บทที่ 197 หอคอยแห่งเรือนจำเปิดใช้งาน ! (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 197 หอคอยแห่งเรือนจำเปิดใช้งาน ! (ต้น)

“ไปถล่มสถานศึกษาฉางมู่ !” คนเพียงไม่กี่คนในลานกว้างได้ยินเสียงเยี่ยฉวนชัดเจนเต็มสองหู ทุกคนหันมาหันมามองเยี่ยฉวนนัยน์ตาเบิกกว้าง ปากอ้าค้างด้วยความตกตะลึง

โม่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด หันมากระซิบกระซาบ น้ำเสียงร้อนรน “พี่หัวขโมยเยี่ย เจ้าจะตามไปแก้แค้นพวกมันหรือไง ?”

เยี่ยฉวนหันมาพยักหน้า “ใช่ !”

อีกฝ่ายจึงหยุดนิ่งใช้ความคิด ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “พี่หัวขโมยเยี่ย พวกเราสู้มันไม่ได้หรอก !” พร้อมกับไป๋เจ๋อที่ส่งเสียงมาสนับสนุนทันที “สู้ไม่ได้แน่ !”

เยี่ยฉวนหันไปสบตาคนทั้งสอง “อันที่จริงข้าก็ไม่คิดว่าจะสู้ไหว แต่ถึงพวกเราไม่จู่โจมก่อน แน่ใจหรือว่าพวกมันจะไม่ตามมาฆ่าเราทีหลัง ?” ทั้งคู่ได้ยินเช่นนั้น ถึงกับนิ่งงันด้วยจนต่อคำถาม

สถานศึกษาฉางมู่แสดงเจตนาที่ชัดเจนว่าต้องการทำลายสถานศึกษาฉางหลาน ! ความสัมพันธ์ของสองสถาบันได้ดำเนินมาถึงจุดนี้ จุดที่ถ้าไม่ใช่ฉางมู่ก็ต้องเป็นฉางหลานที่ใดที่หนึ่ง ต้องดับดิ้นสิ้นชื่อ ! ต่อให้สถานศึกษาฉางหลานไปขอขมา สถานศึกษาฉางมู่ก็คงไม่มีวันยอมปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน

หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ โม่อวิ๋นฉีและคนอื่นต่างเริ่มเข้าใจและเห็นคล้อยตาม โม่อวิ๋นฉีจึงพูดกับเยี่ยฉวนว่า “ได้ งั้นพวกเรามาสู้ด้วยกัน !”

เยี่ยฉวนหันไปมองอาจารย์ใหญ่จี้ซึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ “ถ้าเช่นนั้น พวกเรากลับกันก่อน !” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

ทันใดนั้น มีคนสองคนปรากฏกายขึ้นมาในลาน พวกเขาคือจ้าวหอชั้นเก้าแห่งสำนักอัปสรเมรัยและเจียงเยว่เทียน จ้าวหอชั้นเก้ามุ่งตรงมาทางเยี่ยฉวน พลางกล่าวทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “สหายเยี่ย ดีใจที่ได้พบกันอีก !”

เยี่ยฉวนคารวะตอบกลับจ้าวหอชั้นเก้าและเจียงเยว่เทียนด้วยความจริงใจ “ข้าขอขอบคุณ ที่พวกท่านคอยช่วยเหลือ”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของชายหนุ่มคนตรงหน้า ทั้งจ้าวหอชั้นเก้าและเจียงเยว่เทียนหันมาสบตา ต่างพากันยิ้มแย้มอย่างกว้างขวาง

เหตุใดพวกเขาเลือกที่จะยืนหยัดเคียงข้างและเสนอให้ความช่วยเหลือต่อเยี่ยฉวนในเวลาเช่นนี้ ?  คำตอบก็คือเพื่อสัมพันธภาพอันดีระหว่างพวกเขากับเยี่ยฉวน บัดนี้ได้มาเห็นว่าคนอย่างเยี่ยฉวนรู้จักที่จะแสดงความสำนึกในบุญคุณ เท่านี้ทั้งสองก็เสมือนได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยไม่มีใครอยากให้ความช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคน !

จ้าวหอชั้นเก้าเปล่งเสียงหัวเราะอย่างพออกพอใจ “พวกเจ้ากำลังจะกลับเมืองหลวง ไปกับเรือเหาะของสำนักอัปสรเมรัยก็แล้วกัน พวกเราพร้อมที่จะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ !”

เยี่ยฉวนห่อกำปั้นคารวะขอบคุณ “ถ้าเช่นนั้นต้องรบกวนแล้ว ขอบคุณท่านมากขอรับ !” จ้าวหอชั้นเก้ายิ้มแก้มแทบปริ “เรื่องเล็กน้อย เจ้าไม่ต้องเกรงใจ สหายข้า !”

จากนั้นคนทั้งกลุ่มได้ขึ้นเรือเหาะและมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง โดยมีจ้าวหอชั้นเก้า เจียงเยว่เทียน และอาจารย์ใหญ่จี้ ตามมาเพื่อช่วยดูแลจึงเดินค่อยออกทางไปพร้อมกัน !

