ความคิดนี้แค่แวบผ่านเข้ามาในสมองของเมิ่งชิงซีก็เท่านั้น แต่ถ้ามีโอกาสให้เมิ่งชิงซีทำอย่างนั้นจริง เธอก็คงจะเปลี่ยนใจในทันที คนคนหนึ่งซึ่งเคยชินกับการใช้ชีวิตอันหรูหราไปแล้ว จะไปทนชีวิตแบบคนธรรมดาๆ ได้อย่างไร 

 

 

           โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมิ่งชิงซีมักจะไม่เลือกสวมเสื้อผ้าที่ไม่ใช่แบรนด์เนมและไม่เลือกคบค้าสมาคมกับคนอื่นๆ ที่อยู่นอกแวดวง ถ้าจะให้เธอไปใช้ชีวิตธรรมดาๆ ก็คงจะเหมือนตกจากสวรรค์ลงไปสู่นรก เมิ่งชิงซีไม่มีทางยอม 

 

 

           แต่เมิ่งชิงซีก็ไม่เคยปริปากเล่าความคิดนี้ให้ใครฟัง เมื่อคิดดูอีกทีเมิ่งชิงซีก็รู้สึกว่า แม้ถังโจวโจวจะมัดใจของลั่วเซ่าเชินเอาไว้ได้ แต่ก็ยังคงมัดใจคุณป้าและคุณลุงลั่วไม่สำเร็จอยู่ดี 

 

 

           เมื่อฉินอวิ๋นได้ยินเมิ่งชิงซีพูดแบบนั้น เธอก็รู้สึกว่าเธอคงจะคิดมากเกินไป โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าจะมีคนสองคนที่หน้าตาคล้ายกันบ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ฉินอวิ๋นก็ยังคงเก็บเรื่องนี้เอาไปคิดอยู่ดี 

 

 

เมิ่งชิงซีรู้สึกงงงวย เมื่อเห็นว่าจู่ๆ คุณแม่ของเธอก็ถามถึงเรื่องครอบครัวของถังโจวโจว “แม่คะ บ้านของเธอก็คนธรรมดาๆ ไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ แม่ถึงสนใจเธอจัง” 

 

 

พนักงานภายในร้านห่อและนำเสื้อโค้ทที่ฉินอวิ๋นต้องการมาส่งให้ ฉินอวิ๋นรับมาและเดินออกไปจากร้านพร้อมกับเมิ่งชิงซี ส่วนพนักงานที่อยู่ด้านหลังก็พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ” 

 

 

เนื่องจากฉินอวิ๋นและเมิ่งชิงซีเป็นลูกค้าประจำ และตัวพนักงานเองก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของครอบครัวนี้มาบ้าง ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติต่อพวกเธอดีกว่าลูกค้าคนอื่นๆ 

 

 

ฉินอวิ๋นและเมิ่งชิงซีพอใจกับท่าทางที่กระตือรือร้นของพนักงาน ถ้าไม่ติดว่ามันจะสร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ที่ดีของเธอ เมิ่งชิงซีจะเชิดหน้าขึ้นและมองไปที่ด้านบนแล้วด้วยซ้ำ แต่ด้วยการที่เธอผ่านการหล่อหลอมมาจากตระกูลเมิ่งแล้วตั้งแต่เด็ก เมิ่งชิงซีจึงรู้จักวิธีการที่จะควบคุมตัวเองอยู่บ้าง 

 

 

ในขณะที่ฉินอวิ๋นมักจะมองคนอื่นด้วยสายตาที่อ่อนโยนอยู่เสมอ เธอจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพนักงานตัวเล็กๆ แบบนี้ เป็นภรรยาที่สูงส่งมาตั้งหลายปี จะให้มันสูญเปล่าไปไม่ได้ 

 

 

แม้ตอนนี้ฉินอวิ๋นจะมีเรื่องให้กวนใจมากยิ่งกว่า แต่เธอก็ไม่สามารถแสดงมันออกมาได้ ต่อให้เธอกำลังโกรธอยู่มากก็ตาม แต่เธอก็ยังต้องยิ้มเอาไว้เสมอ 

 

 

