เคนถอดเสื้อคลุมออกแล้วส่งให้คนรับใช้ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ
ในมือของเขาถือเสื้อคลุมของอาเรียอยู่ เสื้อที่ในตอนนี้เย็นเฉียบไปแล้วนั้น มีเพียงส่วนที่อยู่ในมือของเคนเท่านั้นที่ยังคงอุ่นอยู่อย่างประหลาด
‘อีกไม่กี่ขั้นก็ถึงชั้น 3 แล้ว’
ความจริงที่ว่าเขาจะต้องกลับลงไปอีกครั้งหลังจากคืนเสื้อคลุมนี้แล้วนั้น ทำให้ฝีเท้าของเขาค่อยๆ ก้าวช้าลง
ทว่าด้วยความที่ห้องของอาเรียอยู่ไม่ไกลมากนัก ไม่นานเขาก็มาถึงหน้าห้องของเธอ
“ท่านพี่”
เธอกำลังเฝ้ารอฉันอยู่อย่างนั้นหรือ ทันทีที่เคนเดินมาหยุดอยู่หน้าประตู อาเรียก็เปิดประตูกว้างต้อนรับเขา
“อุตส่าห์เอามาให้เองเลยหรือคะ ใจดีจังเลยค่ะ”
หญิงสาวที่เติบโตขึ้นอย่างงดงามในทุกๆ ครั้งที่เจอจนน่าประหลาดใจคนนั้น ในตอนนี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศอันน่าหลงใหล ซึ่งสามารถดึงดูดสายตาของเหล่าชายหนุ่มทั้งหลายได้ด้วยเพียงแค่รอยยิ้มบางๆ ของเธอเท่านั้น
เขาพยายามจะสลัดมันออกอยู่หลายครั้ง แต่บางครั้งตอนเจออาเรียหลังกลับมาถึงบ้าน เขาก็ต้องกัดฟันแทนที่จะสลัดมันออก เพื่อเบี่ยงความสนใจจากสายตาที่มองตามไปราวกับหลงเสน่ห์
‘ฉันสาบานว่าจะไม่มีทางเป็นแบบพ่อเด็ดขาด…’
เขารู้สึกอับอายที่พ่อของเขาเกิดไปหลงใหลในรูปลักษณ์อันสง่างามจนถึงขั้นยอมสละที่นั่งของแม่ไป
แต่ทว่าสายเลือดคงจะไม่สามารถหลอกกันได้ เพราะท้ายที่สุดเขาเองก็กลายเป็นคนโง่ที่เผลอไปหลงเสน่ห์รูปลักษณ์อันงดงามของเธอด้วยเหมือนกัน
แม้ว่าเธอจะเป็นน้องสาวคนใหม่ของเขาที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นหญิงชั่วก็ตาม
“…ถ้าเธอยังยื่นตัวออกไปแบบนั้นอีก คราวหน้าสิ่งที่ตกลงไปจะไม่ใช่เสื้อของเธอ แต่จะเป็นตัวเธอเองนั่นแหละ”
พอเขาพูดพลางปิดบังความรู้สึกเสียดายที่มาแค่คืนเสื้อคลุมแล้วก็ต้องกลับไปไว้ภายใต้ใบหน้าอันเย็นชานั้น อาเรียก็เผยสีหน้าประทับใจอย่างสุดซึ้ง โดยที่เขาไม่ได้คาดคิด
“นี่ท่านพี่เป็นห่วงฉันหรือคะ”
สีหน้าของเธอดูราวกับว่าเพิ่งเคยมีใครเป็นห่วงเธอเป็นครั้งแรก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะประทับใจ ทั้งที่เขากังวลว่าบางทีเขาอาจจะทำพลาดเพราะสิ่งที่พูดนั้นอาจฟังดูเย็นชาเกินไปแท้ๆ
เคนที่นึกขึ้นได้ถึงการดูแลที่อาเรียได้รับที่คฤหาสน์ในช่วงที่ผ่านมา ก็ตอบกลับพลางคลายสีหน้าเคร่งขรึมของตัวเองเล็กน้อย
“ฉันไม่อยากเห็นใครตกลงมาน่ะ”
“ขอบคุณนะคะ ท่านพี่”
เคนหลงใหลไปกับอาเรียที่กล่าวขอบคุณเขาอย่างจริงใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะกระแอมในลำคอ แล้วยื่นเสื้อคลุมคืนเธอไป