ณ สถานที่แห่งหนึ่ง

ท่ามกลางความสงบเงียบ ทัวป้าเหยียน ยืนนิ่งมองเยี่ยฉวนและพวกที่กำลังเดินทางออกจากสถานที่

เสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้น เป็นชายชราที่อยู่ด้านหลังเอ่ยว่า “โชคดีแล้วที่แคว้นหนิงของเราไม่พลอยติดร่างแหและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ มิฉะนั้นพวกเราอาจต้องสูญเสียอัจฉริยะยอดฝีมืออีกไม่รู้เท่าไร”

สตรีสูงวัยที่ยืนเคียงข้างพยักหน้า “เยี่ยฉวนกับบรรดาคนที่มาด้วย พลังฝีมือไม่ด้อยเลยสักคน โดยเฉพาะเยี่ยฉวน เป็นคนหนุ่มที่พลังกล้าแกร่งอย่างยิ่ง เผลอบางทีเขาอาจสู้กับคนที่มีขั้นพลังผสานเทพได้สบาย…”

เมื่อพูดถึงตอนนี้ เหมือนนางพลันนึกบางเรื่องได้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงเจือเยาะหยัน “เขาว่ากันว่าเมื่อปีก่อนเยี่ยฉวนพาน้องสาวไปยังสถานศึกษาฉางมู่ หวังว่าจะได้รับเลือกเป็นศิษย์ แต่ฉางมู่กลับปฏิสธไม่ยอมรับ… พวกผู้อาวุโสโง่เง่าเหล่านั้น อยู่ดีไม่ว่าดีปล่อยให้สุดยอดฝีมือไปเป็นศิษย์ฉางหลาน ดูตอนนี้สิ ข้าว่าป่านนี้บรรดาผู้อาวุโสและ คณาจารย์ของฉางมู่คงแทบหัวใจสาย จนจะกระอักเป็นโลหิตแล้วกระมัง !”

ทัวป้าเหยียน พูดด้วยน้ำเสียงเมินเฉย “ทุกอย่างเมื่อมีขึ้น ย่อมมีลง !” และคนพูดหันหน้าไปอีกด้าน สายตาเหม่อมองไกลสุดขอบฟ้า “แม้แต่อาณาจักรต้าอวิ๋นที่ยิ่งใหญ่ยังต้องเสื่อมถอย ไม่นานมานี้มีกองกำลังเข้าถึงที่นั่นบ่อยครั้งมากขึ้น พวกแคว้นใกล้เคียงต่างกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเข้าไปประลองฝีมือ… ข้าเกรงว่าอีกไม่นานความสงบสุขที่เคยมีในแผ่นดินชิง คงใกล้ถึงจุดจบ”

คนที่ยืนเยื้องไปทางเบื้องหลังของทัวป้าเหยียน พยักหน้าเห็นคล้อยตาม “เคราะห์ดีเหลือเกินที่แคว้นเราไม่ได้พลอยติดร่างแหและต่อต้านเยี่ยฉวน เพราะหากเราต้องสูญเสียเหล่าอัจฉริยะมากมายขนาดนั้น คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเราจะต้องลำบากอย่างแน่นอนเพคะ” คนพูดหยุดถอนหายใจเฮือก เสียงกระซิบแผ่วเบา “ถ้าเยี่ยฉวนเป็นคนแคว้นหนิง… น่าเสียดาย !”

ทัวป้าเหยียนสีหน้าสงสัย หากน้ำเสียงกลับสงบเยือกเย็น “เขาเป็นคนยังไง ? พูดอย่างกับคนคนนั้นจะใส่ใจเรื่องครอบครัวและชาติบ้านเมือง อะไรอย่างนั้น ?!”

เสียงสตรีสูงวัยคู่สนทนาถอนใจอีกครั้ง “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์อาจจะยังไม่ทราบว่า เมื่อครั้งที่ชายหนุ่มคนนั้นได้ประจักษ์ว่าทหารแคว้นถังกระทำต่อพลเมืองของแคว้นเจียงเยี่ยงทาสรับใช้ แต่คนที่อยู่ที่นั่นไม่มีใครกล้าลุกขึ้นต่อต้าน เยี่ยฉวนเป็นคนเดียวที่กล้าออกหน้า จนสุดท้ายเขาก็เป็นคนที่ออกไปเผชิญหน้ากับกองทหารม้าเกราะเหล็กสามพันนายแห่งแคว้นถัง… “

“นอกเหนือจากความเป็นยอดคน ก็เป็นเหตุการณ์ครั้งนั้นเองที่ทำให้ราชสำนักเจียงแห่งแคว้นเจียงออกโรงในการช่วยเหลือเยี่ยฉวน ชายคนนี้เขาเป็นอัจฉริยะเพคะ เป็นอัจฉริยะอย่างยากหาผู้ใดเสมอเหมือน ทั้งยังเป็นคนรักผืนแผ่นดินเกิดและครอบครัว ยอมสู้จนตัวตายเพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของแคว้นเจียง จึงน่าอยู่หรอกที่ราชสำนักเจียงจะกางแขนปกป้องอย่างเต็มที่และดึงเขาไว้ให้อยู่เคียงข้าง !”