บางครั้งเมิ่งชิงซีก็นับถือคุณแม่ของเธอเป็นอย่างมาก แต่เธอกลับไม่ได้เรียนรู้อะไรพวกนี้จากฉินอวิ๋นเลย นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เมิ่งชิงซีด้อยกว่าฉินอวิ๋น เธอเป็นเหมือนปลาที่ได้น้ำมาตั้งแต่เด็กๆ ที่ผ่านมาเมิ่งชิงซียังไม่เคยได้พบกับความล้มเหลวเลยสักครั้ง ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว เธอจึงไม่ได้เข้าใจจิตใจของคนอย่างถ่องแท้เหมือนอย่างฉินอวิ๋น 

 

 

หลังจากถังโจวโจวลากหลินเหยาออกมาแล้ว เธอก็เดินตามหาร้านชานม ตอนนี้เธอต้องการของหวานมาปลอบใจอย่างเร่งด่วน ส่วนหลินเหยาก็กำลังต่อว่าเธอในขณะที่ก้าวเดินว่า “โจวโจว เธอกลัวคนพวกนั้นทำไม เมิ่งชิงซีต้องรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองทำอะไรไว้บ้าง แล้วนี่ยังจะมีหน้ามาชวนเธอไปดื่มกาแฟอีก” 

 

 

หลินเหยา ‘เฮอะ’ เสียงดังให้เมิ่งชิงซีอย่างนึกรังเกียจ ส่วนถังโจวโจว แม้ว่าเธอจะรู้สึกว่าเมื่อครู่นี้เมิ่งชิงซีค่อนข้างเสแสร้ง แต่ไหนๆ ตอนนี้เธอก็ปลีกตัวออกมาแล้ว ถ้าแม่ลูกคู่นั้นยังคิดเล็กคิดน้อยกับเธออยู่อีก นั่นก็เท่ากับว่าสองแม่ลูกนั่นไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนมาเลย 

 

 

เมื่อถังโจวโจวพูดเหตุผลนี้ออกมา หลินเหยาก็กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย “โจวโจว นี่เธอคิดว่าพวกเขารู้จักคำว่า ‘อบรม’ ดีแค่ไหนเหรอ ถ้าเมิ่งชิงซีรู้จักคำนี้จริงนะ ก็คงจะไม่เพ้อฝันถึงสามีคนอื่นหรอก” 

 

 

เมื่อถังโจวโจวเห็นว่ายิ่งพูด หลินเหยาก็ยิ่งโมโห เธอจึงรีบลูบช่วงอกให้ “เอาละๆ ช่างเขาเถอะ ทำไมเธอถึงโกรธมากกว่าฉันอีกล่ะ เปิดใจกว้างๆ หน่อย เหยาเหยา อย่าไปยุ่งกับพวกเธอเลย” 

 

 

ถังโจวโจวรู้สึกว่าการที่ได้พบกับฉินอวิ๋นในวันนี้ แม้ว่าใบหน้าของเธอจะยิ้มแย้ม แต่ถังโจวโจวก็สัมผัสได้ว่าดวงตาของเธอไม่ได้ต้องการจะดื่มกาแฟด้วยจริงๆ บางทีถังโจวโจวก็รู้สึกว่าเมิ่งชิงซีไม่ใช่คนที่น่ากลัวที่สุด… 

 

 

เวลาเมิ่งชิงซีโกรธ เธอก็จะระบายมันออกมา ไม่มีทางที่เธอจะทำอะไรลับหลัง แต่วันนี้ เมื่อถังโจวโจวได้พบกับคุณแม่ของเมิ่งชิงซี สัญชาตญาณของถังโจวโจวก็บอกว่าคนแบบนี้ต่างหากที่เธอต้องอยู่ห่างไว้ให้มากที่สุด 

 

 

แต่นี่มันก็เป็นแค่การคาดเดาของเธอ ทุกอย่างยังไม่ชัดเจน บางทีเธออาจจะคิดมากไปก็ได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้เธอจะเล่าให้หลินเหยาฟังไม่ได้ มิฉะนั้นเธอจะโดนหลินเหยาดุหนักกว่าเดิม 

 

 

