลีค่อยๆ เทยาเข้าไปในปากตงฟางเจ๋อ
ครั้นน้ำไหลเข้าปาก ลำคอของตงฟางเจ๋อขยับขึ้นลงเล็กน้อย เขากลืนมันลงไปโดยสัญชาตญาณ ซูหลีพลันดีใจ จึงป้อนยาให้เขาดื่มอย่างต่อเนื่อง จนหมดในที่สุด
ทุกคนต่างตกตะลึง มองเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยตาตนเอง ผู้ใดยังกล้าบังอาจพูดว่าสองฮ่องเต้แสร้งทำเป็นรักกันอีก? ในตำหนักเงียบกริบไร้เสียง ทุกคนต่างกลั้นหายใจรอให้ตงฟางเจ๋อฟื้นขึ้นมา
แต่ทว่า เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเค่อแล้ว ตงฟางเจ๋อก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา ยาวิเศษที่เคยช่วยชีวิตเขาจากวิกฤติครั้งแล้วครั้งเล่า กลับไม่ได้ผล ซูหลีจ้องใบหน้าอันซีดเผือดของบุรุษตรงหน้าเงียบๆ มือบางกำเข้าหากันช้าๆ
เซิ่งฉินร้อนใจดั่งไฟสุมอก อดไม่ได้ที่จะเดินไปเดินมา
“ฝ่าบาท…” โจวหลี่เช็ดน้ำตา เริ่มสะอื้นไห้
“ห้ามร้องไห้!” ซูหลีหันหน้าไปถมึงตาจ้องโจวหลี่ จากนั้นก็พึมพำเสียงเบา “ต้องมีวิธีแน่! ต้องมีแน่นอน!”
หวั่นซินกล่าวอย่างครุ่นคิด “ใช่เพราะพิษเย็นรุนแรงเกินไป ชีพจรตึง[1] จนทำให้ฤทธิ์ยาไม่ได้ผลไปชั่วขณะหรือไม่เพคะ?”
ซูหลีรู้สึกว่าเป็นไปได้ จึงรีบให้เซิ่งฉินประคองตงฟางเจ๋อลุกขึ้น แล้วใช้ฝ่ามือแนบติดกับแผ่นหลังเขา ปกป้องชีพจรหัวใจของเขาไว้ก่อน จากนั้นก็ขับเคลื่อนกำลังภายใน พยายามกำจัดพิษเย็นที่ทำให้ชีพจรของเขาตึง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หน้าผากของซูหลีเริ่มมีเหงื่อซึม จู่ๆ ก็ได้ยินเซิ่งเฉินร้องด้วยความตกใจ “ฝ่าบาท!”
ซูหลีสับสน ดึงมือกลับโดยสัญชาตญาณ บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าล้มเข้ามาในอ้อมแขนนางอย่างอ่อนแรง!
ซูหลีรีบรั้งเขาเข้ามากอด ก้มหน้ามอง ตงฟางเจ๋อยังคงไม่ฟื้น แต่คิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากันแน่น เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน เห็นได้ชัดว่ากำลังทรมานแสนสาหัส นิ้วมือสั่นเทาของนางเพิ่งจะยกขึ้นกุมแก้มเขา หมายจะขานเรียกเขา แต่จู่ๆ เขากลับอ้าปากกระอักเลือดออกมา!
เลือดสีแดงสด ขับเน้นให้กลีบปากที่ซีดอยู่แล้ว ยิ่งซีดจนน่าตกใจ นัยน์ตาของซูหลีหดเล็กทันใด นางแตกตื่นลนลานจนทำอะไรไม่ถูก อดตะโกนเรียกเสียงดังไม่ได้ “ตงฟางเจ๋อ! หมอหลวง หมอหลวง!!”
หลี่จงเหอก้าวเท้าเข้ามา รีบจับชีพจรของตงฟางเจ๋อ สีหน้าพลันตกตะลึง กล่าวด้วยเสียงอันสั่นเครือ “เดิมพิษเย็นในพระวรกายฝ่าบาทอยู่ในสภาพแข็งตัว ยามนี้ครั้นขับเคลื่อนชี่แท้ พิษเย็นจึงกระจายไปยังอวัยวะภายในทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
ใบหน้าของซูหลีซีดเผือดทันใด ได้แต่จ้องหน้าเขาโดยพูดอะไรไม่ออกแม้สักคำ นางอยากช่วยเขา แต่กลับกลายเป็นทำร้ายเขา!
