บทที่ 196 ลากคอพวกมันลงนรก ! (ปลาย)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 196 ลากคอพวกมันลงนรก ! (ปลาย)

ชายวัยกลางคนมองหน้าเยี่ยฉวนนิ่งอยู่อึดใจ จึงกล่าวออกมาว่า “ต่อไปไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่หรือผู้ฝึกยุทธ์ด้านการต่อสู้ระยะประชิด จดจำไว้ว่าอย่าได้ละทิ้งเจตนารมย์ ซึ่งข้ายึดถือมาโดยตลอด ข้าเข้าใจดีถึงสิ่งที่ฝังรากหยั่งลึกอยู่ภายในจิตใจของเจ้า คนเราเมื่อกล้าแกร่งขึ้น พวกเขามักจะมีจินตนาการและความทะเยอทะยานอยากได้อยากเป็นในสิ่งที่ตนไม่เคยได้ไม่เคยเป็น จินตนาการและความทะเยอทะยานบางครั้งก็ให้คุณ แต่บางครั้งก็ให้โทษ เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วไป คนที่เคยยากจนวันหนึ่งเกิดร่ำรวยขึ้นมา ก็อยากทิ้งภรรยาคนเก่าเพื่อไปหาคนใหม่ที่ทั้งสาวและสวยกว่า…”

เขาหันมามองเยี่ยฉวนเต็มตา “ทางที่ดีเจ้าจงหาสิ่งซึ่งเป็นบรรทัดฐาน… สำหรับทั้งตนเองและผู้อื่น !”

เยี่ยฉวนค้อมกายลงต่ำแสดงคารวะต่อชายวัยกลางคน “ข้าจะจดจำไว้ขอรับ”

คนอาวุโสยิ้ม ริมฝีปากขยับไหว “ส่วนเรื่องสุดท้ายที่ข้าจะพูด เจ้าเป็นคนมีพรสวรรค์เยี่ยมยอดและมีความเฉลียวฉลาด จึงทำให้เกิดข้อได้เปรียบมากมายในการฝึกฝนพลัง แต่ข้อได้เปรียบอาจนำมาซึ่งความเสียเปรียบ คนที่เคยมีชีวิตเรียบง่าย หากวันหนึ่งต้องประสบกับความลำบาก เขาอาจหลงทางและพลาดพลั้ง การเป็นผู้ฝึกกระบี่ทำให้เป็นคนแน่แน่วและมีจิตที่ใสกระจ่าง แต่ถ้าเจ้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดในวันนี้ก็อย่าได้เป็นกังวล ยังมีเวลาที่จะทำความเข้าใจอีกมากนัก อย่างที่เขาว่าช้า ๆ จะได้พร้าเล่มงามไงล่ะ !”

เป็นอีกคราที่ชายหนุ่มค้อมตัวลงต่ำ พลางกล่าวว่า “ข้าจะจดจำไว้ขอรับ”

ชายวัยกลางคนทำท่าลังเลนิดหนึ่ง ก่อนหับไปหยิบกล่องสีทองไปหนึ่งส่งให้กับเยี่ยฉวน

ชายหนุ่มรับสิ่งนั้นมาด้วยท่าทางงุนงง ขณะที่อีกฝ่ายพูดยิ้ม ๆ “เปิดสิ !”

เยี่ยฉวนจำต้องทำตาม และเมื่อเปิดกล่องออกดู ภายในนั้นก็ได้บรรลุโลหะแบนมีสัญลักษณ์รูปมังกร ด้านหลังจารึกตัวอักษร

ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้น !

ผู้เยี่ยมยุทธแห่งแคว้น ? เยี่ยฉวนหยิบโลหะมังกรขึ้นมา สายตามองตรงมายังชายวัยกลางคน งงงวยหนักขึ้นอีก อีกฝ่ายจึงหัวเราะออกมาดัง ๆ “นี่คือตราสัญลักษณ์ของแคว้นหนิง แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่คนของแคว้นหนิง ก็ไม่เป็นไร เจ้าสามารถไปยังที่ใดก็ได้ภายในแคว้นหนิงด้วยตราสัญลักษณ์นี้ นอกจากเจ้าแล้ว มีคนไม่กี่คนที่ใช้ตรานี้”

“ภายในยังบรรจุสิ่งที่เรียกว่า ‘ค่ายกลผสานมังกร’ ด้วยอิทธิฤทธิ์ค่ายกล มันสามารถรวบรวมพลังชี่แห่งมังกร ถ้าเจ้าต้องต่อสู้กับศัตรูในอนาคต ตราบใดที่มีสุดยอดศิลาจิตวิญญาณ ก็สามารถเปิดใช้งานค่ายกลและใช้ประโยชน์จากพลังชี่แห่งมังกรได้ทันที และด้วยพลังชี่แห่งมังกรนี้ มันก็จะช่วยเพิ่มพูนพลังและความกล้าแกร่งให้แก่เจ้า ซึ่งคงจำเป็นสำหรับเจ้ามากในเวลานี้ !”

เยี่ยฉวนได้ยินเช่นนั้น เขารีบเก็บงำตราสัญลักษณ์มังกรทันที “ขอบพระคุณขอรับ !”