“โจวโจว เธอใจอ่อนเกินไป เธอชอบปล่อยให้พวกเขารังแกเธออยู่เรื่อยเลย” หลินเหยามองไปที่ถังโจวโจวราวกับว่าเธอกำลังมองลูกสาวที่ไม่ได้เรื่อง มุมปากของเธอยกสูงจนเหมือนกับว่ามีคนติดหนี้เธออยู่ห้าล้านหยวน 

 

 

“จ้ะๆๆ ฉันมันใจอ่อนที่สุด ตอนนี้คนใจแข็งจะไปดื่มชานมกับคนใจอ่อนอย่างฉันได้หรือยัง” ถังโจวโจวควงแขนหลินเหยา ก่อนจะกึ่งดึงกึ่งลากพาเธอเดินเข้าไปในร้านชานม 

 

 

เมื่อหลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เธอก็รู้สึกว่าต่อให้เธอโมโหมากกว่านี้อีกเท่าไร ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่มีวันเข้าใจ โกรธไปก็มีแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ “ฉันจะคอยดูว่าวันข้างหน้าเธอจะรบมอกบคนพวกนั้นยังไง” หลินเหยาได้แต่พูดออกมาอย่างแค้นใจ 

 

 

ถังโจวโจวพูดอย่างหน้าไม่อาย “ฉันรู้ว่าเหยาเหยาก็ยังจะช่วยฉันอยู่” ถังโจวโจวเกาะอยู่บนตัวของหลินเหยา ราวกับตัวเองเป็นหมีโคอาลา และหลินเหยาก็เป็นต้นไม้ต้นใหญ่ 

 

 

ต่อจากนั้น ถังโจวโจวและหลินเหยาก็ไม่ได้พบเรื่องที่ทำให้พวกเธอขุ่นเคืองใจอีก หลังจากดื่มชานมเสร็จ ถังโจวโจวและหลินเหยาก็ไปเดินเล่นกันต่อ พวกเธอใช้เวลาเดินชอปปิงกันทั้งวัน และของที่ได้มามันก็ไม่ใช่น้อยๆ แม้แต่หลินเหยาเองที่ตั้งใจจะมาเดินเล่นเป็นเพื่อนเธอ ก็กลับถูกถังโจวโจวชักชวนให้ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มอีกสองสามชุด 

 

 

เมื่อถึงเวลากลับ ลั่วเซ่าเชินก็ขับรถมารับถังโจวโจว แน่นอนว่าเขาพาหลินเหยากลับไปส่งที่บ้านด้วย หลังจากหลินเหยาลงไปจากรถแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็เหลือบมองถุงชอปปิงที่อยู่ด้านหลัง “คุณสบายใจแล้ว?” 

 

 

เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขามองดูผลงานของเธอ เธอก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย นี่เธอล้างผลาญมากเกินไปหรือเปล่านะ? เมื่อซื้อกลับมาแล้ว ถังโจวโจวถึงพบว่าเธอใช้เงินไปเยอะมาก ถังโจวโจวไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเธอเองก็สามารถชอปปิงได้ทั้งวันเหมือนกัน 

 

 

“ค่ะ สบายใจแล้ว!” วันนี้ถือเป็นวันพักผ่อนจริงๆ ความอัดอั้นตันใจที่อยู่ที่บ้านถูกปลดปล่อยออกมาจนหมด ในสายตาของถังโจวโจว นี่เป็นการชอปปิงที่เธอจ่ายเงินเยอะที่สุดตั้งแต่ที่เธอเคยจ่ายมา 

 

 

แต่ในสายตาของลั่วเซ่าเชิน นี่ยังไม่เท่าไร ในบรรดาพวกผู้หญิงที่เขารู้จัก อย่างถังโจวโจวนี่ยังถือว่าน้อยมาก ไม่นับว่าเป็นการชอปปิงด้วยซ้ำ 

 

 

เมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้าน ป้าหลิวก็ทำอาหารเสร็จแล้ว และลั่วอิงเองก็กำลังรอให้ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินกลับมา 

 

 