เซิ่งฉินเข่าอ่อน คุกเข่าลงบนพื้น เจ็ดวันในแม่น้ำหลานชางในปีนั้น เขายังจำได้ดี แต่สถานการณ์ในยามนี้ กลับอันตรายกว่าตอนนั้นหลายเท่านัก!
หวั่นซินตื่นตะลึง นึกไม่ถึงว่าการทำเช่นนั้นจะยิ่งทำให้เรื่องเลวร้ายลง พลันรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ได้แต่ถามด้วยความร้อนรน “หมอหลวงหลี่ มีวิธีช่วยหรือไม่?”
หลี่จงเหอพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “ใต้เท้าหลินเป็นผู้รักษาพิษเย็นในพระวรกายของฝ่าบาทด้วยตนเองมาโดยตลอด หากเขาอยู่ อาจมีโอกาสช่วยชีวิต…”
เซิ่งฉินตื่นตะลึง รีบลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ตอนอาการประชวรของฝ่าบาทกำเริบ เคยเรียกตัวใต้เท้าหลินกลับมา แต่นี่ก็สามสี่วันผ่านมาแล้ว ไม่มีการตอบกลับแม้แต่น้อย! กระหม่อมจะไปตามเขากลับมาเดี๋ยวนี้!” เอ่ยจบก็หมายจะวิ่งออกไป
หวั่นซินรีบห้ามเขา “ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงเปี้ยนพันลี้ ถึงแม้ท่านจะเดินทางหามรุ่งหามค่ำ ก็ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะถึงแคว้นเปี้ยน กว่าจะตามตัวหลินเทียนเจิ้งกลับมาได้ เกรงว่าทุกอย่างจะสายไปแล้ว!”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า? หรือต้องมองดูฝ่าบาท…มองดูฝ่าบาท…” สุดท้ายทำอย่างไรก็พูดคำว่า ‘รอความตาย’ ไม่ออก เซิ่งฉินดวงตาแดงก่ำ เจ็บปวดราวแทบขาดใจ
ซูหลีพยายามตั้งสติ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจียงหยวนจะมาถึงเมื่อใด?”
สายตาของทุกคนเป็นประกาย ลึกๆ ข้างในเริ่มมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย หากในโลกนี้จะมีใครที่มีทักษะทางการแพทย์เทียบชั้นกับหลินเทียนเจิ้งได้ ก็เกรงว่าจะมีเพียงหมอเทวดาเจียงหยวนเท่านั้น!
หวั่นซินรีบกล่าวว่า “เมื่อวานเพิ่งได้รับจดหมายตอบกลับ ไม่กี่วันก่อนเขามาถึงชวีโจวแล้ว มีคนเชิญเขาไปรักษาอาการป่วย ฉะนั้นจึงเสียเวลาไปครู่หนึ่ง หม่อมฉันจะไปส่งจดหมาย ให้เขาเร่งเดินทางกลับมาเมืองหลวงทันที!”
ชวีโจวอยู่ห่างจากที่นี่เพียงระยะเวลาหนึ่งถึงสองวันเท่านั้น ขอเพียงตงฟางเจ๋ออดทนจนกว่าเจียงหยวนจะมาถึง ก็จะมีความหวังแล้ว!
“ดี ดี!” ซูหลีพยักหน้าถี่ๆ อดกล่าวเร่งเร้าไม่ได้ “เจ้ารีบไปเถิด”
“หมอหลวงหลี่” ซูหลีหันไปหาหลี่จงเหอ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “มีวิธีใดที่จะช่วยให้เขาอดทนไปได้อีกสองวันอย่างปลอดภัยได้หรือไม่?” ท่ามกลางหมอหลวงในกลุ่มนี้ มีเพียงหลี่จงเหอที่มีวิชาแพทย์โดดเด่นกว่าคนอื่น หากเขาไร้ความสามารถ เกรงว่าคนอื่นจะยิ่งไร้หนทางรับมือ
เหงื่อไหลลู่ตามเส้นผมข้างขมับของหลี่จงเหอ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงค่อยกัดฟันตอบว่า “กระหม่อมเคยอ่านพบวิธีหนึ่งในตำราแพทย์ อาจลองดูได้สักหน แต่กระหม่อมไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่มีเรื่องผิดพลาด ทำได้เพียงรอดูลิขิตสวรรค์เท่านั้น…”
“ข้าไม่เคยเชื่อลิขิตสวรรค์อะไรทั้งนั้น!” ซูหลีจ้องตาหลี่จงเหอ แล้วกล่าวทีละคำด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “ข้าเชื่อในความสามารถของเจ้า! ไม่ว่าอย่างไรจงทำให้เขาอดทนไปอีกสองวันให้ได้!”