เขาคืนเสื้อคลุมที่สกปรกแล้วให้เธอไป พลางรู้สึกละอายใจและสงสัยว่านี่ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกผิดหวังของเขาก็กลับมากขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้เหตุผลและโอกาสให้คุยกับอาเรียได้จากไปแล้ว
เขาคิดอย่างนั้น แต่ทว่า
“น้องกำลังว่างอยู่พอดี ถ้าท่านพี่มีเวลา เรามาดื่มชาด้วยกันเสียหน่อยไหมคะ”
โอกาสมาถึงเคนอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด อาเรียวางมือของเธอลงเหนือมือของเขาที่กำเสื้อคลุมของเธออยู่ แล้วยิ้มอย่างเขินอาย
สมองสั่งเขาว่าเขาไม่ควรทำเช่นนั้น และให้ปฏิเสธเธอไป แต่… เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากมือเธอที่ซ้อนทับอยู่ด้านบน และเห็นดวงตาของเธอที่ราวกับอมแสงสว่างนั้น ไม่มีทางเลยที่เขาจะปฏิเสธเธอได้ลง
พอเขาพยักหน้าอย่างเงียบๆ พลางรู้สึกได้ถึงใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าว อาเรียก็บอกให้เขารอสักครู่ ก่อนจะปิดประตูแล้วหายเข้าไปในห้อง
* * *
อาเรียเปิดประตูออกมาอีกครั้ง ด้วยเสื้อคลุมตัวใหม่ เสื้อผ้าที่ไว้ใส่อยู่บ้านของเธอก็ถูกเปลี่ยนเป็นชุดเดรสที่มีเนื้อผ้าบางเบาและแอบแนบเนื้อ
แม้ส่วนเว้าของร่างกายจะไม่ถูกเผยออกมาทั้งหมด เพราะเธอสวมเสื้อคลุมอยู่ แต่ชุดก็พลิ้วแนบไปตามร่างของเธอในทุกครั้งที่ขยับตัว ทำให้เคนรู้สึกกระวนกระวายใจ
อาเรียนั่งที่โต๊ะในสวนบนชั้น 2 พลางจิบชาอุ่นๆ เขาที่ปกติจะมองเธออย่างแอบๆ นั้น ในตอนนี้กลับจ้องมองอาเรียอย่างเปิดเผย
แม้ว่าเขาจะเป็นตั้งใจทำเช่นนั้น แต่มันก็เป็นสายตาที่ทำให้รู้สึกไม่ดี
“จะว่าไป…”
อาเรียที่ทำลายความเงียบและเอ่ยปากพูดนั้นจึงทำให้เคนที่กำลังมองอาเรียอยู่ สะดุ้งตกใจ เพราะมันเป็นพฤติกรรมชั้นต่ำที่พวกอันธพาลทำกัน
เขาคงจะรู้สึกละอายใจกับการกระทำของตัวเอง จึงทำเป็นจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อยอย่างไม่มีเหตุผล อาเรียเลยแกล้งทำเป็นไม่เห็น และกล่าวขึ้น
“คฤหาสน์ต้องมาวุ่นวายโดยใช่เหตุเพราะฉันเลยสินะคะ ขอโทษนะคะ”
“…เธอจะขอโทษทำไมกัน นั่นไม่ใช่เพราะเธอเสียหน่อย”
พอเธอตำหนิตัวเองด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เขาที่กลับมามีสีหน้านิ่งอย่างไม่รู้ตัว ก็ปลอบอาเรีย
อาเรียเกือบจะหลุดหัวเราะเยาะออกมาเมื่อเห็นท่าทีของเขาที่แตกต่างจากในอดีต ไม่สิ เทียบกับแม้กระทั่งจากปีที่แล้วก็ต่างออกไปมาก แต่อาเรียก็กลั้นขำเอาไว้ ก่อนจะพูดต่อขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่คะที่ฉันไม่ดีเอง…”
“ไม่ว่าใครก็จุดที่ไม่ดีกันทันนั้น และนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอพยายามจะทำร้ายคนอื่นเสียหน่อย”