ชายวัยกลางคนยิ้มมุมปาก “เจ้ามาเยือนถิ่นของข้าวันนี้ นับว่าพวกเราโชคดีแล้ว ในวันข้างหน้าข้าอาจจะได้พึ่งพาเจ้าบ้าง พ่อหนุ่ม หวังว่าเราจะได้พบกันอีก !” หลังจากนั้น ร่างคนตรงหน้าค่อยพร่าเลือน และต่อมาไม่นานชายวัยกลางคนก็หายไปจากสถานที่

พลันเยี่ยฉวนจึงสังเกตเห็นกล่องสีทองอีกสองใบวางอยู่ในที่ที่ชายวัยกลางคนเคยอยู่ แต่เขาไม่ได้สนใจ หรือคิดไปแตะต้องแต่อย่างใด กลับหันหลังและออกจากที่ไป เพราะไม่ใช่คนละโมบ ! เมื่อกล่องทั้งสองมิใช่สิ่งที่ชายวัยกลางคนมอบให้ เยี่ยฉวนก็ไม่คิดจะเก็บมาเป็นของตน

คล้อยหลังเยี่ยฉวนเพียงครู่เดียว ชายวัยกลางคนกลับมาปรากฏกายอีกครั้งทันที คนผู้นั้นเหลือบมองกล่องสีทองทั้งสองที่วางอยู่ข้างกายเพียงแว่บหนึ่ง พลันเหยียดมุมปากยิ้มอย่างพอใจ “เขาเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีจริง ๆ …น่าเสียดาย ที่เขามิใช่คนแคว้นหนิง… น่าเสียดาย !” เสียงของชายวัยกลางคนเงียบลง พลันร่างคนเลือนหายไปในลานกว้าง

เมื่อเยี่ยฉวนเดินมาถึงปากถ้ำ ภาพที่เห็นเบื้องหน้าพลันเคลื่อนวนหมุนรวดเร็ว ฉับพลันกลับพร่าพรายเลอะเลือน เพียงไม่นานร่างของชายหนุ่มก็หายวับไปจากที่

สักพักใหญ่ถัดมาเยี่ยฉวนจึงค่อยลืมตาขึ้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาจึงได้พบว่าตนเองออกมาภายนอกสถานที่แล้ว !

ไม่ไกลนัก กลุ่มคนยืนอยู่เบื้องหน้ามีทั้งอาจารย์ใหญ่จี้ เจียงจิ่ว และคนอื่น !

ทันที่เห็นคนที่ปรากฏตัวออกมา เจียงจิ่วและคนอื่นต่างพากันถอนใจอย่างโล่งอกไปตามกัน โม่อวิ๋นฉีไวกว่าคนอื่นตามเคยด้วยเดินตรงรี่เข้ามาหา เมื่อเข้าถึงตัวเยี่ยฉวน เขาจึงกวาดตามองทั่วตัวชายหนุ่ม “ข้าคิดว่าเจ้าหายไปไหนเสียอีก”

เยี่ยฉวนหน้าเจื่อน “ข้ามาช้าไปหน่อย ขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องคอย”

คนที่เดินเข้ามาทางเยี่ยฉวนเป็นคนถัดมาคือเจียงจิ่ว นางมองหน้าเขาอย่างสงสัยอยู่เป็นครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าออกมาแล้วก็ดี งั้นข้าก็จะกลับ !” เสียงพูดยังไม่ทันขาดคำ คนพูดหันหลังให้และเดินลิ่วออกไป

อย่างไรก็ตาม นางเดินห่างออกไปเพียงสองสามก้าวเท่านั้น ก่อนจะหันขวับกลับมามองเยี่ยฉวน พลันตะคอกใส่ด้วยสุ้มเสียงโมโห “ไม่เห็นหรือไงว่าข้าจะออกไป ?”

เยี่ยฉวนงงงันเป็นไก่ตาแตก “…” ทว่าคนที่ปล่อยเสียงหัวเราะก๊ากกลายเป็นโม่อวิ๋นฉี

หลังจากนั้น เยี่ยฉวนและเจียงจิ่วก็พากันเดินช้า ๆ ออกไปตามทาง ฝ่ายหญิงพูดเสียงเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ “คนพวกนี้ไม่ยอมเลิกราแน่ ถ้าเจ้าขืนกลับไปเมืองหลวง ไม่ช้าคงต้องตาย !”

ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเคร่งขรึม “แต่ข้าต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน !”

หญิงสาวคนที่เดินเคียงกันหันมามอง สีหน้าจริงจัง “เช่นนั้นต่อไปข้าคงไม่สามารถมาช่วยเจ้าได้ เพราะมันเกินความสามารถของข้า”

ครานี้เยี่ยฉวนเป็นฝ่ายหยุดเดินและหันมามองเจียงจิ่ว พลางฉีกยิ้มกว้าง “เสี่ยวจิ่ว ท่านช่วยข้ามามากแล้ว ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป ไม่เป็นการดีสำหรับท่าน ซ้ำจะนำพาความเดือดร้อนมาสู่ราชสำนักเจียงอีกด้วย !”

เจียงจิ่วมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างครุ่นคิด นางอ้าปากจะพูด ทันใดนั้นนางกลับก้าวเข้าไปตรงหน้าเยี่ยฉวน และเหวี่ยงผ้าผืนหนึ่งในมือใส่ที่หน้าอกของชายหนุ่ม “จำไว้นะ ดูแลตัวเอง ต้องดูแลให้ดี เจ้าจะตายไม่ได้ !” พลันคนพูดหันหลังกลับก่อนเดินจ้ำอ้าวออกไป นางเดินด้วยความว่องไวและด้วยความวิตกทุกข์ร้อน ไม่นานร่างของหญิงสาวก็หายลับไปจากสายตา

ทุกคนเดินอย่างเงียบ ๆ อยู่สักพัก พลันเยี่ยฉวนมองไปทางอาจารย์ใหญ่จี้ซึ่งเดินอยู่ไม่ไกล “ข้าจะไปฉางมู่ขอรับ !” อาจารย์ใหญ่จี้หันมามอง สายตาเต็มไปด้วยคำถาม ขณะอ้าปากจะพูด

เยี่ยฉวนพูดเสียงเบา “ข้าจะไปลากคอพวกมันลงนรก !”