หลี่จงเหอทำได้เพียงตอบว่า “กระหม่อมจะทำอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ!”
สีหน้าของซูหลีผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางหันไปมองหน้าทุกคนในตำหนัก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “นับจากนี้ไป ทุกคนจงให้ความร่วมมือกับหมอหลวงหลี่อย่างเต็มที่ อย่าให้มีเรื่องใดผิดพลาดเด็ดขาด!”
หลี่จงเหอหารือกับเหล่าหมอหลวงอยู่ครึ่งชั่วยาม จึงออกเทียบยาได้ในที่สุด จากนั้นก็รีบสั่งให้คนต้มยาตามเทียบยา หลังจากดื่มยา ชีพจรของตงฟางเจ๋อก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้นดังคาด ทุกคนจึงค่อยคลายใจลงได้บ้าง
ซูหลีเห็นเหล่าหมอหลวงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จึงบอกให้พวกเขาไปพักผ่อนก่อน แล้วรอคำสั่งเรียกตัวอีกที จากนั้นก็กำชับเซิ่งฉินและโจวหลี่ให้ดูแลอย่างเคร่งครัด ห้ามปล่อยให้ข่าวการป่วยของฮ่องเต้แคว้นเฉิงแพร่งพรายออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ราชสำนักแตกตื่น
ขณะที่ทุกคนถอยออกไป จู่ๆ หิมะก็ตกหนัก ไม่นานตำหนักตงหวาก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน
คืนนี้ คงจะเป็นอีกคืนที่นอนไม่หลับ
ตำหนักตงหวาเงียบกริบ ซูหลีกอดเขาที่เหมือนไม่มีสติรับรู้ใดอีกแล้ว ความหวาดกลัวพลุ่งพล่านในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นอกจากรอ ยังทำอะไรได้อีก?
นิ้วมือของนางเกาะเกี่ยวอยู่ที่ข้อมือของตงฟางเจ๋อ ไม่ยอมห่างแม้แต่วินาทีเดียว ราวกับว่ามีเพียงต้องสัมผัสได้ถึงชีพจรที่ยังเต้นอยู่ของเขา จึงจะทำให้นางเชื่อว่าเขายังอยู่ข้างกายนาง
“ตงฟางเจ๋อ…”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหลีขานเรียกเขาเสียงเบา รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้ยิน ก็ยังคงพูดกับตนเองต่อไป “ยังจำตอนที่เราพบกันครั้งแรกในโรงเตี๊ยมได้หรือไม่? ท่านถูกพิษ และถูกคนไล่ล่า…ต่อมาก็รอดจากสถานการณ์อันตราย ตอนนั้นข้าก็รู้แล้วว่าท่านมีจิตตานุภาพที่แข็งแกร่งกว่าผู้อื่น ไม่มีสิ่งใดสามารถล้มท่านได้…”
“ท่านกับข้ารู้จักกันมาจนถึงตอนนี้ เป็นเวลาสั้นๆ เพียงหกเจ็ดปี แต่กลับผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยกันมามากมาย มากกว่าทั้งชีวิตของคนอื่น บ่อยครั้งที่ข้าอดคิดไม่ได้ ว่าเหตุใดสวรรค์จึงไม่ยุติธรรมกับเราเลย กำหนดให้เราพบกันและรักกัน แต่กลับไม่อาจอยู่ร่วมกันได้”
นัยน์ตาอ่อนแอของนางสะท้อนแววหนักแน่น แนบกลีบปากประชิดใบหูที่เย็นชืดเล็กน้อยของเขา ลูบไล้อย่างอบอุ่นอ่อนโยน เสียงที่เบาจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ คล้ายต้องการระบายความในใจในหลายปีที่ผ่านมา