แม้ว่าจุดที่ไม่ดีนั้นจะเป็นข้อเสียที่รุนแรงที่ไม่สามารถแก้ไขหรือปรับปรุงได้ไปตลอดชีวิต แต่เคนก็กล่าวด้วยสีหน้าของคนมีอายุที่ดูน่าเชื่อถือทีเดียว ถึงแม้เขาเองจะรังเกียจชาติกำเนิดของอาเรียก็ตาม
แต่อาเรียยังคงตีหน้าเศร้าต่อ แม้เคนจะปลอบเธอเช่นนั้น เธอหลบตาลงพลางกุมแก้วน้ำชาด้วยมือทั้งสองข้าง ท่าทีของเธอนั้นดูราวกับสัตว์กินพืชผู้น่าสงสารที่สูญเสียแม่ของตัวเองไป
“ขอบคุณนะคะ ท่านพี่ แต่ว่า… ไม่ว่าอย่างไรมันก็คงจะดีกว่าถ้าฉันจะออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้ทันทีที่โตเป็นผู้ใหญ่น่ะค่ะ เพราะเรื่องแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นอีกก็ได้ค่ะ แน่นอนว่า… อาจจะเป็นใครก็ได้ในครอบครัวค่ะ”
“…ว่าอย่างไรนะ”
เคนขึ้นเสียงถามกลับด้วยความตกใจกับเรื่องที่จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาว่าจะออกจากบ้าน
การที่บรรลุนิติภาวะแล้วหมั้นหมาย แต่งงานและออกเรือนไปนั้นเป็นเรื่องปกติก็จริง แต่การออกเรือนโดยปกติแล้วจะทำหลังจากแต่งงาน
แต่การที่หญิงสาวชนชั้นสูงจะแยกตัวออกไปคนเดียวโดยที่ไม่ได้แต่งงานนั้นเป็นเรื่องที่แปลกมาก และในกรณีแบบนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่โดนขับไล่ออกจากตระกูล
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เคนรีบกล่าวเสริมขึ้นมา
“ฉันจะพูดอีกครั้งว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น เพราะเธอไม่ได้ทำอะไรผิด”
เขาแสดงออกถึงความโมโหและขุ่นเคือง แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม มือที่ถือถ้วยชายกไปที่ริมฝีปากของเขานั้นค่อนข้างหยาบ
บางครั้งเขาก็พึมพำกับตัวเองหลังจากมองไปที่อาเรียแวบหนึ่งที่ยังคงมีสีหน้าเศร้าสร้อย เรื่องที่อาเรียจะออกจากบ้านคงจะทำให้เขาตกใจอยู่มากทีเดียว
‘ฉันไม่เคยล่อลวงเขาอย่างเปิดเผยแท้ๆ แต่กลับมาติดกับกันแบบนี้ ค่อยใช้งานได้ง่ายขึ้นหน่อย’
ในอดีตเขาซ่อนด้านนี้ของตัวเองไว้ได้อย่างไรกันนะ เธอนึกเศร้าใจกับในอดีตที่ทั้งที่มีหนทางที่เรียบง่ายอยู่ แต่เธอก็ไม่ทันได้สังเกตเห็น มัวแต่โง่เขลาไปเดินในทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อเพื่อซับน้ำตา
“ดีใจจังเลยค่ะที่แม้แต่ท่านพี่ก็คิดแบบนั้น”
“คนอื่นก็คิดแบบนั้นเหมือนกันแหละ เพราะอย่างนั้นอย่าคิดมากไปเลย”
“…จริงหรือคะ”
อาเรียถามเขาแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้
สายตาของเคนมองตามเธอไปเองโดยที่เขาไม่ได้บังคับ เมื่ออาเรียค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ สายตาของเขาถูกดึงดูดอีกครั้งด้วยเสื้อผ้าของเธอที่พลิ้วไหวแนบไปกับร่างกายทุกครั้งที่ขยับตัว ทำให้เคนรู้สึกกระวนกระวาย
อาเรียจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยมของเคน แล้วเอื้อมมืออันบอบบางของเธอออกไป
เป้าหมายคือบริเวณคอของเคน ด้วยสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดคิดนี้ ทำให้เคนถอยหลังไปเล็กน้อย ดวงตาของเขาสั่นระริก
อาเรียที่ค่อยๆ เลื่อนสายตาต่ำลงมาจากเขานั้น เผยยิ้มอันอ่อนโยนและจัดแจงเนกไทของเคนให้เรียบร้อย
“มันเบี้ยวนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“…อ๋อ”
เคนรู้สึกตกใจจนไม่สามารถตอบกลับอย่างปกติได้
แม้เนกไทจะตรงแล้ว แต่มือของอาเรียก็ยังวนเวียนอยู่บริเวณต้นคอของเคนอยู่พักหนึ่ง ทำให้เขาสติหลุด แม้จะเป็นแค่สกินชิพเบาๆ ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ก็เคนสูดหายใจเข้าไปราวกับจะสิ้นลม
อาเรียที่จัดแจงเสื้อผ้าของเขาเสร็จสรรพแล้ว ก็ปัดฝุ่นที่มองไม่เห็นบริเวณผมออกให้เป็นการปิดท้าย แล้วกล่าวกับเคน เขามีสีหน้าที่ดูราวกับว่าวิญญาณได้หลุดออกจากร่างไปแล้ว
“ท่านพี่ช่างใจดีอะไรขนาดนี้… คนที่ฉันเชื่อได้ในคฤหาสน์นี้ก็มีเพียงท่านพี่เท่านั้นนะคะ”
สายตาของเขาพร่ามัว เมื่อมองไล่ตามอาเรียที่กลับไปยังที่นั่งของตัวเองอีกครั้งหลังจากทิ้งคำพูดที่ฟังดูมีความหมายลึกซึ้งเอาไว้ อาเรียจิบน้ำชาที่เย็นแล้วอีกนิดหน่อย ก่อนจะตอกลิ่มสุดท้ายลงไป
“แต่ฉันยังกังวลอยู่เลยค่ะ ทำอย่างไรดีคะ”
ได้โปรดขอให้เคนลงโทษเอ็มม่าด้วยตัวเขาเองโดยตรงด้วยเถอะ และเธอก็นึกอยากให้เขาซักถามมิเอล ก่อนจะประกาศยุติงานเลี้ยงน้ำชา
“ต่อจากนี้เองฉันก็อยากดื่มชากับท่านพี่แบบนี้อีกบ่อยๆ ค่ะ …เพราะฉันเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่น่ะค่ะ”
เฉกเช่นเดียวกับพ่อของเขา เคนที่ถูกยั่วยวนอย่างง่ายดายด้วยความสวยงามของสตรีนั้น กลายเป็นพันธมิตรผู้กระตือรือร้นของอาเรียทันที เพราะในห้องอาหารที่เธอลงไปเผื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนั้น เขาก็แนะนำว่าให้เพิ่มคนตามหาตัวเบอร์รี่เป็นสองเท่า
“หากสายไปมากกว่านี้ แม้แต่ศักยภาพความสามารถของตระกูลก็จะพลอยโดนตั้งคำถามไปด้วยนะคะ”
ท่านเคานต์เห็นด้วยอย่างมากกับเรื่องนี้ ต้องขอบคุณที่เขาเป็นไพ่ใบที่มีประโยชน์มากเลยทีเดียว
มีก็เพียงแต่มิเอลคนเดียวที่ไม่เห็นด้วย
“มีคนไปช่วยกันตามหาเธอตั้งเยอะแล้ว ถ้าเพิ่มคนไปอีกแล้วจะได้อะไรคะ”
อาเรียได้ยินดังนั้น ก็เห็นด้วยกับคำพูดเธอ พลางตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า ‘นั่นก็จริง’ เคนจึงขมวดคิ้วใส่มิเอลทันที
“จะว่าไป มิเอล เหมือนว่าชื่อของเอ็มม่าจะถูกพูดถึงว่าเป็นผู้เกี่ยวของกับเรื่องในครั้งนี้นะ”
หลังจากนี้มิเอลก็ขึ้นเสียงสูงด้วยความตกใจอย่างไม่สมกับเป็นมิเอล
“ทะ ท่านพี่เองคงจะไม่ได้สงสัยเอ็มม่าหรอกใช่ไหมคะ!”