“แม่โจวโจว คุณพ่อ กลับมาแล้วเหรอคะ ทานข้าวได้แล้วค่ะ” ลั่วเซ่าเชินช่วยถังโจวโจวถือถุงอยู่หลายใบ ในขณะที่ถังโจวโจวเองก็ถือถุงอยู่เหมือนกัน ถังโจวโจวหยิบถุงออกมาหนึ่งใบ และมอบมันให้กับลั่วอิง “อันนี้แม่โจวโจวซื้อมาให้หนูค่ะ” 

 

 

ทันทีที่ลั่วอิงเปิดดู เธอก็พบว่ามันคือกิ๊บติดผม เธอรีบกระโดดโลดเต้นและพูดว่า “แม่โจวโจวขา พรุ่งนี้หนูจะติดไปโรงเรียนเลย” 

 

 

“ได้เลยค่ะ พรุ่งนี้แม่โจวโจวจะถักเปียให้หนู แล้วก็ติดกิ๊บตัวนี้ให้ด้วย เพื่อนๆ คนอื่นจะต้องอิจฉาหนูแน่นอน” ถังโจวโจวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าลั่วอิงชอบของขวัญที่เธอเลือกให้ 

 

 

เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าพอถังโจวโจวให้ของขวัญกับลั่วอิงแล้ว เธอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาจึงวางของไว้บนโซฟาและเดินไปที่โต๊ะอาหารเลย คิ้วของเขาขมวดมุ่น นี่เธออยู่ข้างนอกทั้งวัน เธอซื้อของขวัญให้ลั่วอิง แต่กลับไม่มีอะไรมาฝากเขาเลยเนี่ยนะ? 

 

 

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลั่วเซ่าเชินมีสีหน้าที่เคร่งขรึมตลอดมื้ออาหาร ถังโจวโจวเห็นว่าเมื่อครู่นี้เขายังคุยเล่นกับเธออยู่เลย แต่พอถึงตอนกินข้าว เขาก็ไม่สนใจเธออีก เธอคิดไม่ออกว่าเธอไปทำอะไรให้เขาโกรธ? 

 

 

แต่ถังโจวโจวก็ตัดสินใจว่าไว้กินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วเธอค่อยคิดอีกที และเป็นเพราะถังโจวโจวทำแบบนี้ ทำให้แม้แต่ตอนที่ถังโจวโจวคีบอาหารให้ลั่วเซ่าเชิน เขาก็ไม่สนใจเธอเลย 

 

 

ถังโจวโจวรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ชักจะเดาใจยากขึ้นเรื่อยๆ นับวันเขายิ่งเหมือนเด็กไม่มีผิด แม้แต่ลั่วอิงก็ยังเทียบไม่ได้ ถ้าเขารู้ว่าถังโจวโจวคิดเช่นนี้ ลั่วเซ่าเชินคงจะหงุดหงิดยิ่งกว่านี้แน่นอน 

 

 

หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ถังโจวโจวก็เห็นว่าสีหน้าของลั่วเซ่าเชินยังไม่ดีขึ้น เธอก็เดาว่าเขาคงยังหงุดหงิดอยู่ แต่เธอรู้สึกว่าถ้าถามออกไปตอนนี้ เกิดลั่วอิงรู้เข้า เขาจะรู้สึกอาย เธอจึงถือของขึ้นไปชั้นบน ถังโจวโจวรู้ว่าเขาจะต้องตามมาอย่างแน่นอน 

 

 

แล้วก็เป็นอย่างที่เธอคาดเอาไว้ ลั่วเซ่าเชินเดินตามเธอเข้ามาในห้องนอน ถังโจวโจววางของไว้บนเตียง เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่คิดจะเอ่ยทักถามหรือแสดงความห่วงใยเขาเลยสักนิด เขาก็คิดว่าถ้าเขาไม่พูดมันออกไป เธอก็คงไม่รู้หรอกว่าเขากำลังโกรธเธออยู่ 

 

 

ลั่วเซ่าเชินไม่อยากให้เหตุการณ์มันซ้ำรอยเดิม ดังนั้น ครั้งนี้เขาจึงถามออกไปตามตรงว่า “คุณไม่มีอะไรจะให้ผมเลยเหรอ” นับว่าเขาถามได้อย่างไพเราะ 

 

 