“หลายปีนี้ ข้าใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน ข้ารู้ว่าท่านก็เช่นกัน ถึงแม้อย่างนั้น…ข้าก็ไม่เคยเสียใจที่รักท่าน”
นาฬิกาทรายยังคงร่วงโรยต่อไปทีละเล็กทีละน้อย เปรียบเสมือนกับชีวิตของคนในอ้อมแขนที่ค่อยๆ ดับสูญไป
นางถูนิ้วมือเย็นเฉียบของเขาโดยสัญชาตญาณ พยายามจะทำให้ร่างกายเขาอบอุ่นขึ้น นางไม่เคยต้องการการตอบรับจากเขามากเท่านี้มาก่อน นางอยากได้ยินเสียงของเขา ยิ่งหวังว่าเขาจะลืมตาขึ้นมามองนาง แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ยังดี
วินาทีนี้ ในที่สุดซูหลีก็เข้าใจแล้วว่า ตงฟางเจ๋อรู้สึกอย่างไรตอนที่หาศพปลอมศพนั้นเจอในแม่น้ำหลานชาง! แต่นางในยามนี้ยังมีความหวัง ต่างจากเขาในตอนนั้นที่เหลือเพียงความสิ้นหวัง
ขอบตาของนางรื้นไปด้วยน้ำใสๆ ไม่อาจควบคุมความรู้สึกที่พลุ่งพล่านในใจได้ สามปีที่ผ่านมา เพราะความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนสำคัญ นางจึงไม่อาจปล่อยหัวใจได้อย่างแท้จริง จึงได้หลีกเลี่ยงเขา เมินเฉยต่อเขา เย็นชาต่อเขา เพราะนึกว่าหัวใจของนางได้ด้านชาไปนานแล้ว แต่กลับไม่เคยนึกว่าคนที่แข็งแกร่งเช่นเขา ก็มีวันที่ล้มลงได้ด้วยเช่นกัน!
เมื่อวินาทีนั้นมาถึง ที่แท้นางก็หวาดกลัวถึงเพียงนี้ กลัวว่าจะสูญเสียเขาไปตลอดกาล…
“ตงฟางเจ๋อ” นางซุกหน้าเข้าไปในซอกคอของเขา ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม กล่าวด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นเล็กน้อย “ท่านเคยบอกว่าจะอยู่กับข้าไปจนแก่เฒ่า ท่านเป็นคนที่พูดได้ทำได้มาโดยตลอด…ข้าจะไม่ยอมให้ท่านคืนคำเด็ดขาด! ท่านได้ยินหรือไม่?!”
ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค จู่ๆ เสียงพายุหิมะจากข้างนอกก็โหมกระหน่ำ ซัดสาดเข้ามาจนกระดิ่งใต้ชายคาส่งเสียงดัง เมื่อดังเคล้ากับเสียงหวีดหวิวของสายลม ชวนให้อดรู้สึกหดหู่และเศร้าสลดไม่ได้
“วันนั้น…วันที่เห็นเซี่ยเอ๋อร์ ข้าก็คิดว่าหากท่านกับข้ามีลูก จะเป็นอย่างไรนะ? หากท่านฟื้นขึ้นมา พวกเรามีลูกด้วยกันคนหนึ่งเถิด ท่านว่าดีหรือไม่?”
นางกุมมือเขาขึ้นมาแนบใบหน้าตนเองเบาๆ คล้ายกำลังตามหาความอ่อนโยนที่เคยได้รับ เพียงแต่นิ้วมือเย็นชืดของเขาหยุดชะงักที่ใบหน้านางครู่หนึ่ง ก็หลุดร่วงจากฝ่ามือของนางอย่างไร้เรี่ยวแรง!
ซูหลีเหม่อมองเขา ในที่สุดน้ำใสๆ ก็บดบังการมองเห็นของนางให้พร่ามัว นางหลับตาเบาๆ หยาดน้ำตาหลั่งรินเป็นสาย ไม่ทันสังเกตเห็นว่า นิ้วมือที่หดงอเล็กน้อยของเขากำลังขยับเบาๆ ท่ามกลางความมืด
…………………