“มีไฟก็ย่อมมีควันไม่ใช่หรือ ความจริงเบอร์รี่ก็ทำงานให้เอ็มม่ามานานแล้วด้วย”
“ไม่มีทาง! เธอไม่ใช่คนที่จะไปข้องเกี่ยวกับเรื่องเลวร้ายพรรคนี้หรอกค่ะ!”
ท่าทีของเธอที่กรีดร้องปฏิเสธจนหน้าแดงราวกับถูกอะไรทิ่มแทงอย่างนั้น ช่างดูแปลกตา
ด้วยสภาพที่ดูน่าเกลียดที่เธอไม่เคยแสดงออกมาให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนกระทั่งตอนนี้ ทำให้รู้ว่าเธอพยายามปกป้องเอ็มม่ามากแค่ไหน
‘เพราะอย่างนั้นก็ต้องทำให้เอ็มม่าเป็นผู้ริเริ่มเรื่องในครั้งนี้ให้ได้’
อาจจะได้เห็นมิเอลร้องไห้งอแงจนเป็นลมล้มพับไปเลยก็ได้ไม่ใช่หรือ
ทำไมฉันถึงไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่ามีเอ็มม่าที่เป็นเหยื่อชั้นดีขนาดนี้อยู่กันนะ
อาเรียพูดปลอบใจมิเอล
“ถ้าเธอไม่ผิดจริงๆ เดี๋ยวข่าวลือก็หายไปเองแหละ มิเอล เพราะอย่างนั้นอย่ากังวลไปเลย ใช่ไหมคะ ท่านพี่เคน”
“…ใช่แล้วล่ะ”
แต่ทว่าเอ็มม่านั้นมีความผิด และเธอจะได้รับบทลงโทษอันน่าสยดสยอง
มิเอลหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นอาเรียโต้ตอบกับพี่ชายของเธออย่างสนิทสนมกันยิ่งกว่าตัวเองที่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดแท้ๆ เสียอีก
เธอสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
* * *
เคนแสดงท่าทีกระตือรือร้นเป็นอย่างมากเพื่อจะจัดการเรื่องในครั้งนี้ให้ได้ เขาทั้งเพิ่มจำนวนคนตามหาเบอร์รี่เป็นสองเท่า และถามเรื่องของเบอร์รี่เองโดยตรงกับเหล่าคนรับใช้
และในบางครั้งที่เขาพยายามสืบหาความคืบหน้า เขาก็เผลอข่มขู่มิเอลโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เลดี้คะ เอ็มม่าเหมือนจะออกไปข้างนอกอีกแล้วค่ะ!”