ถ้าลั่วเซ่าเชินไม่กลัวว่าจะเสียหน้า เขาจะถามเธออย่างที่ใจคิดว่า ‘คุณมีของมาให้ลั่วอิง แล้วไม่มีของมาให้ผมบ้างเลยเหรอ’ แต่เขาก็พูดได้แค่ในใจ 

 

 

ในตอนแรกถังโจวโจวไม่เข้าใจความหมายของเขา เธออยากจะตอบกลับไปว่า ‘ไม่มีนี่คะ’ โชคดีที่เธอไม่ได้พูดมันออกไป และเมื่อเธอคิดดูอีกที นี่เขาคงไม่ได้อิจฉาลูกหรอกใช่ไหม? นี่เป็นเพราะเธอให้ของขวัญกับลั่วอิง แต่ไม่ได้ซื้อของมาให้เขาอย่างนั้นเหรอ? 

 

 

เดิมทีลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวเธอตั้งท่าจะพูดอะไร แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่พูดมันออกมา ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจับจ้องไปที่เธอ รอดูว่าเธอกำลังจะทำอะไร ถ้าปากเล็กๆ ของเธอพูดอะไรที่เขาไม่อยากฟังขึ้นมา เขาจะกัดมันเสียเลยดีไหมนะ… 

 

 

ถังโจวโจวเอี้ยวตัวกลับไปหยิบถุงที่วางอยู่บนเตียงขึ้นมาถุงหนึ่ง “นี่ค่ะ อันนี้ฉันให้คุณ” แม้ว่าท่าทางของถังโจวโจวจะดูแปลกๆ แต่ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ใช่พวกที่จะเอาความกับคนที่อ่อนแอกว่า เขายกโทษให้เธอก็แล้วกัน เขารับถุงใบเล็กนั้นมาจากมือของถังโจวโจวด้วยความยินดี 

 

 

ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตเห็น บางทีถังโจวโจวอาจจะซ่อนมันไว้ก็ได้ ต้องโทษเขาที่ใจร้อนมากเกินไป ดูเหมือนว่าในใจของโจวโจวยังมีเขาอยู่ เธอจึงไม่ลืมที่จะซื้อของขวัญมาให้เขาด้วย 

 

 

บางครั้งลั่วเซ่าเชินก็รู้สึกว่าเขาเหมือนเด็ก เขากับลั่วอิงมักจะแข่งกันเรียกร้องความสนใจจากถังโจวโจว เขาหยิบของข้างในออกมาดู มันคือเนกไทลายทางสีน้ำเงินสลับสีดำ 

 

 

เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาเห็นของขวัญแล้ว เธอจึงค่อยๆ อธิบายว่า “ตอนแรกฉันตั้งใจจะเอาไปให้ตอนที่คุณอยู่ห้องหนังสือ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าคุณจะใจร้อนขนาดนี้ ฉันตั้งใจเลือกให้คุณโดยเฉพาะเลยนะคะ แต่ถ้าคุณไม่ชอบ คุณก็อย่าพูดออกมานะ” 

 

 

ถังโจวโจวเม้มปากอย่างเสียความมั่นใจ แต่เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินเธอพูดเช่นนั้น เขาก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข “ผมจะไม่ชอบได้ยังไง พรุ่งนี้ผมจะผูกเนกไทเส้นนี้เลย คุณคิดว่าไงล่ะ” 

 

 

“ตามใจคุณสิคะ” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นท่าทางปากแข็งประหนึ่งเป็ดที่ตายแล้วของถังโจวโจว เขาก็ไม่ได้พูดเปิดโปงเธอ เขาจับของขวัญที่ถังโจวโจวให้เขาอย่างทะนุถนอม แม้ว่าคุณภาพมันจะไม่ดีเท่ากับของที่เขาสั่งทำ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ถังโจวโจวให้ของขวัญเขา แม้ว่ามันจะไม่ดีอย่างไร เขาก็ยังรู้สึกชอบมัน 

 

 

เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาพอใจ เธอเองก็ภูมิใจเป็นอย่างมาก แต่เธอยังต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้สนใจอะไร หลังจากนั้น ถังโจวโจวก็เก็บของเอาไว้ตู้ พร้อมกับแยกหมวดหมู่ของสิ่งของอย่างชัดเจน