อาเรียยิ้มอย่างมีเลศนัย พลางฟังแอนนี่ที่ไปแอบสอดแนมมารายงานเธอ
เธอตามติดอยู่ข้างมิเอลแจ แต่เมื่อไหร่ที่เคนลงแรงไปกับการสืบสวน เธอก็มักจะออกไปข้างนอกคนเดียวทันทีอยู่เป็นประจำ
อาเรียเองก็ส่งคนไปก่อนล่วงหน้า และพบร่องรอยของเบอร์รี่แล้ว เพราะนี่ก็ถึงเวลาที่จะต้องจบเรื่องน่าเบื่อนี้สักที เธอได้มอบหมายพวกทหารรับจ้างส่วนใหญ่ที่รออยู่ในเมืองเอาไว้แล้ว เรื่องจับตัวนั้นก็อยู่ที่เรื่องของเวลา
เป็นไปได้ว่าบางทีอีกไม่นานเธอจะโผล่มาแทบเท้าของเธอ เพราะเรื่องไปถึงหูครอบครัวของเบอร์รี่ที่ไม่รู้อะไร
พอตกกลางคืน อาเรียก็หาว แอนนี่จึงจัดเตรียมของรอบข้างให้เรียบร้อย แล้วจึงเอ่ยปากถาม
“จะนอนเลยไหมคะ”
“ไม่ล่ะ มีจดหมายหลายฉบับมาส่งทุกวัน ฉันต้องอ่านให้หมดก่อนแล้วค่อยนอน พรุ่งนี้คงจะไม่มีมามากขนาดนี้อีกหรอกใช่ไหม”
“นั่นก็ใช่ค่ะ แต่ว่า… ให้ใครสักคนคัดกรองก่อนรอบหนึ่งก่อนดีไหมคะ แม้ชื่อเสียงของเลดี้จะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน แต่นี่มันก็มากเกินไปนะคะ”
แอนนี่ตกตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อมองกองจดหมายบนโต๊ะที่ทับทมกันจนเป็นภูเขา ทว่าอาเรียที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ก็ยิ้มอย่างเงียบๆ แล้วตอบสั้นๆ ว่าเธอจะลองคิดดู
“ถ้าอย่างนั้นให้ดิฉันรอตรงนี้ไหมคะ”
“ไม่เป็นไร กลับไปก่อนเลย ฉันจะอ่านแค่จดหมายอย่างผ่านๆ แล้วก็จะนอนแล้วล่ะ”
“ค่ะ เลดี้ ถ้าอย่างนั้น ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
อาเรียเหลือมองแอนนี่ออกจากห้องไป แล้วกลับมาก้มหน้าก้มตาอ่านจดหมายอย่างผ่านๆ อีกครั้ง เธอไม่ค่อยรู้เรื่องนอกอาณาจักรมากนัก แต่ไม่รู้ว่าข่าวลือแพร่ออกไปได้อย่างไร ถึงได้มีเอกสารยื่นเสนอจากเหล่านักธุรกิจจากต่างอาณาจักรหลั่งไหลเข้ามาเช่นนี้
และนั่นทำให้อาเรียปวดหัวเล็กน้อย เพราะเธอไม่รู้อนาคตของเรื่องเหล่านี้ เธอจึงต้องใช้เพียงความรู้และความสามารถในการพินิจพิจารณาของเธอในการตัดสิน
ถึงอย่างนั้น เธอก็ดูจดหมายทีละฉบับ โดยไม่ให้พลาดแม้แต่ฉบับเดียว ด้วยความที่เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว เธอจึงหาวไม่หยุด
‘…ตายจริง นี่ดึกขนาดนี้แล้วหรือนี่ ก็ว่าวันนี้ฉันรู้สึกเจ็บตาจัง’
อาจจะเพราะเธอจดจ่อกับมันมากเกินไป เวลารุ่งสางจึงใกล้เข้ามาโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัวเลย
ยังเหลือจดหมายอยู่อีกนิดหน่อย แต่ถ้ายังอ่านต่อไปแบบนี้ก็คงจะเช้าแล้ว เธอจึงรีบเก็บจดหมาย แล้วเอนตัวลงบนเตียง
‘ทำไมถึงรู้สึกนอนไม่หลับแบบนี้…’
บางทีเวลาเหนื่อยหรือล้าเกินไปก็อาจจะทำให้นอนไม่หลับได้ ในตอนนี้เธอเองก็อาจจะใกล้เคียงกับกรณีนั้น ถึงได้หลับไม่ลงได้ง่ายๆ แม้จะหลับตาลงแล้ว
เธอจึงนอนอยู่บนเตียงทั้งอย่างนั้นอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความเดจาวูอย่างประหลาด
อะไรกัน ฉันน่าจะยังไม่หลับนี่
อย่าบอกนะว่าฉันกำลังฝันอยู่อย่างนั้นหรือ
ทว่าทันใดนั้นยังไม่ทันให้เธอได้คิดกังวล จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบา และเธอก็สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของใครบางคนมาแตะที่ต้นคอ
‘…นี่ไม่ใช่ความฝัน!’
อาเรียลืมตาขึ้นทันที
…………………………………………………